ตอนที่203 ก็แค่เธอคนเดียว   1/    
已经是第一章了
ตอนที่203 ก็แค่เธอคนเดียว
ตอนที่203 ก็แค่เธอคนเดียว สีหน้าของพวกเด็กๆดูมีความสุขขึ้นมา แต่ว่าพวกเขาพูดๆไม่ได้ มือเท้าถูกมัดอยู่ ในปากก็ถูกยัดด้วยผ้า รีบแก้มัดเชือกบนตัวของเด็กๆ ระเบียงที่อยู่ข้างหลังยังมีเสียงต่อสู้อยู่เรื่อยๆ และคล้ายกับว่าจะยิ่งรุนแรงขึ้น ดึงผ้าในปากออกให้เด็กๆ แล้วพูดอย่างรีบร้อนว่า “อย่ากลัว หม่ามี๊พาพวกเธอออกไป” “หม่ามี๊” รอบตาของอ้อยและส้มแดงมาก เธอยื่นมือไปแก้มัดเชือกที่ตัวของพวกเธอ แต่ว่ามือกลับสั่นตลอด ยิ่งรีบยิ่งสั่น “หม่ามี๊อย่างกังวลไป พวกเรายังดีอยู่” ส้มคล้ายกับมองออกว่าเธอกลัว ดังนั้นจึงปลอบชโลมเธอ ลูกรักของเธอดีแค่ไหน อยากจะหอมพวกเธอจริงๆ เพียงแต่ว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ตอนนี้สำคัญที่สุดคือพาพวกลูกๆหนีออกไป แต่ว่า ในลานหมดทุกที่ก็มีแต่คน เพ็ญนีติ์เปิดหน้าต่าง ในหูส่งเสียงดังก้อง ลมพัดแรง บนดาดฟ้าคล้ายกับว่าจอดเฮลิคอปเตอร์อยู่ลำหนึ่ง ทำให้เธอนึกขึ้นมาทันทีว่าเมื่อก่อนที่บนคฤหาสน์หรูนาราพวงมาลัยเครื่องบินลำนั้นไม่อยู่ เป็นเครื่องบินของใครกันนะ คิดไม่ทันแล้ว ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลามาคิด มือข้างหนึ่งจูงอ้อย มือข้างหนึ่งจูงมือส้ม “ออกไปกับหม่ามี๊ เราดูสถานการณ์ปฏิการ เข้าใจไหม” “อื้ม” เด็กน้อยทั้งสองพยักหน้า ดูไปที่ใบหน้าของพวกเธอและบนขามีรอยแดง และยังมีที่บนข้อมือ พวกนั้นทำให้เธอปวดใจ แต่ว่ามีเพียงออกไปแล้ว เธอถึงจะทายาให้พวกเธอได้ ขอเพียงแต่ลูกๆไม่เป็นอะไร ยังมีชีวิตรอด ก็เป็นความสุขครั้งยิ่งใหญ่ของเธอแล้ว เธอเดิมทีเธอคิดว่า ทำให้ใจกลับมาสงบเหมือนเดิม เวลาวุ่นวายขนาดนี้ เธอจะวุ่นวายอีกไม่ได้แน่ ลูกทั้งสองในมือของเธอ ความจริงแล้วเป็นจุดอ่อนของเธอ เธอไม่แน่ใจจริงๆว่าจะพาลูกๆหนีออกไปได้ความหวังนี้น้อยนิดมาก ความคิดผุดขึ้นมา เธอก็พูดว่า “อีกสักครู่เห็นลุงก็บอกว่าป้าพาพวกหนูไปอาบน้ำนะ เรียกหม่ามี๊ว่าคุณป้านะ จำได้ไหม” “จำได้แล้ว” อ้อยและส้มพูดพร้อมกัน ใบหน้าน้อยๆของทั้งสองคนซีดมากเพราะก่อนหน้านั้นหวาดกลัวเกินไป ฟ้าคงรู้ว่าพวกหล่อนเห็นเธอในเวลานั้น เธอปวดใจแค่ไหน แววตาเจ้าตัวเล็กทั้งสองแข็งทื่อ เธอคิดว่าพวกเด็กๆประสบกับการทารุณที่โหดร้ายนะ เพราะว่า เธอก็ได้รับความทรมานการนาราเพียงแต่ว่าเธอโชคดี ก็เลยหนีออกมาได้ตอนนี้มาคิดๆดู เดิมทีเลือดออกจมูกก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน “พวกเราออกไป เดินตามแม่ลงมา ถ้าแม่โดนคนสกัดไว้ พวกหนูก็ต้องวิ่ง ไม่ต้องหันหลังกลับ รีบวิ่งสุดชีวิต วิ่งได้เท่าไหร่ก็วิ่งไปให้ไกล”ที่สุด เป็นเสียงต่ำที่ได้สั่งกำชับ เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเธอออกไปแล้วต่อมาจะเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าในระเบียงส่งเสียงต่อสู้กันกลับทำให้เธอรู้สึกว่ามีความหวัง อาจจะ อาศัยเวลาที่พวกเขากำลังวุ่นวายวิ่งหนีไปล่ะ ทุกเรื่องอาจเป็นไปได้ ไม่ทันแล้ว ไม่มีเวลาพูดกับลูกๆไปมากกว่านี้อีกแล้ว ทุกอย่าง ก็พึ่งโชคละกัน เพ็ญนีติ์ผลักประตูออกไป เธอแววออกไปก่อน แต่ว่าในระเบียงนอกจากคนที่ล้มอยู่นั้นแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นต่อสู้อยู่อีก แต่ว่า เสียงต่อสู้ยังอยู่ คล้ายกับว่าอยู่บนบันได จูงมืออ้อยและส้มเดินไป เดินไปอธิษฐานไป เธอไม่มีความมั่นใจเลยซะจริง ไม่มีเลยสักนิดเธอเป็นผู้หญิงธรรมดาที่ต้องมาหลบอยู่ในตึกท่ามกลางผู้ชายที่มีประสบการณ์นี้ คิดดูแล้วช่างเป็นเรื่องอาหรับราตรี “หม่ามี๊” อ้อยเห็นผู้ชายล้มอยู่ข้างๆ เพราะว่าร่างของเขาเต็มไปด้วยเลือด ก็ตกใจมาก ขาก็สั่นแล้ว เด็กน้อยทั้งสองเดินไม่ไหวแล้ว ก็ดึงชายเสื้อของ เพ็ญนีติ์ไม่ปล่อยมือ กี่วันแล้ว พวกเด็กๆกลัวจนถึงขีดสุด พวกเธอกำลังกลัว กลัวมากๆ เพ็ญนีติ์โค้งตัวไปอุ้มอ้อย “อย่ากลัวไปนะ อ้อย เชื่อฟัง ส้มก็ต้องเป็นเด็กดีนะ ต้องจูงมือหม่ามี๊ไว้”ลูบหัวปลอบอ้อย ถ้าเด็กทั้งสองให้เธอวิ่งไปด้วยกัน เกรงว่าเธอก็ไม่มีแรงวิ่งหนีแล้ว เสียงต่อสู้ยิ่งใกล้เข้ามา เธอพาลูกๆถึงทางบันไดเพ็ญนีติ์หยุด แล้วนำลูกๆปกป้องไว้ข้างหลัง แล้วก็ยื่นหัวไปดูอย่างช้าๆ ข้างหน้า ก็มีสิบกว่าคนต่อสู้อยู่ในทางแคบๆ เป็นคนนอกเครื่องแบบทั้งหมด ไม่ชัดเจนว่าใครเป็นคนของนารา ใครเป็นคนของอีกพวกหนึ่ง ยิ่งไม่รู้ว่าคนพวกนี้ทำไมต้องต่อสู้กัน อาจจะเป็นความขัดแย้งภายใน พระเจ้าช่วยเธอไว้แท้ๆ กวาดสายตามองไปที่ทุกคน ในสมองของเธอคิดอยู่แต่ว่าจะรีบผ่านคนพวกนี้และลงบันไดไปได้อย่างไร “พรึ่บ” ไฟบันไดดับไป ไม่รู้ว่าใครไปโดนตัวปิดเปิดไฟ แต่ว่าตอนที่ไฟดับลงนั้น ผู้ชายที่ต่อสู้อยู่ที่ขั้นบันไดบนสุดเห็นเงาคนที่แอบอยู่ที่มุมกำแพง ปุริมใจเต้นแรง ชื่นชมยินดีทันที เพ็ญนีติ์หายไปตั้งนาน เวลานี้เห็นเธอแล้วช่างเซอร์ไพรส์จริงๆ ดูเหมือนว่า ไม่ใช่แค่เขาจะมาช่วยลูกๆ เธอก็มาแล้ว ก้มหัวพูดที่เครื่องส่งรับวิทยุ “นำทางให้พวกเขาไปต่อสู้ที่อื่น” ใครก็ไม่รู้ว่ามันเรื่องอะไรกัน คนตรงทางบันไดต่อสู้กันไปมุ่งหน้าไปดาดฟ้าเพ็ญนีติ์ดีใจมาก พระเจ้าช่วยเธอเอาไว้จริงๆ มองไปที่คนตรงทางบันไดได้เลี้ยวมุ่งไปสู่ดาดฟ้า ทำให้เธอมองไม่เห็นเงาคน ได้ยินแค่เสียงต่อสู้เพ็ญนีติ์จูงมือเด็กทั้งสองลงไปข้างล่าง “หม่ามี๊ หนูกลัว” “ไม่ต้องกลัว ขอเพียงแต่ไปนอกตึก พวกเราก็เป็นอิสระแล้ว” เธอโอ๋อ้อย ปลอบชโลมอย่างเบาๆ เจ้าตัวน้อยทั้งสองวิ่งอย่างรวดเร็ว ไม่ได้ช้าลงเลยสักนิด เพิ่ง ตรงราวบันไดที่ว่างๆ มีอะไรหล่นมา บังเอิญหล่งตรงที่เพ็ญนีติ์ยืนอยู่ไม่กี่ขั้นอาศัยแสงสลัวที่บันได เพ็ญนีติ์เห็นกุญแจรถ รูปร่างนั้นทำให้เธอคุ้น เหมือนกับกุญแจรถเต่าของเธอ หรือว่าจะเป็นกุญแจรถของนารา ไม่สนอะไรทั้งนั้น เพ็ญนีติ์ หยิบขึ้นมาแล้ววิ่ง ในคฤหาสน์นารายังหลับลึกอยู่ อันธพาลคนอื่นก็ถูกปุริมล่อไปที่ดาดฟ้า ตรงนั้นจอดเครื่องบินทหารอยู่ณัฏฐพลสูบบุหรี่และมองไปข้างหน้าที่กำลังต่อสู้อยู่อย่างไม่ได้ใส่ใจ ตอนมาปุริมก็บอกแล้วว่า ไม่อนุญาตให้เขาออกตัว เขาแค่ให้จัดการให้พวกเด็กๆขึ้นเครื่องบินก็พอแล้ว แต่ว่า กลุ่มคนนี้ได้มุ่งไปที่ดาดฟ้าแล้ว เขากลับไม่เห็นคนไหนพาเด็กมา “ปุริม คนล่ะ” “อย่ายุ่ง” นี่คือหมายความว่าอย่างไร ปุริมมาช่วยอ้อยและส้มแท้ๆ ตอนนี้บอกว่าไม่ต้องยุ่ง ณัฏฐพล เมินเฉยกับฉากข้างหน้า หมุนตัวกับเข้าไปในเครื่องบิน แล้วก็พูดทางเครื่องส่งเสียงวิทยุ “คือคุณเองบอกว่าไม่ต้องยุ่ง” “หุบปาก” ปุริมกำลังต่อสู้อยู่ จะมีแรงไปพูดเหลวไหลซะที่ไหน คนของนาราเยอะซะจริง แล้วอีกอย่างยังเป็นระดับมืออาชีพ ประหม่าไม่ได้เลยซักนิด เพียงแต่หวังว่าข้างล่าง เพ็ญนีติ์จะพาลูกๆหนีออกไปให้เร็ว ได้ช่วยให้เธอพาลูกออกไปไม่ได้ไม่ดีทุกอย่างขอเพียงแต่มีผลดีก็พอแล้ว ในส่วนของกระบวนการ เขายังไงก็ได้ เพ็ญนีติ์มาที่ห้องโถงชั้นหนึ่ง ทุกอย่างมันราบรื่นไปหมดราบรื่นจนทำให้เธอหอบ นี่มันง่ายเกินไปหรือเปล่า ตอนที่ผลักประตูใหญ่ห้องโถงจะวิ่งออกไปด้านนอก เธอแม้กระทั่งได้กลิ่นอากาศของความเป็นอิสระแล้ว “อ้อย ส้ม รีบ ตรงนั้น พวกเราขึ้นรถคันนั้น” มือชี้ไปที่รถเต่า เพียงแต่หวังว่ากุญแจที่อยู่ในมือจะเป็นของรถคันนั้น รีบหน่อย รีบอีกหน่อย เธอรีบพาลูกๆพุ่งเข้าไปอย่างสุดชีวิต ถึงแล้ว มือกด รถก็สว่างจริงด้วย เป็นกุญแจของรถคันนี้ โชคดีจริงๆ ฟ้าส่งกุญแจลงมาให้ ดูเหมือนว่าการที่เธออธิษฐานนั้นจะมีผล เปิดประตูรถนำลูกๆเข้าไปนั่ง “เข้าไปหมอบไว้ อย่าส่งเสียง” หม่ามี๊ลองดูว่าออกไปประตูใหญ่ได้ไหม ประตูใหญ่ปิดแน่นอยู่ เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะออกไปได้ไหม คนที่เฝ้าประตูอยู่นั้น คงจะเป็นคนที่นาราสนิทที่สุด อยากให้เขาเปิดประตูคงไม่ง่ายขนาดนั้น ซ้ำยังตอนนี้วุ่นวายขนาดนี้ เขาก็กลัวทำอะไรซี้ซั้วก็จะต้องรับผิดชอบ จำเป็นต้องตรวจสอบ ดังนั้น เธอให้อ้อยและส้มหมอบแอบเอาไว้ ออกรถเถอะดูสถานการณ์ปฏิบัติงานละกัน เพ็ญนีติ์ สตาร์ทรถ อ้อยและส้มหมอบอยู่บนเบาะรถอย่างเชื่อฟัง ไม่ขยับเลยสักนิด กลัวว่าถ้าขยับก็จะถูกจับได้และไปขังอยู่ในห้องนั้น พวกเธอกลัวมากๆ กลัวว่าจะไม่มีวันที่มีหม่ามี๊และแดดดี๊ รถขับมาถึงหน้าประตูใหญ่เพ็ญนีติ์หมุนหน้าต่างรถลง พอดีก็มีชายชราที่เป็นคนเฝ้าประตูยื่นหัวออกมาดู “ไปทำอะไร” ลุกแก่คนนั้นเห็นเธอใส่ชุดคนใช้ ก็เลยไม่ได้สงสัยอะไรชั่วคราว เพ็ญนีติ์กลืนน้ำลายอึกหนึ่ง ก็กลืนความกลัวของเขาลงไปด้วย “คุณผู้หญิงปวดท้อง ให้ฉันไปซื้อยาปวดท้องประจำเดือนกลับมา รีบเปิดประตูเร็วเข้า บนตึกวุ่นวายมาก คุณหนูปวดมากจะไม่ไหวอยู่แล้ว” เธอเป็นผู้หญิง ผู้หญิงบอกเรื่องผู้หญิงก็เป็นเรื่องปกติ แต่ทว่า หน้าของชายชราดูไม่วางใจอยู่หน่อยๆ แล้วก็ออกมาจากห้องเฝ้าประตู วิ่งมาที่รถเต่า “แค่เธอคนเดียวหรอ” “ใช่ฉันแค่คนเดียว ฉันรีบไปรีบกลับ ลุงไม่เห็นหรือไง ข้างบนต่อสู้กันอยู่ คุณผู้หญิงโกรธจะแย่แล้ว” คนเฝ้าประตูคนนั้น เดินมาที่หน้ารถ ฟุบลงที่หน้าต่างรถ มองไปที่ในรถ ในรถนอกจากข้างหน้ามีไฟเล็กๆสลัวๆแล้ว อ้อยและส้มได้ยินเสียงของเพ็ญนีติ์และชายชรา ดังนั้น เจ้าตัวเล็กทั้งสองก็เชื่อฟังไม่ขยับสักนิด แม้กระทั่งลมหายใจก็กลั้นเอาไว้ หม่ามี๊บอกแล้วว่า พวกเธอต้องหนีออกไป ต้องหนีออกไปให้ได้ ผู้ชายคนนั้นมองแล้วมองอีก ไม่เห็นอะไรเลยจริงๆ“ฉันทำไมไม่เคยเห็นเธอเลย” “ฉันคือภูรี มาใหม่” พูดไปมั่วๆที่จะใสสีปรุงแต่งได้ ก็ใช้หมดแล้ว ชายชราคนนี้อายุก็ไม่น้อยแล้ว ถ้าภูรีเป็นคนมาใหม่จริงๆ เขาอาจจะจำรูปร่างหน้าตาของภูรีไม่ได้ แล้วอีกประการหนึ่งผมตรงห้อยลงมาที่แก้ม ทำให้คนยากที่จะแยกจริงปลอม เวลานี้ เธอได้แต่พนันแล้ว “ทำไมฉันเรียกคุณผู้หญิงมาโดยตลอดก็ไม่ตอบนะ ตอนนี้คุณผู้หญิงอยู่ไหน”
已经是最新一章了
加载中