บทที่ 165 อันนี้พูดไม่ได้   1/    
已经是第一章了
บทที่ 165 อันนี้พูดไม่ได้
บทที่ 165 อันนี้พูดไม่ได้ “เหอะเหอะ” เธอหัวเราะขึ้น “จำรูญ คุณรู้ไหมว่าตอนนั้นทำไมญาณินท์จึงถูกไล่ให้ออกไปจากเมืองดรัล?” เขาส่ายหัว รู้สึกงงไปชั่วขณะ “ดูเหมือนว่า คนที่อยู่ในกลีบเมฆหมอกไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรคือคุณ” “เพ็ญนีติ์ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” เขาเขย่าแขนเธอ รู้สึกกระวนกระวายใจที่จะอยากรู้ความจริง “ถ้าไม่รู้ งั้นก็ไม่ต้องรู้หรอก อยากน้อยที่สุดสิ่งที่หลงเหลือเมื่อก่อนก็ยังเป็นความทรงจำที่งดงาม แบบนี้ก็ดีแล้ว ฉันรู้แล้ว ขอบคุณนะที่บอกฉัน เรากลับกันเถอะ” ญาณินท์อยากจะล้างแค้นเธอหรอ อันนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ใดๆ เธอเองก็ไม่สนใจ ทั้งหมดก็แล้วแต่ญาณินท์เลย ถ้าถูกเธอเล็งเป้าไว้แล้ว ถ้าเธออยากหนีก็หนีไม่พ้นอยู่ดี วันนี้หนีได้แต่วันต่อไปก็ไม่แน่ “เพ็ญนีติ์ คุณก็ควรจะระวังตัวหน่อยก็ดี” ความกังวลในตัวปุริมปรากฏอยู่บนใบหน้า “เธอคนนี้ บางครั้งก็”... “แฮร่ก” ...ลมหนาวพัดกระทบกาย ทำให้เธอเริ่มไอออกมา ยิ้มและรีบหันหลังกลับ กลับพบรอยเท้าเล็กๆสองคู่กำลังเดินมาหาเธอที่อยู่ตรงหน้า ทั้งสองอยู่ห่างจากเธอไม่ไกลนัก ซึ่งมีชายคนหนึ่งจูงมือพาเดินมาอย่างรวดเร็ว “หม่ามี๊ หนาวไหมคะ นี้เสื้อค่ะ” “แฮร่ก ...แฮร่ก” เสียงไอดังขึ้นอีกครั้ง รีบยกเท้าขึ้นวิ่งไปหาอ้อยและส้ม พอวิ่งก็รู้สึกว่าอุ่นขึ้นมาบ้าง เลี้ยวตัวไปกอดส้ม “ความคิดใครกันนี้? ทำไมไม่ว่ายน้ำแล้วละคะ?” “อันนี้....อันนี้หนูบอกไม่ได้ค่ะ” เธอก้มลงมาที่ข้างหูของส้ม สายตามองไปทางปุริมที่อยู่ข้างหลังเด็กๆ “บอกมาซิว่าคือแดดดี๊ใช่ไหม?” “หม่ามี๊รู้ได้ไงคะ” สายตาของส้มเป็นประกาย ถามขึ้นอย่างประหลาดใจ เธอใช้นิ้วจิ้มๆไปที่จมูกเล็กๆของส้ม แต่ในใจนั้นกลับรู้สึกอบอุ่นเหลือเกิน “นี่คือความลับค่ะ ดังนั้น หม่ามี๊ต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้นะคะ” “ได้สิ ได้เลย หม่ามี๊รีบใส่เสื้อเร็ว” “โอเค” เธอพูดไป ก็ไอขึ้นอีกครั้ง ปีใหม่แบบนี้ อย่าให้เป็นอะไรเลย รีบหยิบถุงที่อ้อยและส้มยื่นให้แล้วเดินจากไป มองซ้ายมองขวา ชายทั้งสองเอ่ยขึ้นพร้อมกัน “ไปเปลี่ยนที่รถเถอะ” และรถก็มีสองคัน คันหนึ่งของจำรูญ อีกคันหนึ่งของปุริม เขาคิดๆ จึงกลับหลังหันเดินไปยังรถของจำรูญ เดินไปพูดไป :”รออยู่ข้างนอกก่อนนะ ให้ฉันใส่เสื้ออุ่นแล้วค่อยนั่งดีดกีตาร์ที่ร้องเพลงนั้นกัน ส้มและอ้อยจะต้องชอบอย่างแน่นอน” “อืม ได้” จำรูญตอบเสียงต่ำ ยิ่งรู้สึกว่าบรรยากาศบนหาดทรายนี้เริ่มไม่ชอบมาพาควร แต่เขาก็ไม่กล้าพูดอะไร ถ้าเกิดมันคือการแสดงของเธองั้นก็เล่นให้เธออย่างสมจริงสักครั้งก็แล้วกัน และอีกอย่าง เขาเป็นคนที่ยินยอมพร้อมใจเอง เพียงแค่เธอยอม เธอจะให้เขาทำอะไรก็ได้ กระจกหน้าต่างรถสีชา ข้างนอกนั้นมองเข้ามาไม่ได้ แต่เธอก็ยังดึงผ้ากั้นกระจกลง รถของจำรูญสะอาดจริงๆ ไม่นานก็ใส่เสื้อผ้าที่เด็กยื่นให้เสร็จ ยังมีเสื้อคลุมอุ่นๆข้างนอกอีกตัว เมื่อสักครู่ที่เดินเท้าเปล่าอยู่บนพื้นทราย คิดได้ตอนนี้ช่างเหมือนคนบ้าจริงๆ แต่ว่าเธอ ก็ยอมบ้าเอง อุ่นจริงๆ เปิดประตูรถออกมาอย่างอารมณ์ดี เผชิญหน้ากับปุริมที่ยืนพิงรถ BAWสีดำวาวของเขา ชายในรถมองมาที่เธอ เธอมองที่เขา และก้มมองตัวเอง สีพลอยไพลิน เสื้อคลุมสีเดียวกัน กางเกงสีเดียวกัน ปุริมคุณ...... ชุดนี้ ต่อให้เขาไม่ยอมรับ คนอื่นก็ต้องคิดอยู่ดี ในความสัมพันธ์ของเธอและเขา เธอคิดอยากไปเปลี่ยน แต่ไม่ทันแล้ว “หม่ามี๊ หม่ามี๊บอกว่าลุงจำรูญจะเล่นกีตาร์ที่หรอคะ หนูอยากฟังแล้ว” “หนูก็อยากฟังด้วยเหมือนกัน” ช่างมันเถอะ ไม่ต้องไปสนใจ ปุริมเถอะ หยิบเบาะรองพื้นมาวางบนทราย เด็กทั้งสองนั่งข้างกัน ส่วนเธอก็นั่งลงตาม จำรูญหยิบกีตาร์ที่ขึ้น นั่งอยู่ต่อหน้าพวกเขา ท่ามกลางผืนทรายที่ล้อมรอบ ลมทะเลโชยมา ดวงตาดำเงาแผ่กระจาย นิ้เรียวยาวค่อยๆกางออก เริ่มบรรเลงบทเพลงที่งดงามที่เต็มไปด้วยความรัก (อวยพร) ช่างเป็นภาพที่งดงามเหลือเกิน ได้โอบกอดส้มและอ้อยแบบนี้ เธอไม่รู้สึกหนาวเลย นั่งนิ่งๆสงบให้ใบหูรับรสชาติอันเพราะพริ้งของเสียงกีตาร์ที่หกสาย ในสมัยที่ยังเยนอยู่ ก็อยู่ที่ป่าในมหาลัยดรัล ดีดกีตาร์ที่เล่นกันทีล่ะชั่วโมงสองชั่วโมงอยู่บ่อยๆ เธอมักจะนั่งพิงกับต้นไม้ฟังเพลงของเขาราวกับนิ้วมือของเขามีมนต์สะกด ที่ทำให้เธอไม่เคยเบื่อเลย เพลงหยุดลง สามแม่ลูกยังคงเพลิดเพลินนิ่งอยู่กับเสียงเพลงที่ยังดังแว่วอยู่ ในรถที่อยู่ข้างหน้ากลับมีเสียงปรบมือดังขึ้น ทำลายบรรยากาศสงบๆเมื่อครู่ไป “ไม่เลวนี้ เป็นการเล่นที่เพราะมาก แต่ไม่รู้ว่านางเองในบทเพลงของคุณมีชื่อว่าเพ็ญนีติ์ หรือชื่อว่า ญาณินท์?” ใบหน้าเดิมที่มีรอยยิ้มของปุริมเริ่มเปลี่ยนไป เอ่ยขึ้นเสียงเบา: “เหอะ เหอะ ไม่ใช่ทั้งสอง” คนหนึ่งก็คลาดกันไปแล้ว อีกคนหนึ่งก็เลิกลากันไปแล้ว สรุปว่าทั้งสองต่างก็ไม่ใช่ “เพ็ญนีติ์คุณเชื่อไหม?” ปุริมเล่นหูเล่นตามองไปทางเพ็ญนีติ์ สายตาคู่นั้นจับจ้องเธอไม่วาง ขนาดกระพริบยังไม่กระพริบ “แฮร่ก” เสียงไอดังขึ้นอีกครั้ง เพ็ญนีติ์รู้สึกระคายคอ เธอเงียบไปครู่และเอ่ยขึ้น : “ฉันเริ่มคอแห้งแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ” “ได้” “ได้” ชายทั้งสองตอบเสียงเดียวกัน และก็เดินก้าวไปหารถของแต่ล่ะคน เพ็ญนีติ์สนุกอยู่กับการเหยียบย่ำบนหาดทราย เม็ดทรายละเอียดเหล็กไหลติดเข้าไปทั่วรองเท้า และเธอก็ไม่ปัดออก จูงมือของอ้อยและส้มออกเดิน “เราจะวิ่งกลับกัน ดูสิว่าใครจะถึงโรงแรมก่อนเป็นอันดับหนึ่ง ดีไหมคะ?” “ดีดีดี แต่ว่าหม่ามี๊ ถ้าเกิดว่าหนูชนะ พรุ่งนี้หม่ามี๊ต้องไปว่ายน้ำเป็นเพื่อนหนู” “ได้เลย” เธอยิ้มพยักหน้า โดยไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย ทันใดนั้นบนหาดทราย ปรากฏรอยเท้าทั้งสามรอยขึ้น รอยหนึ่งใหญ่ อีกสองรอยเล็ก วิ่งกันกลับโรงแรมในช่วงพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าไป ตอนเย็น เพ็ญนีติ์ไม่กินอะไรเลย เธอดื่มน้ำร้อนสองแก้วแล้วก็นอนหลับไป ไออยู่ตลอดเวลา เธอเป็นหวัดไม่สบายแล้ว ส้มและอ้อยว่าจะกลับมาก็ดึกแล้ว เดินยิ้มโพล่งเข้าประตูมา “ราตรีสวัสดิ์ค่ะ แดดดี๊” “ราตรีสวัสดิ์” เสียงของชายหนุ่มเอ่ยตอบกลับมา บวกกลับยังพัดมอบรอยยิ้มความอบอุ่นให้กับส้มและอ้อย เพ็ญนีติ์พลิกตัว หน้าผากร้อนนิดหน่อย ลำคอรู้สึกว่าจะบวมเล็กน้อย ทำให้เธอแม้ขนาดจะกลืนน้ำสักคำยังยาก ตอนกลับมา ความมีชีวิตชีวาของหญิงอันร่าเริงก็ได้หายไป เหมือนดังโดนเวทมนตร์เสกให้หายไป เธอนอนกอดผ้าห่มตลอดจนถึงตอนนี้ นอนยังไงก็นอนไม่หลับ รู้สึกทรมาน ทรมานมากจริงๆ “หม่ามี๊ หิวไหมคะ?” เสียงของอ้อยดังขึ้นที่ข้างหู เธอส่ายหัว ตอบกับเสียงเบา “ไม่หิวจ๊ะ” “งั้นหม่ามี๊นอนนะคะ หม่ามี๊ หนูจะอยู่ข้างดูหม่ามี๊นอน” มุมปากเธอยักขึ้น ฝืนยิ้มอย่างทรมาน ดีที่เด็กๆมองไม่เห็น หลับตาลง จริงท้องของเธอกับร้องจ๊อกๆอยู่ตลอด แต่กลับไม่รู้สึกอย่างกินไม่รู้ทำไมถึง ไม่อยากกินข้าวร่วมโต๊ะเดียวกันกับปุริม กลิ่นหอมๆของเด็กๆที่พึ่งอาบน้ำเสร็จ กอดเธอทั้งข้างซ้าย ขวาแล้วนอน ทันใดนั้น เธอกระเด้งตัวดีดขึ้น “อ้อย ส้ม รีบออกห่างจากหม่ามี๊เร็ว” “ทำไมหรอคะ?” เสียงงัวเงีย เด็กทั้งสองเกิดอาการต่อต้าน “หม่ามี๊เหมือนจะไม่สบาย ไม่อยากจะแพร่เชื้อให้พวกลูกไง” “หนูไม่กลัว หม่ามี๊ป่วย พวดเราก็จะป่วยเป็นเพื่อนหม่ามี๊” “แล้วถ้าหม่ามี๊ดีใจละคะ?” “พวกเราก็ดีใจด้วยค่ะ” อยากจะหอมแก้วพวกเขาเหลือเกิน แต่ตอนนี้ เธออยากหลบออกจากพวกเขาไกลๆ เธอป่วยจริงๆ “หม่ามี๊อยากจะดูทีวี เด็กๆนอนนะคะ” “อย่าดูดึกนะคะ” ส้มยิ้ม เด็กทั้งสองจัดท่าที่พร้อมนอนแล้ว เธอง่วงนอนแล้ว เด็กๆไม่มีเรื่องให้คิดใดๆ ไม่นานก็หลับไปแล้ว สงสัยตอนกลางวันจะเล่นหนักเกินไป เพ็ญนีติ์นอนพิงนิ่งๆอยู่ที่โซฟา ได้ยินเสียงหายใจนอนของเด็กๆ สายตาเธอไล่มองไปที่ทีวี ไม่ได้ดูรู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย จะลืมตาขึ้น หรือหลับตาลง ก็ทรมานเหลือเกิน พลิกตัวไปมา เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะตาย ไม่ได้ทรมานแบบนี้มานานแล้ว เสียงข้อความในมือถือกลับพลันดังขึ้น “ทำไมไม่มากินข้าวเย็น เพ็ญนีติ์ คุณเป็นอะไรรึเปล่า?” คือจำรูญ เธอวางมือถือลงเบามือ หลับตาลงแน่น ทำเป็นว่าตัวเองหลับไปแล้ว ไม่ได้เห็นข้อความนั้น ทั้งที่กดเปิดอ่านแล้ว ยิ่งอยากจะนอน กลับยิ่งนอนไม่หลับ รู้สึกว่าเวลาช่างหน่วงเหนี่ยวยิ่งนัก และก็ไม่รู้ผ่านมานานแล้วเท่าไหร่ เธอจึงผล็อยหลับไปบนโซฟา ค่ำคืนนั้น โคมไฟที่ข้างผนังของห้องยังสว่างแสงริบหรี่จางๆอยู่ตลอดเวลา มีเงาร่างหนึ่งผลักประตูเข้ามา ค่อยๆปิดประตูลง สายตาถูกกวาดไปทั่วห้อง และไปหยุดยังก้อนเงาร่างหนึ่งที่ขดตัวอยู่บนโซฟา เขาเดินเข้าไป ยืนมือไปทาบที่หน้าผาก หน้าผากร้อนผ่าวขนาดนี้ทำให้คิ้วเขาขมวดเข้าหากัน ทำไมไม่บอกอะไรสักคำ เขาอุ้มเธอขึ้นมา ก้าวยาวมุ่งหน้าไปยังห้องข้างๆ ปุริมบอกกับตัวเองตลอดเวลา เขาแค่ไม่ต้องการทำให้ส้มและอ้อยตื่น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องอุ้มเธอมาที่ห้องข้างๆนี้ บนโต๊ะมีน้ำ มียา เขาเดาไว้แล้วว่าเธอต้องเป็นหวัด เธอนอนหลับลึกนิ่ง เขาเรียกเบาๆให้เธออ้าปากกินยา เธอก็อ้าปากอย่างว่านอนสอนง่ายราวกับฝัน พอกินยาเสร็จ ก็ขดตัวนอนต่อ ท่าทีแบบนี้เหมือนดังลูกแมวที่ถูกคนเอามาทิ้ง ทั้งตัวอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความน่าสงสาร เขาสามารถพาเธอไปโรงพยาบาลได้ แต่ไม่รู้ทำไม กลับไม่อยากไป เท้าก้าวเดินไปที่ระเบียง โทรศัพท์อยู่นาน ปุริมจึงเดินกลับมาที่ห้อง หญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงก็ยังตัวร้อนไม่ลง มองดูใบหน้าสวยๆที่นอนหลับอยู่บนเตียง เขาคิดถึงคำพูดหยอกล้อของหมอหลี่ “เด็กๆมักจะเป็นไข้ตัวร้อนกลางดึกได้ง่าย และไข้ก็ลดยากด้วย เวลานี้จะส่งไปโรงพยาบาลก็ไม่ค่อยสะดวก ไม่สู้หาเหล้าสักหน่อย เพิ่มความร้อนให้เด็กๆถูๆไปมาที่หน้าอกและแผ่นหลัง แบบนี้ก็ไข้ก็จะลดแล้ว” แต่ว่าเธอ ไม่ใช่เด็กน้อยนี่นา แต่เขา กลับบอกกับคุณหมอหลี่ว่าข้างกายมีเด็กคนหนึ่งตัวร้อน เขามองหน้าเธอแล้วยิ้ม จากนั้นก็ไม่ลังเล โทรศัพท์ลงไปยังห้องโถงข้างล่าง สั่งเหล้ารสชาติเข้มข้นมาสองขวด ตอนที่ถือเหล้าเข้ามา ประตูก็ปิดลงแน่นตาม ไม่มีใครจะมารบกวนเขาและเธอได้อีก ป้ายที่หน้าห้องติดประโยคหนึ่งไว้ : ห้ามรบกวน กลับทำให้คนที่เดินผ่านไป ไม่รู้ว่าคิดกันไปถึงไหนแล้ว หมอหลี่บอกว่า เป็นพ่อต้องทำวิธีแบบนี้ให้เป็น และต้องฝึกให้เคยชิน แต่ว่าก่อนจะฝึกให้ชิน เขากลับอยากจะทำอย่างอื่นก่อน นั้นก็คืออาบน้ำล้างตัวเธอให้สะอาดก่อน สวรรค์รู้ว่าตอนที่เขารีบมาที่ชายทะเลนี้ เธอและจำรูญทำอะไรกัน อัพเดทครั้งหน้า วันที่15 พ.ย. 2019 จะมาในเร็วๆนี้ โปรดอดใจรอก่อน
已经是最新一章了
加载中