บทที่ 191 ฉันจะจากไปอย่างเงียบๆ   1/    
已经是第一章了
บทที่ 191 ฉันจะจากไปอย่างเงียบๆ
บทที่ 191 ฉันจะจากไปอย่างเงียบๆ หลังจากที่สติค่อยๆกลับคืนมา เพ็ญนีติ์พึ่งจะระลึกถึงคนสองคนที่พึ่งเดินผ่านหน้าเธอไป คนหนึ่งคือปุริม อีกคนคือนารา ในตอนนั้นแขนของนาราควงคู่อยู่กับแขนของปุริมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเฉิดฉาย “ปุริม ให้ฉันขับเถอะ นายเมามากแล้ว” “ได้ยังไงกัน ฉันเป็นผู้ชาย เดี๋ยวฉันขับเอง....” เสียงของปุริมขาดๆหายๆ เอ่ยขึ้นลิ้นพันกัน เห็นท่าจะเมาจริงๆ “ปุริม นี่มันรถของฉัน เดี๋ยวฉันจะขับเอง มานี่ มานั่งตรงนี้...” นาราพยุงเขาอย่างเบามือนุ่มนวลให้ไปนั่งเบาะข้างคนขับ จากนั้นก็หมุนตัวกลับหลังหันไปนั่งเบาะคนขับข้างๆเขา พอสายตาละจากนาราและปุริม เพ็ญนีติ์วิ่งตรงดิ่งเข้ามา ยื่นมือกระชากเปิดประตูรถและดึงแขนของปุริม อาจเป็นเพราะเขาเมามากแล้วจริงๆ ปุริมไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ ยังคงเอนตัวพิงอยู่ที่เบาะ ปากก็บนพึมพรำ “ ใคร? ใครมาจับฉัน?” “ปุริม นายบอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะว่าส้มและอ้อยของฉันอยู่ที่ไหน?” เธอเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น เธอในเวลานี้โกรธจนพร้อมที่จะฆ่าเขาได้เลยทีเดียว เขาทำร้ายเธอด้วยการปล่อยให้เธอรออยู่ที่นี่นานแล้ว นานจนฟ้าจวนจะสว่างแล้ว “อ้อย ส้ม?” เขาเงยหน้าขึ้นกระพริบตาปริบๆ ดวงตาดำคู่นั้นกลับดูห่างเหินว่างเปล่าไร้จุดหมาย เหมือนกับเขานั้นไม่รู้จัก อ้อยและส้มเลย ใบหน้าที่หล่อเหลาแดงเอื่อไปด้วยฤทธิ์เหล้า บนตัวมีกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆของผู้หญิงกระจายคลุ้ง รู้เลยว่าเมื่อสักครู่นี้พวกเขาสองคนจะต้อง.... เลิกคิดได้แล้ว เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวอะไรใดๆกับเธอเลย “ใช่ อ้อยและส้มไง นายช่วยบอกฉันเถอะว่าพวกเด็กๆอยู่ที่ไหน ได้โปรด?” ส่งสายตามองเขาด้วยความกังวล นาราที่อยู่อีกฝั่งเปิดประตูรถ “เพ็ญนีติ์ เธอยังจะมาตามตอแยอยู่อีกหรอ ไสหัวไปเลยนะ ไปไกลเท่าไหร่ได้ยิ่งดี มิเช่นนั้นละก็ ฉันจะทำให้เธอไม่ได้เห็น อ้อย กับส้ม อีกตลอดไป” หญิงสาวที่มีน้ำเสียงที่ไพเราะเสนาะหู แต่คำพูดที่พูดออกมากลับช่างโหดเหี้ยมอมหิตจริงๆ มือชี้หน้านารา เพ็ญนีติ์เอ่ยขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือ : “เธอ...เธอรู้ใช่ไหมว่าพวกเด็กๆอยู่ที่ไหน?” นารายิ้มอย่างสะใจ สายตากวาดมองไปที่ปุริมและผ่านมาหยุดอยู่ที่ตัวเธอ “ฉันรู้สิ ก่อนที่ฉันจะออกมายังกินข้าวเย็นด้วยกันกับพวกเขาอยู่เลย เด็กสองคนนั้นช่างน่ารักจริงๆ ฉันชอบพวกเขาเข้าแล้วสิ” เพ็ญนีติ์สีหน้าซีดเผือด “พวกเขาอยู่ที่ไหน? เธอบอกฉันมานะ เปมิกา เธอรีบบอกฉันมาสิ” “แล้วทำไมฉันจะต้องบอกเธอด้วยล่ะ? เพ็ญนีติ์ ฉันไม่มีความจำเป็นใดๆที่ต้องบอกเธอ ไสหัวไปซะ ไม่งั้นฉันจะเรียก การ์ด” จะเรียก การ์ด อีกแล้ว แต่ว่าสีหน้าของเพ็ญนีติ์เปลี่ยนไปในทันที เธอรู้ดีว่าเธอกับพวกการ์ด.ไม่ใช่มือปราบกัน “ปุริม ได้โปรดบอกฉันมาทีเถอะ? บอกฉันมาเถอะ...” เธอเขย่าไปที่แขนของเขาซ้ำไปมาจนเขาตื่นขึ้นมา เซ้าซี้ให้เขาบอกตนว่าเด็กๆอยู่ที่ไหน แต่เขากลับไม่มีเสียงตอบรับใดๆกลับมา ดวงตายังคงกึ่งหลับกึ่งตื่นไม่สะทกสะท้านใดๆ ยังคงเอนพิงที่เบาะอย่างขี้เกียจ เหมือนกับมีรากงอกออกมาให้ติดอยู่บนเก้าอี้อย่างไงอย่างงั้น ต่อให้เธอออกแรงดึงมากขนาดไหนก็ไม่สามารถทำให้เขาขยับได้เลย “นารา ออกรถ” “ได้” นารากวาดสายตาไปมองปุริมที่ถูกเธอรัดเข็มขัดนิรภัยให้ก่อนหน้านี้แล้ว และก็ไม่ได้สนใจว่าประตูรถจะเปิดอยู่ รีบเหยียบคันเร่งออกตัวไป รถVolkswagen Beetle ทะยานวิ่งออกไป “ว๊าย....” เพ็ญนีติ์ร้องขึ้นอย่างตกใจ รีบก้าวเท้าวิ่งตารมรถไป แต่วิ่งไปได้เพียงกี่ก้าวก็วิ่งต่อไม่ไหวแล้ว มือยังคงจับอยู่ที่รถแน่นไม่ยอมปล่อย แต่รถกลับขับเร็วขึ้นเรื่อยๆ มือยังคงจับอยู่ที่จับประตูวิ่งตามอย่างหยุดไม่ได้ “ปุริมบอกฉันมาเถอะ..” ร้องไห้ น้ำตาไหลออกมาจริงๆแล้ว เธอร้องไห้กับพวกเด็กๆจริงๆแล้ว และมือที่ดึงประตูอยู่ก็ค่อยๆเริ่มปล่อยออก แต่ชายหนุ่มผู้ที่อยู่บนรถยังคงนิ่งเฉยไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอะไรแม้แต่นิด “ปุริม..” ไม่รู้ว่าจะอ้อนวอนเขาอย่างไรแล้ว “ปุริม เมื่อก่อนนายไม่เคยเป็นแบบนี้ นายบอกฉันมาว่าลูกของฉันอยู่ที่ไหนก็พอ ฉันจะไปรับพวกเขาเอง...” เพ็ญนีติ์ร้องไห้ตะโกนเรียกอย่างหนัก จนสุดท้าย ชายหนุ่มบนรถเอ่ยปากออกมา “ตอนนี้เด็กๆไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอแล้ว เพ็ญนีติ์ เธอไปเถอะ ฉันไม่อยากจะเห็นหน้าเธออีกต่อไปแล้ว” น้ำเสียงที่ผสมด้วยฤทธิ์เหล้าเอ่ยออกมา และยังคงมีสีหน้าที่ไร้เยื่อใยเหมือนตอนอยู่ในผับเช่นเดิม ดูเหมือนว่า เขาไม่เคยแม้จะคิดบอกเรื่องลูกให้เธอได้รับรู้เป็นอันขาดและค่อยๆแกะนิ้วของเธอออกจากรถทีละนิ้วๆ ในขณะที่มือ ค่อยๆถูกแกะออกจากรถ เธอสัมผัสได้ว่าน้ำเสียงแบบนี้ช่างไม่เหมือนกับคนที่กำลังเมาแม้แต่นิดเดียว แต่ว่า... คุกเข่าอยู่ที่พื้น มองดูรถที่วิ่งออกห่างตัวเองไปด้วยความรวดเร็ว จนตอนนี้ตรงหน้าเหลือเพียงกลุ่มก้อนของเมฆหมอกเท่านั้น โกรธมากถึงเพียงนี้เลยหรอ.... จนฟ้าสาง ในที่สุดเพ็ญนีติ์ก็กลับมาถึงวิลล่า ประตูใหญ่ยังคงปิดแน่นสนิทอยู่ ต่อให้เธอจะเคาะประตูยังไงก็ไม่มีใครออกมาเปิดให้ มืออันสั่นเทาหยิบโทรศัพท์กดหมายเลขโทรเข้าไปในห้องโถงด้านใน ป้าเหมียว จะต้องรับโทรศัพท์เธอแน่นอน เธอจะกลับมา กลับมารออ้อยและส้มอยู่ที่นี่ ตลอดทั้งคืนแล้ว เธอนั้นแทบจะไม่มีสติอยู่กับเนื้อกับตัวอยู่แล้ว ปุริมไม่ยอมบอกว่าเด็กๆอยู่ที่ไหน เธอจึงทำได้แค่มารออยู่ที่นี่ “คุณผู้หญิง คุณผู้หญิงใช่ไหมคะ?” ป้าเหมียวรีบรับโทรศัพท์เอ่ยถามขึ้น “พวกเด็กๆกลับมารึยัง?” เธอเอ่ยถามขึ้นเสียงเบา เสียงแหบแห้งจนแทบจะไม่ได้ยิน ริมฝีปากแห้งลอกเป็นชั้นอย่างทรมาน ป้าเหมียวเอ่ยตอบเสียงต่ำ : ยังค่ะ คุณผู้หญิงรอป้าอยู่ที่หน้าประตูก่อนนะคะ ป้ากำลังจะออกไป” “อืม” เธอตอบออกมา แต่กลับรู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของป้าเหมียวที่คุยกับเธอมีบางอย่างแปลกๆไป น้ำเสียงของป้าเหมียวแลดูหนักเข้ม และเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน เธอพยุงเกาะอยู่ที่ประตูใหญ่ ถ้าเกิดมือไม่ได้พยุงจับอยู่ที่ราว เธอคิดว่าเธอคงล้มลงไปนานแล้ว ง่วงและเหนื่อยหล้ามากจริงๆ นึกว่าจะเป็นคืนแรกที่ดีที่ออกจากโรงพยาบาล แต่กลับไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นคืนที่โหดร้ายเช่นนี้ แทบไม่อยากจะเชื่อเลย แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันคือความจริง จนเธอจำต้องเชื่อ ภาพที่ปุริมขึ้นรถออกไปกับนาราต่อหน้าต่อตาผุดขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่หยุด ไล่ยังไงก็ไม่ออกไปจากสมองสักที เสียงฝีเท้าเหยียบใบไม้กรอบแกรบดังอยู่ข้างหลัง เพ็ญนีติ์หันกลับไปมองด้วยอาการที่เศร้าโศก มองเห็นป้าเหมียวที่กำลังสะพายกระเป๋าเดินเข้ามา จนถึงที่เธออยู่ มีเพียงกำแพงเหล็กที่ถูกกั้นไว้ ยื่นกระเป๋าใบนั้นผ่านช่องประตูออกมาให้เพ็ญนีติ์ “คุณผู้หญิง นี่คือยาของคุณ ยาพวกนี้ล้วนเป็นยาที่คุณต้องทาน ในนั้นเขียนกำกับบอกไว้หมดแล้วว่า ทานก่อนหรือหลังอาหาร รวมถึงวันหนึ่งต้องกินกี่ครั้ง คุณต้องทานยาตามเวลา ไม่เช่นนั้น อาการคุณจะกำเริบได้” มองดูกระเป๋าสะพายที่อยู่ตรงหน้า สลับกับมองหน้าป้าเหมียว เพ็ญนีติ์เข้าใจขึ้นทันที ฮึฮึ แม้ขนาดบ้านหลังนี้ปุริมยังไม่ให้เธอเข้าไป” เธอนิ่งสงบลงทันใด ทุกอย่างดูผิดแปลกไปหมด ถ้าเกิดจะบอกว่าเขาเปลี่ยนไป ก็ไม่น่าจะเปลี่ยนไปได้ภายในแค่สองสามชั่วโมงอันรวดเร็วขนาดนี้ เธอไม่เชื่อหรอก ไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน ชายที่ช่วยเธออย่างไม่คำนึงถึงชีวิตของตัวเองตอนที่รถเกิดอุบัติเหตุคนนั้น จะเป็นคนที่โหดร้ายในตอนนี้ได้ยังไงกัน? ส่ายหัวไปมา เธอไม่เชื่อ “ป้าเหมียว เขาใช่ไหมที่ไม่ให้ฉันเข้าไป?” เธอเอ่ยถามขึ้นเสียงเบา ใบหน้าที่ดูเหน็ดเหนื่อยโรยแรงเค้นยิ้มออกมา เสียงของเธอช่างแผ่วเบายิ่งนัก เบาราวกับไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แค่กระทบใจคนฟังเป็นระลอกๆบวกกับเวลารุ่งอรุณแบบนี้ ทำให้รู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน “คุณผู้หญิง ฉัน...” ป้าเหมียวเอ่ยเสียงสั่น ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ ต่อให้ไม่ได้เอ่ยต่อเพ็ญนีติ์ก็ชัดเจนดีว่าประโยคต่อไปเขาจะเอ่ยอะไร “เหอะเหอะ ขอบคุณนะคะป้าเหมียว งั้นฉันไปก่อนนะ” เธอบอกจบ สายตามองไปยังวิวที่สวยงามอยู่ตรงหน้า ชั่วพริบตาเดียวกลายเป็นความว่างเปล่า วันเวลาที่ไม่มีอ้อยและส้มแล้ว ยิ่งไม่มีอะไรงดงามอีกเลยต่อไป ฉันจะไปอย่างเงียบๆ แต่แม้ว่าไม่อยากเอาเรื่องไม่สบายใจเหล่านี้ไปด้วย แต่ก็ยังคงเป็นห่วงกังวลวางไม่ลงเรื่องลูกทั้งสองสักที นั้นเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเธอเลยเชียวนะ ก้าวทีละก้าวเดินออกห่างจากเขาไปเรื่อยๆ แต่ว่าในใจกลับอยากรู้ความจริงเหลือเกิน จะต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาเป็นแน่ จึงทำให้เขาเปลี่ยนไปมากถึงขนาดนี้ “คุณผู้หญิง” ป้าเหมียวร้องเรียกอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงที่สั่นมากกว่าเดิม เธอไม่ได้หันหน้ากลับมา เพียงแค่ยืนนิ่งๆอยู่ข้างพุ่มไม้พุ่มหนึ่ง “ป้าเหมียว อยากพูดอะไร พูดมาสิ...” ป้าเหมียวเอ่ยขึ้นเสียงต่ำราวกับกำลังพยายามควบคุมเสียงสะอื้นไว้ในลำคอ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้น : “คุณผู้ชายบอกว่า ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ ยานั้นจะต้องทาน...” คุณผู้ชายบอก ประโยคที่ป้าเหมียวเอ่ยขึ้นประโยคนี้ คือปุริม เป็นประโยคกำชับของเขา ที่ให้เธอกินยาต่อกันให้หมด เกิดเรื่องแล้ว เธอเข้าใจแล้ว การที่เขาให้เธอเดินจากไปอาจเป็นเพราะหวังดีกับเธอ เวลานี้เธอคิดแบบนี้จริงๆ ชายหนุ่มที่ช่วยเธอโดยที่ไม่สนใจว่าตัวเองจะเป็นหรือจะตาย จะไร้เยื่อใยกับเธอขนาดนี้ได้อย่างไรกัน? เป็นไปไม่ได้ จะต้องเป็นเธอที่ทำผิดอะไรต่อเขาสักอย่างอย่างแน่นอน ทันใดนั้นใจของเพ็ญนีติ์เกิดสับสนขึ้น ทั้งเชื่อมันทั้งเป็นกังวลก่อเกิดขึ้นรวมกัน จะแยกยังไงก็แยกไม่ออก “คุณผู้หญิง..” ป้าเหมียวอดไม่ได้ที่จะเกาะประตูรั้วมองตามแผ่นหลังของเธอไป ในใจนั้นยิ่งเป็นห่วงมากขึ้นเรื่อยๆ “ฉันรู้แล้ว ป้าไปบอกเขาเถอะ ยาน่ะฉันกินแน่นอน” เธอเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพอออกจากโรงพยาบาลมายาที่ต้องกินกลับเพิ่มมากขึ้น อาจจะเป็นเพราะบาดแผลของตนยังไม่ได้สมานดีเท่าที่ควร อีกอย่าง อาการปวดเอวก็ยังไม่หายดี ป้าเหมียวไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ กลับหลังหันรุดกลับเข้าบ้านไป เพ็ญนีติ์เดินอยู่นานจึงพบแท็กซี่ แต่พอขึ้นรถแล้ว เธอกลับไม่รู้ว่าตัวเองจะไปที่ไหนดี ถ้ากลับไปยังบ้านของเธอก็กลัวว่า ที่นั้นไม่มีอ้อยและส้มอีกต่อไป เมื่อไม่มีก็ไม่ใช่บ้านอีกแล้ว ทันใดนั้นเอง เพ็ญนีติ์นึกถึง นภนต์ ขึ้นมาได้ เมื่อวานนภนต์ก็ช่วยตามหาปุริมตามที่ต่างๆ ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาหาเจอรึยัง คิดไปคิดมา เธอจึงโทรศัพท์โทรออกหานภนต์ เวลายังเช้าอยู่จริงๆ โทรไปหาเขาตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะโทรไปรบกวนเวลานอนของเขารึเปล่า แต่เธอนั้นไม่สบายใจเหลือเกิน เธอไม่ใช่แค่จะบอกเรื่องเบาะแสของปุริม แต่ยังจะบอกเรื่องของลูกๆให้เขาฟัง ในก้นบึ้งในใจนั้นทรมานจนพูดไม่ออก เหมือนกับว่าตัวเองจะเป็นบ้าไปแล้วยังไงอย่างงั้น “เพ็ญนีติ์ ใช่เธอไหม?” เสียงรอสายดังอยู่แค่สองครั้งก็มีเสียงคนรับดังออกมา “อืม ฉันเอง” “เธออยู่ที่ไหนอ่ะ? ฉันจะไปรับเธอ” นภนต์ไม่ได้เอ่ยถามอะไร ราวกับว่ารู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วยังไงอย่างงั้น บอกแค่ว่าจะไปรับเธอ “ไม่ต้องหรอก ฉันแค่จะบอกนายว่าฉันหาปุริมเจอแล้ว” “อ้อ”
已经是最新一章了
加载中