ตอนที่ 215 คุณคือภรรยาของเขา   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 215 คุณคือภรรยาของเขา
ตอนที่ 215 คุณคือภรรยาของเขา ฉาราเหลือบไปมองเพ็ญนีติ์ชายที่อยู่ตรงข้าม แล้วถามอย่างพึมพำ ดังกึกก้องเสียยกใหญ่ ฉาราชี้ไปที่เพ็ญนีติ์ แล้วชี้ไปที่ปุริมพร้อมกับพูดออกมา เพ็ญนีติ์คว้าที่ข้อมือของเธอ “คุณพูดอะไรกับเขา?” “ฉันพูดว่าคุณคือภรรยาของเขา” เธอต้องการที่จะบอกว่าไม่ใช่ แต่พี่จู๋ตยิ้มแล้วส่ายหัวไปมาเล็กน้อยให้เธอ ถึงแม้จะเป็นเพียงการส่ายหัวเล็กน้อย แต่เธอกลับมองออกได้อย่างชัดเจน และเข้าใจได้ทันทีว่าฉารากำลังปกป้องเธอ ตอนนี้สามารถพูดได้ว่าปุริมเป็นลูกค้าคนหนึ่งของคนพวกนี้ พวกเขาจึงค่อนข้างเคารพเธอ เมื่อเห็นปืนในมือของคนเหล่านี้ เพ็ญนีติ์ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร เธอบอกกับตัวเองว่า มันแค่ชั่วคราว มันแค่ชั่วคราว ฉาราหันกลับไปทางด้านปุริมอีกครั้ง “เขาถาม ต้องจ่ายเงินทั้งหมดในครั้งเดียวหรือไม่?” ปุริมยิ้มที่มุมปาก ร่างกายที่สูงใหญ่ที่ตะแคงอยู่บนลำต้นไม้ ทำแค่เพียงฟังเขาอย่างใจเย็น “ใช่” แล้วคนที่เป็นหัวหน้าก็พูดอะไรออกมา ฉาราพูดอย่างรวบรัด “เขาบอก เชิญพวกเราขึ้นรถไปกับพวกเขา” ปุริมพยักหน้าให้แก่ชายคนนั้น แล้วยื่นมือออกไป ฝ่ายตรงข้ามก็จับมือเขาด้วยความสุภาพ ถ้าหากไม่ใช่เพราะปืนในมือของคนกลุ่มนั้น เพ็ญนีติ์คงไม่รู้สึกว่าคนกลุ่มนั้นเป็นพวกผีห่าซาตานอะไร ช่างเหนือกว่าหกคนในคืนวันนั้น แต่สิ่งเหล่านี้ ก็ต้องขอบคุณความขี้โม้โอ้อวดของปุริมด้วย เขาไม่ได้มีเงินมากพอที่จะซื้อเฮโรอีน และเขาก็ต้องการเงินสำหรับธุรกิจของตัวเองอยู่พอดี แต่ละคนหันหลังกลับไปนั่งที่รถออฟโรสของตัวเอง แต่ไม่นึกว่า ชายคนนั้นจะตะโกนออกมาจากทางด้านหลัง ฉาราที่เดินอยู่ข้างเพ็ญนีติ์ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที มีการกล่าวด้วยความกังวลเล็กน้อย “เขาบอว่าผู้ชายคนหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่ง ให้พวกเรานั่งรถของพวกเขา” “ไม่ได้ ปุริมปฏิเสธไปโดยไม่คิด” ฉาราตอบชายคนนั้นไปตามคำพูดของปุริมอย่างที่คิด แต่ชายคนนั้นกลับยักไหล่ แล้วหัวเราะ ทำให้ฉาราต้องแปล “นี่เป็นระเบียบของที่นี่ หากพวกคุณไม่เห็นด้วย ก็คงทำได้แค่มัดพวกเขาไว้จนกว่าจะพาไปถึงอาณาบริเวณ แล้วค่อยว่ากัน” ปุริมหยุดเดิน ใบหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “บอกเขา หากจะแยกพวกเรา ต้องให้คุณไปกับพี่จู๋ต และฉันไปกับเพ็ญนีติ์” “แต่ว่า พวกคุณสองคนฟังไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขาพูด” “ไม่เป็นไร หากเป็นอย่างนี้ ฉันเห็นด้วย มิฉะนั้น คงไม่ได้พูดคุย ธุรกิจที่เหลือก็ไม่ต้องทำแล้ว พวกเขาไม่ทำ ก็ต้องมีคนอื่นทำอย่างแน่นอน” เมื่อฟังเขาพูดจบ ก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ ทำให้เพ็ญนีติ์อดสงสัยไม่ได้ว่าธาตุแท้ของเขาเป็นคนอย่างไร เขาไม่รู้สึกอึดอัดที่อยู่ในป่าใหญ่ อีกทั้งยังปรับตัวให้เข้ากับที่นี่ได้อีก อย่างน้อยก็สามารถพกมีดหั่นเล็มเล่มนั้นได้ เธอคิดถึงเล็มเล่มๆ ของเขาที่อยู่ภายในกระเป๋า เธอคิดว่าหาอยู่กันตามลำพังกับฉาราก็ไม่กลัว อย่างน้อยสิ่งนั้นก็สามารถทำให้เธอปลอดภัย แต่ว่าจิตใจของเขากลับตื่นเต้นต่อชายคนนั้นแล้ว เมื่อคิดแล้ว เขาก็แปลให้ฉาราฟัง “ก็ได้ พวกเราจะก้าวไปคนละก้าว ใครจะขึ้นรถของพวกเรา?” พี่จู๋ตกล่าว “ฉันกับเธอ มือขอเขาชี้ไปที่ฉารา” “ได้ แต่พวกคุณต้องกับคนของพวกฉัน” ชายหนุ่มส่งสายตาไปยังสองคนด้านข้าง ทั้งสองคนก็กระโดดขึ้นไปบนรถออฟโรสของพวกเขาในทันที อีกทั้งยังนั่งในตำแหน่งทางด้านหลังโดยไม่พูดอะไร ไม่นานปุริมก็ขับรถออกไป เธอทำได้แค่นั่งข้างเขา แต่สองคนที่ถือปืนนั่งด้านหลังนั้นสามารถเอาชีวิตของพวกเขาได้ตลอดเวลา ปุริมกระโดดขึ้นรถด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์แสดงออก “เพ็ญนีติ์ ขึ้นรถ” เธอขึ้นรถโดยไม่พูดอะไร แท้จริงการจัดการเช่นนี้เป็นเรื่องดี ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เขาและพี่จู๋ตจะสามารถปกป้องผู้หญิงทั้งสองคนได้อย่างทันท่วงที ฝ่ายตรงข้ามมีรถสามคัน รวมเข้ากับรถของพวกเขาเป็นทั้งหมดสี่คัน แสงไฟจากรถที่กำลังแล่นอยู่ในด้วยความเร็วเพื่อไปยัง สถานที่กำลังไปนั้น บางทีอาจเป็นสถานที่ที่เธออยากจะไป นภนต์ ในที่สุดเธอก็ได้พบเขาแล้ว เพียงแต่รถไม่ได้ใช้เวลานานในการวิ่ง เมื่อเธอดีใจที่เห็นแสงไฟมาจากระยะไกล รอของชายคนนั้นก็หยุดลงต่อหน้ารถออฟโรส ปุริมทำได้เพียงชะลอความเร็วรถลง แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าชายสองคนที่อยู่ด้านหลังจะตะโกนใส่เธอและปุริม จากนั้นปืนสองกระบอกนั้นก็ทำให้เธอเป็นกังวลว่าปากกระบอกปืนจะเล็งเป้าไปที่ด้านหลังของเธอและปุริม เย็นเยือกราวกับน้ำแข็ง แข็งแกร่ง เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหันจนไม่สามารถเตรียมป้องกันได้ ทำให้ ทั้งสี่คนถูกควบคุมตัวลงมาจากรถอีกครั้ง ภายใต้การแปลความหมายของฉารา ชายคนสองยักไหล่ แล้วล้วงเอาอาวุธที่ติดตัวมา แต่พี่จู๋ตมีเพียงมีดเล่มเล็กหนึ่งเล่ม ซึ่งเป็นอาวุธชิ้นเดียวของเขา แต่กลับคาดไม่ถึงว่าปุริมจะใช้มือล้วงเอาปืนพกออกมาสามกระบอก หนึ่งในนั้นคือปืนที่ขาเคยใช้ช่วยชีวิตเธอ เมื่อชายที่มีอาวุธครบมือได้ค้นตัวของปุริมและพี่จู๋ตเสร็จ ก็หันไปทางด้านของฉาราและเพ็ญนีติ์ ทำให้สีหน้าของฉาราเปลี่ยนไป “บนตัวของฉันไม่มีอะไร” “แล้วเธอล่ะ?” “พวกเขาเป็นผู้หญิง คุณคิดว่าผู้หญิงที่อุ้มกระต่ายจะสามารถฆ่าคนได้อย่างนั้นหรือ?” ปุริมกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันเล็กน้อย เพื่อไม่ต้องการให้ผู้ชายกลุ่มนั้นเข้าใกล้ฉาราและเพ็ญนีติ์ “ไม่ได้ ให้ฉันค้น” เพ็ญนีติ์ก้าวถอยหลังไป ไม่ เธอไม่อยากให้พวกเขาค้นตัว ถึงแม้จะเปลี่ยนเป็นผู้หญิงก็ไม่อนุญาต เพราะในกระเป๋าของเธอมีมีดเล่มเล็ก ๆ นั่นเป็นเพราะเมื่อก่อนเก็บซ่อนไว้เพื่อป้องกันตัวเอง ซึ่งนับว่าเธอมีสิ่งของสำหรับป้องกันตัวแล้ว “อย่ามาถูกตัวฉัน” พี่จู๋ตที่เข้าใจอย่างชัดเจนมองไปยังผู้ชายตรงข้ามที่กำลังเดินเข้าไปหาเธอ ความรู้สึกที่น่ารังเกียจในท้องของเธอก็กลับมาอีกครั้ง รู้สึกไม่สบายเป็นอย่างมาก “ค้น” ชายพวกนั้นกลับไม่สนใจสิ่งที่เธอพูด พริบตาเดียวก็ล้อมรอบตัวของเพ็ญนีติ์แล้ว ความสับสนวุ่นวายไปทางปุริมและพี่จู๋ต เธอกลัวมาก แววตานั่นราวกับเธอเป็นกระต่ายในอ้อมแขน ช่างอ่อนแอและไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย ขณะที่มือของพวกผู้ชายกำลังจะยื่นลงไป เวลาเดียวกันก็มีเสียงตะโกนออกภายในอากาศ “หยุดก่อน” นั่นคือเสียงของพี่จู๋ตและปุริม พี่จู๋ตนั้นคงทำเพื่อฉารา เพราะฉาราเองก็มีชะตากรรมชีวิตตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับเขา ผู้ชายคนที่เป็นหัวหน้านั้นเหลือบมองปุริมและพี่จู๋ตอย่างเย็นชา “ฉารา คุณมานี่ ฉันอยากจะคุยกับสุภาพบุรุษท่านนี้ตามลำพัง” ปุริมกล่าวอย่างใจเย็น เห็นได้ชัดว่าเขากำลังถูกพาตัวออกไป แต่เขากลับไม่รู้สึกว่าตัวเองนั้นเป็นเสือที่ร่วงลงสู่พื้นที่ราบ ทั้งยังรู้สึกสงบและสบายใจ จนทำให้ไม่สามารถคาดเดาได้ รังสีของเขาทำให้ชายคนนั้นพยักหน้ายินยอม ดังนั้น ฉารา ชายคนนั้นและยังมีปุริม ก็เดินไปยังสถานที่ห่างไกลมากจนไม่มีใครสามารถได้ยินว่าพวกเขากำลังพูดอะไร จะเห็นก็เพียงแต่พวกเขากำลังพูดคุยไม่หยุด แต่เสียงก็เบาและต่ำมาก ครู่เดียว ก็ปรากฏรอยยิ้มบนหน้าของปุริม แต่ชายคนนั้นเดินกลับมาด้วยสีหน้าแดงก่ำ แล้วโบกมือเพื่อส่งสัญญาณให้คนเหล่านั้นหยุด ฉาราและเพ็ญนีติ์ถูกคุมตัวไว้ด้วยกัน ปุริมและพี่จู๋ตถูกแยกคุมตัวไปบนรถสองคันอีกครั้ง ในขณะที่ถูกพาตัวให้ขึ้นไปบนรถ ในที่สุดฉาราก็ปล่อยกระต่ายที่อยู่ในอ้อมแขน “ไปเถอะ เข้าไปในป่า ที่นั่นสวยงามมาก ที่นี่ตราบใดที่มีคน ก็ไม่มีที่ใดสวยงาม ไม่สวยเลยแม้แต่นิดเดียว” สภาพแวดล้อมเหมาะแก่การนอน แต่เพ็ญนีติ์ไม่มีความง่วงแม้แต่น้อย และก็เดาอะไรได้บางอย่าง อาจเป็นเพราะเกี่ยวกับหกคนนั้น ไม่นานรถก็แล่นมาถึงบ้านพักบนภูเขา ทุกคนถูกควบคุมตัวลงมาจากรถเป็นแถว หลังจากนั้นก็ถูกส่งเข้าไปยังห้องใต้ดินห้องละคน ไม่มีใครสามารถเจอใครได้ และไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับใคร ผนังห้องมีเพียงช่องระบายอากาศ อาหารและน้ำจะถูกส่งเข้ามาผ่านประตูเล็ก ๆ ภายในห้องเล็ก ๆ นอกจากจะมีเตียงนอน นอกนั้นก็ไม่มีอะไรเลย เพ็ญนีติ์ไม่รู้ว่าถูกขังมานานเท่าไร จำได้เพียงเธอทานอาหารไปแล้วสองครั้ง สถานที่อย่างนี้หากไม่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เธอคิดว่าอาหารที่ส่งมาคงต้องเป็นอาหารที่เหลือหรืออาหารเน่าเสียอย่างแน่นอน แต่ว่าอาหารที่ถูกส่งมาแต่ละครั้งนั้นไม่เหมือนกัน และยังสามารถทานได้ ทันทีที่อาหารถูกเสิร์ฟ เธอก็จะทานมันทั้งหมด ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เธอก็เชื่อพี่จู๋ต ทั้งยังมีปุริม เธอยังไม่ได้พบกับนภนต์ เพราะฉะนั้นเธอจะตายไม่ได้ สามวันแล้วที่มีชีวิตอย่างนี้ เธอถูกขังอยู่ในห้องนี้เป็นเวลาสามวันแล้ว เพราะเธอรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงกลางวันและกลางคืนจากช่องระบายอากาศ เธอไม่ได้รับข่าวสารจากคนอื่นๆ ทั้งสามคน ทุกครั้งที่มีคนมาส่งอาหาร เธอจะพยายามถามตลอดเวลา แต่คนเหล่านั้นกลับไม่สนใจเธอ หรือว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจว่าเธอกำลังพูดอะไร? มีความรู้สึกว่าเป็นวันสุดท้ายของโลก เธอรู้สึกว่าถูกซ่อนอยู่ในห้องใต้ดินด้วยหิมะและอาจจะไม่ได้เห็นแสงสว่างอีกต่อไป แต่เมื่อเธอคิดเช่นนี้ ก็กลับคิดได้ว่าตัวเองนั้นยังมีความหวัง เพราะหากเธออยู่ที่นี่ต่อไปก็มีแต่จะทำให้สิ้นเปลืองเสบียงอาหาร ในเมื่อพวกเขาให้เธอมีชีวิตต่อ มันก็คงจะคุ้มค่าแห่งการมีชีวิต วันที่สี่ วันที่ห้า เช้าตรู่ของวันที่หก เมื่อประตูห้องถูกเปิดออก สิ่งที่ถูกส่งเข้ามากลับไม่ใช่อาหาร แต่เป็นคนโบกมือส่งสัญญาณให้เธอออกไป มีดเล่มเล็กในมือ กี่วันแล้วที่ของเล็กๆ นั้นไม่เคยห่างจากมือเธอจนถูกเหงื่อจากตัวเธอทำให้เปียกโชก เธอเดินตามชายคนนั้นออกไปอย่างใจเย็น จากบันไดห้องใต้ดินเดินขึ้นไป ไม่นานก็ถึงห้องโถงใหญ่ชั้นหนึ่ง แล้วเดินบันไดวนไม้สีแดงขึ้นไปยังชั้นสอง คนข้างหน้าก็หยุดอยู่ที่หน้าห้องแล้วเคาะประตูเบาๆพร้อมกับพูดเสียงต่ำ “พาคนมาแล้ว” “เข้ามา” เสียงต่ำและเย็นยะเยือกราวกับสามารถทะลุหัวใจและฆ่าคนได้ แค่ได้ยินก็ทำให้คนสั่นด้วยความหวาดกลัวได้ ชายคนนั้นเปิดประตูทันที แล้วโบกมือให้สัญญาณแก่เพ็ญนีติ์ ว่าสามารถเข้าไปได้แล้ว ด้านหน้าคือห้องหนังสือที่สว่างไสว กำแพงด้านหนึ่งคือชั้นหนังสือ บนชั้นหนังสือเรียงรายไปด้วยหนังสือแต่ละประเภท บางเล่มก็เป็นหนังสือที่เก่าแก่โบราณมาก นี่มันหนังสือมีอายุเก่าแก่นานแค่ไหนกัน? บนกำแพงอีกด้านก็มีผลงานการเขียนภาพด้วยพู่กันจีน แต่ละภาพมีระยะห่างการแขวนภาพประมาณหนึ่งเมตร เห็นได้ชัดว่าเจ้าของห้องหนังสือนี้ชอบสิ่งเหล่านี้มากเพียงใด แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เพ็ญนีติ์นั้นแปลกใจ สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจนั้นคือสิ่งของส่วนใหญ่ถูกเขียนด้วยภาษาจีน เมื่อเธอเดินผ่าน ก็ได้เห็นตัวอักษรที่อยู่บนหนังสือ
已经是最新一章了
加载中