บทที่ 183 ความรักที่ยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์   1/    
已经是第一章了
บทที่ 183 ความรักที่ยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์
บทที่ 183 ความรักที่ยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์ ส่วนเพ็ญนีติ์ล่ะ เขาชอบที่จะอยู่กับเพ็ญนีติ์ ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รู้จักกัน ตอนนั้นเขาคิดว่าเป็นเพราะเธอเหมือนกับเพ็ญภัทร์ แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่ามันไม่ใช่เพราะแบบนั้น ของที่เธอเคยใช้ รวมทั้งรอยยิ้มของเธอที่ฝังอยู่ในหัวของเขา มันไม่เคยจางหายไป ดังนั้นของที่เป็นของเธอในอพาร์ตเมนท์จึงยังไม่โดนโยนทิ้งหรือเปลี่ยนไป อพาร์ตเมนท์นั้น เขาไม่เคยพาเพ็ญภัทร์ไป ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาถึงไม่อยากให้เพ็ญภัทร์เห็นของของเพ็ญนีติ์ รองเท้าแตะหนึ่งคู่ แปรงสีฟันหนึ่งด้าม ทั้งหมดนั่นเป็นของของเพ็ญนีติ์ เธอที่ดื้อรั้น เธอที่จากไป เธอที่เฉยชา เหมือนกับว่าในสายตาของเธอไม่เคยมีเขา นั่นทำให้เขาอยากรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไรกันแน่ เขาคิดว่ามันเป็นแค่ความชอบเท่านั้น เพราะเขาคิดว่าเขายังคงรักเพ็ญภัทร์อยู่ แต่ในตอนที่เกิดอุบัติเหตุกับเพ็ญนีติ์ ในสายตาและในใจของเขามีแค่เธอ ไม่มีใครอื่นอีกแล้ว คนบางคน เรื่องบางเรื่อง ก็ได้ผ่านไปแล้วจริงๆ เช่นนั้น ท้ายที่สุดแล้วก็จะถูกลบเลือนไป มือกุมมือของเพ็ญนีติ์ไว้ มันทั้งเล็ก และเย็น แต่กลับให้ความอบอุ่นในใจของเขา ดึงมือขึ้นมา กดจูบเบาๆไปทั่วทั้งมือของเธอ ผิวของเธอขาวมาก จนเห็นเส้นเลือดตามข้อมือได้อย่างชัดเจน เธอที่หลับสนิท เพราะเป็นช่วงเวลานี้ เธอจึงไร้หนทางปฏิเสธเขา เมื่อคืนวาน เขาดื่มไปเยอะมาก แต่ยังจำได้แม่นว่านภนต์อยู่ที่บ้านของเธอนานมาก เหมือนว่าเขาได้พูดอะไรหรือทำอะไรเธอไป แต่เมื่อตื่นขึ้นมา เขากลับจำไม่ได้แต่นิด ตอนที่รู้สึกตัวตื่นก็พบว่าตัวเขานอนอยู่บนพื้นพรมหนาๆ เป็นเธอ เป็นความอ่อนโยนของเธอที่ทำให้ใจของเขาเริ่มโอนอ่อน ดูเหมือนว่านอกจากเพ็ญภัทร์แล้ว เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่มอบความอ่อนโยนให้แก่เขา ก่อนจะออกไป ด้วยความฉลาดของเขา เขาให้คนมาส่งอาหารเช้าให้เธอและเด็กๆ และตั้งใจกดปิดนาฬิกาปลุกของเธอ เพราะอยากให้เธอและเด็กๆได้นอนอย่างเต็มอิ่ม เพ็ญนีติ์ ตื่นขึ้นมาเถอะ ตื่นขึ้นมาแล้ว เขาจึงจะวางใจลงได้ ผ่านมาเพียงสิบกว่าวันเท่านั้น เขามานั่งที่หน้าห้องผ่าตัดถึงสองครั้ง ครั้งแรกเพราะเพ็ญภัทร์ ครั้งที่สองเพราะเพ็ญนีติ์ แต่ในใจเขานั้นมีเพียงความรู้สึกเดียว เพียงแค่หวัง หวังให้คนทั้งสองยังคงมีชีวิตอยู่ หวังให้มีชีวิตที่ดี เพราะการมีชีวิตอยู่นั้นคือทั้งหมด พวกเธอคือความสดใสในชีวิตของเขา ยามค่ำคืน เดินอยู่เพียงลำพังในความเงียบนี้ ยามเมื่อท้องฟ้าปรากฏก้อนเมฆสีขาว ปุริมก็ลุกขึ้นยืน เขายืนอยู่ที่หน้าต่าง ถอนหายใจด้วยความอึดอัด เธอยังไม่ตื่น เขาก็ทำเพียงรอเท่านั้น ป้าเหมียวมาหา เพื่อเอาโจ๊กที่ทำเสร็จมาส่งให้ “เมื่อคืนเด็กๆนอนกันหลับไหม” “หลับสนิทดีค่ะ เงียบกันมากเลย ถึงเตียงแล้วก็พากันหลับไปทันที พวกเธอบอกสัญญากับคุณชายไว้แล้วค่ะ” แย้มยิ้มอย่างมีความสุข อ้อยและส้มต่างก็เป็นเด็กที่ดี เพื่อเด็กทั้งสองแล้ว เขาเองก็ต้องรอคอยเพ็ญนีติ์อย่างสงบ ยิ่งไปกว่านั้นใจของเขา... ราวกับว่าได้เปลี่ยนไปแล้วจริง ต่างจากในอดีตโดยสิ้นเชิง “ดีครับ โจ๊กวางไว้ตรงนั้น แล้วรีบกลับไปดูแลเด็กๆเถอะ” จนถึงวันนี้ ป้าเหมียวยังคงเป็นคนที่เขาไว้วางใจมากที่สุด “ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ คุณชาย บาดแผลที่ขาอย่าลืมไปฉีดยา ทานยา และก็ทำแผลนะคะ” “ผมทราบแล้ว” สายตามองออกไปข้างนอกหน้าต่างนั้น เขาชอบช่วงเวลาที่แสงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้ามากที่สุด มันช่างสวยงาม ป้าเหมียวไปแล้ว ท้องฟ้า สว่างแล้ว แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในห้องพักผู้ป่วย เพ็ญนีติ์ยังคงหลับสนิท ใบหน้ายามหลับนั้นดูสงบ ปากแดงที่ดูซีดเล็กน้อยทำให้เขานึกถึงเรื่องเมื่อคืนขึ้นมาอีกครั้ง ปุริมคะ ฉันรักคุณ จะดูเรียกร้องมากเกินไปหรือไม่นะ หากเธอตื่นขึ้นมาแล้วจะช่วยพูดให้เขาฟังอีกสักรอบ มันจะดีแค่ไหนกัน จะได้ไหมนะ เขาก็ไม่รู้ ทำได้แค่รอเท่านั้น ท้องฟ้าสว่างแล้ว เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ข้างนอกและข้างในห้องนั้นต่างมีเงาคนขยับอยู่ตลอด เขารู้ บอดี้การ์ดของเขารักษาการณ์อยู่ที่ข้างนอกประตูนั้นทั้งคืน เพียงแค่ไม่ได้เข้ามารบกวนเขาและเพ็ญนีติ์ เป็นพยาบาลที่เข้ามาตรวจห้องก่อน หลังจากนั้นหมอก็ตามเข้ามา ตรวจหนึ่งรอบ แล้วบอกแค่ว่าใกล้จะฟื้นแล้ว เช่นนั้นก็ต้องรอ เขาทำได้เพียงแค่นี้เท่านั้น ยืนเงียบๆอยู่ที่หน้าเตียงนั้น เพื่อรอช่วงเวลาที่เธอจะฟื้นขึ้นมา หากเขายังไม่ได้รับรู้เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนรถเขาก็คงไม่สามารถสบายใจได้ นิ้วมือของหญิงสาวมีการขยับ เขารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ ลูบไปมาด้วยความยินดี สิบนิ้วสอดประสานรวมเป็นหนึ่งเดียว ฝ่ามือขาวกับฝ่ามือคล้ำ มือเล็กกับมือใหญ่ เฝ้ามองอย่างเงียบๆ หวังให้นิ้วมือของเธอขยับอีกครั้ง ขยับแล้ว ขยับแล้วจริงๆ เธอจะฟื้นแล้วจริงๆ “เพ็ญนีติ์ คุณตื่นขึ้นมาเถอะนะ” เธอไม่รู้เลยหรือว่าทำให้เขากังวลอยู่หนึ่งคืนเต็มๆ นึกถึงเรื่องราวเมื่อคืนวานที่ยังคงทำให้รู้สึกสับสนในใจ ทั้งหมดราวกับฉากๆหนึ่งของหนังสักเรื่องที่ดูไม่น่าจะเกิดขึ้น แต่ทั้งหมดนั้นก็ได้เกิดขึ้นมาแล้ว เธอยังคงหลับสนิท “เพ็ญนีติ์ เด็กๆกลัวกันหมดแล้วนะ คุณต้องตื่นได้แล้ว คุณสัญญากับผมแล้วนี่ว่าจะดูแลพวกเธอ” ตอนที่สะลึมสะลือ เพ็ญนีติ์ได้ยินประโยคนั้น นั่นคือเสียงกระซิบแหบพร่าของปุริม เขาต้องการจะบอกอะไรกับเธอหรือ ปวดร้าวไปทั่วร่าง เธออยากจะลืมตา แต่รู้สึกไร้เรี่ยวแรง จึงค่อยๆพยายาม ชายหนุ่มกุมมือของเธอไว้แน่น แน่นจนรู้สึกว่าข้อนิ้วเริ่มซีด เขาตื่นเต้นอะไรกัน เมื่อคืนวานที่เขาจีบเธอ เขายังไม่มีท่าทีตื่นเต้นเท่านี้เลย เขาดูพลังล้นเหลือ ณ ตอนนั้น เขาดูหล่อและเท่ห์มาก เธอคงหลับมานานแล้ว ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ แสงลอดเข้ามาในดวงตา ท้องฟ้าน่าจะสว่างแล้ว ดวงอาทิตย์น่าขึ้นมาแล้ว พยายามหน่อย พยายามขึ้นอีก ในที่สุดขนตายาวๆนั้นเริ่มขยับ เธอกำลังจะลืมตาแล้ว ปุริมสังเกตเห็นแล้ว เธอรู้สึกได้ แต่แล้ว หูของเธอก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมา เสียงที่รำคาญนั้น ทำเธออดคิ้วขมวดไม่ได้ “เพ็ญภัทร์ นั่นคุณหรือ” น้ำเสียงที่อ่อนโยนของชายหนุ่มดังขึ้นมา แต่ชื่อนั้น กลับทำให้เพ็ญนีติ์ใจกระตุก อ่อนโยนจัง มีเพียงแค่เพ็ญภัทร์เท่านั้นกระมังที่เขาจะอ่อนโยนด้วย “อะไรนะ คุณพูดว่าอะไร” เขาชะงักไป น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความกังวล “ได้ ผมจะรีบไป ยังอยู่ที่H.I ice cream...” เขาวางสายแล้ว เพ็ญนีติ์ได้ยินเสียงเขาเรียกใครสักคนให้เข้ามา แล้วรีบออกไปทันที ตัวตนของเขาในห้องนี้ได้หายไปแล้ว แต่เดิมตัวเธอที่กำลังพยายามลืมตาก็หมดแรงลง มีเพียงหยดน้ำตาที่ไหลตามกรอบหน้าไปอย่างช้าๆจนเปียกชื้น... ผ่านไปไม่นานในห้องพักก็ได้กลิ่นน้ำหอมฉุนๆของผู้หญิง และกำลังเดินวนรอบๆเตียงของเธอ คิ้วเริ่มขมวด เธอไม่อยากตื่นขึ้นจริงๆ ไม่อยากเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้า หญิงสาวรับโทรศัพท์ต่อหน้าเธอโดยไม่มีการปลีกตัวแต่อย่างใด “คุณปุริม คุณเพ็ญนีติ์ยังไม่ฟื้นเลยค่ะ คุณหมอกับพยาบาลเข้ามาตรวจแล้วค่ะ ไม่ได้มีอาการอะไร ต่างก็บอกว่าอีกไม่นานก็น่าจะฟื้นแล้ว” “.....” “โอเคค่ะ ฉันรับทราบแล้ว” เป็นสายจากปุริม ไม่ใช่ว่าเขานัดพบกับเพ็ญภัทร์หรือ ทำไมถึงมีเวลามาใส่ใจเธอได้กัน ค่อยๆเอียงใบหน้าไป เธออยากสูดดมกลิ่นอากาศที่สดชื่นที่ลอยผ่านหน้าต่างเข้ามา ค่ำคืนแห่งความเป็นและความตาย ในชั่วโมงเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนั้น เธอเพิ่งได้รู้ว่าความจริงแล้วการเกิดและการตายนั้นช่างเป็นเรื่องที่ง่ายดายนัก ณ ช่วงเวลานั้น เวลาช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า มันช้าจนทำให้เธอรู้สึกหายใจไม่ออก นอนอยู่อย่างนี้ดีกว่า เธอไม่อยากตื่นเลย ไม่อยากพบเจอกับสิ่งที่เลวร้ายอีก แท้จริงแล้ว ท่าทางของเขาเมื่อวานมันก็แค่การแสดง ไม่มีอะไรที่เป็นจริงเลย ในใจของเขา ท้ายที่สุดก็มีเพียงเพ็ญภัทร์ เพียงคนเดียว ประตูค่อยๆถูกเปิดออก กลิ่นกายที่คุ้นเคยมาพร้อมกับกลิ่นหอมของโจ๊ก “หม่ามี๊...” นั่นคือเสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อย แต่ถึงมันจะแผ่วเบา แต่ก็รับรู้ได้ถึงน้ำเสียงของความยินดีและความกังวล เป็นความยินดีที่ได้พบเจอเธออีกครั้ง แต่ก็มีความกังวลที่เธอยังคงไม่ตื่นขึ้นมา เพ็ญนีติ์คิดไม่ถึง ว่าเด็กๆจะมากัน ความมุ่งมั่นที่อยากจะตื่นขึ้นเริ่มกลับมาอีกครั้ง จะต้องตื่น จะให้เด็กๆมารู้สึกกังวลเพราะเธอไม่ได้ ลองลืมตา ลองขยับมือ ท้ายที่สุด ในช่วงขณะที่เธอกำลังจะลืมตา สองมือของเธอก็ถูกเด็กๆจับกุมเอาไว้ “หม่ามี๊ ตื่นขึ้นมานะคะ หนูคิดถึง” “หม่ามี๊ ตอนกลางคืนที่ไม่มีหม่ามี๊มาส่งเข้านอน พวกหนูนอนไม่หลับเลย” “ดูสิ มือของหม่ามี๊ขยับได้แล้ว” “โอ๊ะ อ้อยดูนี่ ตาของหม่ามี๊ก็ขยับด้วยล่ะ” เพ็ญนีติ์แย้มยิ้ม หมอกที่ปกคลุมอยู่ในใจได้ถูกเด็กๆปัดเป่าออกไปจนหมดแล้ว ในที่สุดเธอก็ลืมตาขึ้น หางตาของเธอคว่ำลง และฉีกยิ้มมุมปากแสดงถึงความสุข “หม่ามี๊ไม่เป็นไรค่ะ” เสียงของเธอนั้นช่างเบา และแหบแห้ง แต่เด็กๆต่างก็ตื่นเต้นกันอย่างมาก “น้าจรินทร์คะ หม่ามี๊หนูฟื้นแล้ว คุณดู แค่พวกเรามาหม่ามี๊ก็ฟื้นเลย” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ใช่ เป็นเพราะเด็กน้อยทั้งสองที่ทำให้เธอตื่นขึ้นมา “คุณเพ็ญนีติ์คะ ทานโจ๊กหน่อยนะคะ” เธอส่ายหน้า ไม่อยากทานอะไรทั้งนั้น “ทานสักหน่อยเถอะค่ะ หากคุณไม่ทานจะลุกขึ้นมาดูแลอ้อยกับส้มได้อย่างไรกัน คุณชายบอกว่า คุณจะต้องตื่นขึ้นมาเพื่อดูแลลูกๆของคุณนะคะ” เขาช่างโหดร้ายเสียจริง เธอยังไม่ทันจะดีขึ้น เขาก็ให้เธอดูแลเด็กๆแล้ว ทั้งๆที่เป็นลูกของเขาด้วยแท้ๆ ยิ้มอ่อนแต่ก็พยักหน้ารับแต่โดยดี “ได้ ฉันจะทาน” ไม่ได้สนว่าจะเป็นคำสั่งจากเขาหรือไม่ ลูกของเธอ เธอก็ต้องดูแลเองอยู่แล้ว เกิดเรื่องขึ้นมามากมาย เธอรู้สึกว่าเด็กๆจะสบายใจมากกว่าหากได้มาอยู่ข้างๆเธอ “หม่ามี๊คะ ให้หนูป้อนนะ ได้ไหมคะ” “หนูทำได้หรือ” “ได้สิคะ ให้หนูป้อนหม่ามี๊เถอะนะคะ” อ้อยแย่งกล่องข้าวที่ป้าเหมียวส่งมาให้เพื่อที่จะป้อนเธอ โจ๊กที่น่าอร่อยนี้ ใส่เห็ดหอมและหอยนางรมแห้ง ทั้งยังใส่คะน้ามาอีกด้วย เพียงแค่ดมก็รู้ว่าอร่อยแล้ว “เอาสิ” แต่หญิงสาวที่อยู่อีกด้านกลับขัดขึ้นมา “หนูส้ม ส่งมาให้น้าเถอะค่ะ หนูยังเด็กอยู่” “ไม่เอาค่ะ หนูจะป้อนหม่ามี๊เอง ไม่อย่างนั้น หม่ามี๊ก็จะไม่ดีขึ้น คุณดูสิ หากพวกหนูไม่มา หม่ามี๊ก็ยังคงไม่ตื่นหรอกค่ะ” ประโยคนั้นทำใบหน้าของเพ็ญนีติ์เริ่มมีสีสันขึ้น หญิงสาวจากตระกูลธนาศักจึงกล่าวว่า “ได้ค่ะ หากหม่ามี๊ของหนูเห็นด้วย หนูก็ป้อนเลยค่ะ แต่ต้องระวังนะคะ อย่าให้ลวกหม่ามี๊ของหนูล่ะ”
已经是最新一章了
加载中