ตอนที่ 84 ความเป็นทาสของมนุษย์   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 84 ความเป็นทาสของมนุษย์
ตอนที่ 84 ความเป็นทาสของมนุษย์ "ซือซือ……" อวี๋ซือซือพูดตัดสิ่งที่เป้ยฉายเวยต้องการพูด​ และพูดอย่างไร้อารมณ์  "รู้แล้ว รู้แล้ว สภาพเหมือนผีแบบนี้รีบพักผ่อนเถอะ"   เธอรู้ดีว่าเวยเวยอยากขอร้องให้เธออย่าลืมไปรับรุ่ยรุ่ยเย็นนี้​ ​นี่เป็นเรื่องสำคัญ  เธอจะลืมได้อย่างไร "ขอบใจ​นะ" เป้ยฉายเวยยิ้มหายห่วง หลี่จื่อเชียนพาเวยเวยไปแล้ว ถังฉีตงเปิดปากพูด​ น้ำเสียงที่ดูเหมือนขบคิดอยู่นานพูดขึ้น​ "ทำไมฉันเหมือนจะได้กลิ่นไม่ดีนะ" "ระวังคำพูดหน่อย" อวี๋ซือซือกล่าวเตือนเสียงต่ำ​ แล้วสะพายกระเป๋าหมุนตัวเดินจากไป ถังฉีตงตกอยู่ในสถานการณ์​อึดอัด​ แต่ก็ยังยิ้มตาหยีเดินตามไป ภายในรถ ความเงียบผ่านไปยาวนาน หลี่จื่อเชียนคอยดูแลโดยไม่ถามอะไร แค่ขับรถไปอย่างเงียบๆ "จื่อเชียน  คุณว่าฉันไปยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่องไหม" เป้ยฉายเวยถามเพื่อตั้งใจทำลายความเงียบนี้ หลี่จื่อเชียนมองไปข้างหน้า​ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "เวยเวยอย่าเอาความผิดพลาดทั้งหมดมาใส่ไว้บนหัวเธอเลย ไม่มีใครไม่เคยทำผิด​ และก็ไม่มีใครเป็นนักบุญ​ไปตลอดได้เพราะฉะนั้นอย่าโทษตัวเองเลยนะ"  "เพราะฉันคิดว่าความคิดตัวเองถูกใช่ไหม" เป้ยฉายเวยยิ้มเยาะตัวเอง​ หลังที่ชุ่มเหงื่อเอนตัวพิงเก้าอี้​ นึกถึงสายตาเย็นชาของฉูเจ๋อหยาง หัวใจเธอก็เหมือนถูกเคลือบด้วยน้ำแข็ง ​ "พวกเรารู้ว่าเธอมีเจตนาดีิ​ แต่บางเรื่องไม่ใช่เพราะเจตนาดีแล้วจะดีิิเสมอไปนะ​ ไม่ว่าจะเพื่อนสนิทหรือคนรัก​ บางเรื่องก็ต้องยึดถือหลักการในใจของตัวเอง"  เขาไม่รู้ว่าเวยเวยออกหน้าเพราะหนานฉิง​ แต่เขาคิดว่าบางเรื่องแม้ว่าเป็นเพื่อนสนิท ก็ไม่ควรตกลงด้วยความใจอ่อน  สุดท้ายพอช่วยแล้ว​ ก็ไม่แน่ว่าจะจบลงด้วยดี​ แต่เป็นไปได้มากที่อาจจะโดนตำหนิอีกก็ได้ เวยเวยใช้อารมณ์​จัดการเกินไป​ ไม่เข้าใจความโหดร้ายของสังคมนี้ เป้ยฉายเวยไม่ได้พูดต่อ​ ดวงตาประกายปกคลุมไปด้วยความสับสน​ เธอถามตัวเองในใจ​ เป้ยฉายเวยเธอกลายเป็นคนไม่มีจุดยืนไปตั้งแต่เมื่อไร ไม่แปลกเลยที่ฉูเจ๋อหยางใช้น้ำเสียงเยาะเย้ยเธอเช่นนี้ เธอคงคิดว่าตัวเองเป็นผู้ช่วยโลก​ แต่ไม่เลย​ แท้จริงแล้วเธอเป็นแค่แมลงที่น่าสงสารตัวหนึ่ง​ เป็นแมลงน่าสงสารที่ไม่สามารถขจัดความรู้สึกผิดในใจและความลังเลออกไปได้ "เวยเวย  ถึงแล้ว" หลี่จื่อเชียนหยุดรถ​ มองเวยเวยที่สีหน้าซีดเผือด​ ถามอย่างลังเล​ "เวยเวยอยากให้ฉันไปส่งไหม" "ไม่เป็นไร​ จื่อเชียน วันนี้ต้องขอโทษด้วยนะ​ เดิมทีว่าจะเลี้ยงข้าวคุณ​ นึกไม่ถึงว่าสถานการณ์​จะเป็นแบบนี้" เป้ยฉายเวยยื่นมือปลดเข็มขัดนิรภัย​   "เวยเวยเธอกดดันตัวเองมากไปแล้ว​ แค่เรื่องเล็กๆไม่ต้องเอามาใส่ใจหรอก​ คืนนี้พักผ่อนให้เต็มที่​ ไม่ต้องคิดอะไรมาก" หลี่จื่อเชียนรู้สึกว่าบางครั้งก็มองเธอไม่ออก ถึงเธออายุยังน้อย​มาก แต่ชีวิตก็มีภาระหนักมากมาย​ เหมือนเธอกำลังแบกความกดดันมหาศาลเอาไว้ตลอด  เขาจำได้ว่าตอนที่เรียนหนังสือ​อยู่​ เวยเวยมักจะยิ้มด้วยใบหน้าเงียบ​ เหมือนตัวเธอจะมีแสงสว่างที่สามารถส่องผ่านจิตใจของทุกคนได้​ แต่เด็กผู้หญิงดีๆแบบนี้  ไม่เจอกันแค่สามปี กลับต้องมีชีวิตยากลำบาก เขาไม่รู้ว่าเธอมีเรื่องที่ลำบากใจรึเปล่า​ แต่เขาจะไปบังคับเธอพูดก็คงไม่ได้ เขารอวันที่เธอพร้อมที่จะพูดออกมาด้วยตัวเอง "จื่อเชียน  เป็นอะไรไป​ ทำไมมองฉันแบบนั้น"  เป้ยฉายเวยลูบหน้า​ นึกว่าตอนกินข้าวมีอะไรติดอยู่บนหน้า หลี่จื่อเชียนดึงสติกลับมา​ จึงเพิ่งรู้ว่ามองเป้ยฉายเวยโดยไม่รู้ตัว​ ขยับมุมปากพูดอย่างอ่อนโยน​" เวยเวยเวลาเธอหัวเราะออกมาสวยมากนะ  เวลายิ้มยิ่งสวยเข้าไปใหญ่" "เอิ่ม…...หลี่จื่อเชียนฉันไปก่อนนะ​ ไว้ยังไงเดี๋ยวติดต่อไปนะ" เป้ยฉายเวยคิดไม่ถึงว่าจู่ๆหลี่จื่อเชียนจะพูดออกมาแบบนี้ ใบหน้าเล็กแดงระเรื่อ​ พูดแบบขอไปที​แล้วเปิดประตูรถวิ่งจากไป หลี่จื่อเชียนยิ้มแล้วขับรถออกไป​ เป้ยฉายเวยกลับถึงอพาร์ทเมน นั่งหงอยบนโซฟา​ มองท้องฟ้าเงียบๆ​ ——กริ๊งกริ๊ง เสียงเรียกเข้าที่ถูกตั้งไว้พิเศษดังขึ้น เธอรู้สึกไม่ค่อยอยากรับ​ และก็กลัวว่าจะเป็นโทรศัพท์​จากซือซือ ทำตัวสดชื่นอย่างจำใจ​ แล้วควักโทรศัพท์​ออกมา พอเห็นชื่อ'คนเจ้าเล่ห์'​กระพริบ​บนหน้าจอ​ เป้ยฉายเวยก็ไม่อยากกดรับทันที คนเจ้าเล่ห์​=ฉูเจ๋อหยาง เป็นสมญานามพิเศษ​ที่เธอไว้เรียกฉูเจ๋อหยาง คนแก่เจ้าเล่ห์​ใจดำ   แค่ตอนนี้เขาน่าจะไม่ได้อยู่กับหนานฉิง​ ทำไมถึงนึกอยากโทรหาเธอ ตอนที่เธอกำลังคิดวุ่นวายอยู่นั้น​ เสียงโทรศัพท์​ก็ตัดไป​ เป้ยฉายเวยคิดว่าฉูเจ๋อหยางยอมแพ้แล้วเลยวางโทรศัพท์​ไว้อีกฟากทำเหมือนว่าไม่เคยได้ยินเสียงเรียกเข้ามาก่อน ติ๊ง ติ๊ง​ เมสเสจ​ถูกส่งมา หน้าจอที่ส่องแสงสว่างอยู่​ เป้ยฉายเวยจะทำเป็นมองไม่เห็นก็คงจะไม่ได้ ———ให้เวลาเธอสามวินาทีโทรกลับ​ ไม่อย่างนั้นรับผิดชอบสิ่งที่จะตามมาเอง ดูสิ  ผู้ชายคนนี้ทำตัวเผด็จการเสียจริง​ เป้ยฉายเวย​อยากตอบข้อความกลับไป แต่ต้องหยิบโทรศัพท์​ขึ้นมากดโทรกลับอย่างเชื่อฟัง เป้ยฉายเวยขมวดคิ้ว​ด้วยความหงุดหงิด​ เธอเป็นเหมือนทาส​ ถูกฉูเจ๋อหยางกดขี่มานานเกินไป​ จนจะเป็นประสาทแล้ว "ทำไมไม่รับโทรศัพท์"  เสียงเย็นชาของฉูเจ๋อหยางพูดกลับมาด้วยความไม่พอใจ  "มองไม่เห็น" เป้ยฉายเวยโกหกหน้าตาย​ ยังไงซะก็ไม่ต้องเผชิญ​หน้ากับฉูเจ๋อหยางตัวเป็นๆอยู่แล้ว​ เธอไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังขนาดนั้นซะหน่อย   "มองไม่เห็น​ ทำไมโทรกลับเร็ว​ เป้ยฉายเวยนับวันเธอยิ่งเหมือนคนไม่มีสมองนะ" ฉูเจ๋อหยางโกรธน้ำเสียงเย็นชา​ คำพูดไม่คิดของเธอทำให้เขารู้ทัน​   "ฉูเจ๋อหยางมันจะเกินไปแล้วนะ" เป้ยฉายเวยสามารถจินตนาการ​ใบหน้าเยาะเย้ยของฉูเจ๋อหยางออกได้ "ฉันทำเกินไป​ เป้ยฉายเวยทำไมเธอไม่คิดว่าวันนี้เธอทำตัวใจกล้าหน้าด้านไปรึเปล่า" เสียงต่ำกับเสียงลมหายใจเย็นเยือกตอบกลับมา แสงแดดนอกหน้าต่างสว้างจ้าขนาดนี้​ เป้ยฉายเวยยังตัวสั่นเทา​ "ฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังพูดอะไร​ เธอโทรมาไม่ใช่เพราะอยากจะชมฉันหรอกหรอ"​ เธอทำเหมือนคำพูดของฉูเจ๋อหยางคือคำชื่นชม​ ใครจะเหมือนเธอที่สามารถทนต่อพายุเฮอริเคนระดับที่สิบสองได้ ผู้ชายในสายคงคาดไม่ถึงว่าเป้ยฉายจะตอบกลับมาอย่างนี้​ จึงเงียบไปชั่วครู่ เป้ยฉายเวยคิดว่าตัวเองสวนกลับได้หนึ่งประโยคเมฆดำบนหัวจะสลายหายไปบ้าง​ การทำให้ฉูเจ๋อหยางรู้สึกพ่ายแพ้คือเรื่องที่สบายใจที่หาอะไรเปรียบไม่ได้   นานมากเสียงเย็นชาของชายที่อยู่ปลายสายก็ดังขึ้น​ "เป้ยฉายเวย จะหาเรื่องหรอ" เป้ยฉายเวยตั้งใจเอาโทรศัพท์​ออกห่างๆ​ แสร้งทำเป็นได้ยินไม่ชัด​ "อุ๊ย  ฉันได้ยินไม่ชัด​ สัญญาณ​ที่นี่ไม่ค่อยดี ครั้งหน้าค่อยคุยกันใหม่นะ"   "สัญญาณ​ไม่ดี​ อา​ คงไม่ดีเท่ากับเราได้คุยต่อหน้ากันล่ะมั้ง" คำพูดของฉูเจ๋อหยาง  ทำร้ายความรู้สึกภาค​ภูมิใจเล็กๆของเป้ยฉายเวยอย่างไม่ใยดี เป้ยฉายเวยไม่แกล้งทำแล้ว​ พูดด้วยเสียงเรียบ​ "พูดมาเลย  ฉันฟังอยู่​ ไม่ต้องคุยต่อหน้าแล้ว" "พรุ่งนี้มารายงานตัวที่ห้องทำงานของฉันนะ​ คุณผู้ช่วยเลขา" คำพูดชัดเจนของฉูเจ๋อหยางเหมือนกับอ่างน้ำที่เทราดลงมาบนหัวของเป้ยฉายเวย
已经是最新一章了
加载中