บทที่ 34 คุณสามี พวกเราไปเถิด   1/    
已经是第一章了
บทที่ 34 คุณสามี พวกเราไปเถิด
บทที่ 34 คุณสามี พวกเราไปเถิด “ไม่ได้!” โล่เหวินเฟิงมีน้ำเสียงแน่วแน่ “กงยี่ โรคของเจ้ายังไม่ได้หายดีพอ โรคของเจ้าไม่ใช่โรคเล็กน้อย ยิ่งไม่เหมือนขาของข้า บอกว่าดีก็จะดีขึ้นเลย” “ใช่แล้ว ฟังคำของท่านพ่อเจ้า พักผ่อนอยู่ที่บ้าน ข้อนี้ พ่อกับแม่จะนึกหนทางเอง” เฉินซื่อไตร่ตรอง อาการวัณโรคปอดของบุตรชายกงยี่นี่ก็ดีขึ้นเล็กน้อยในไม่กี่วันนี้เอง อีกอย่าง กงยี่ไม่ไป ก็ไม่สามารถปล่อยให้ลูกสะใภ้ไปคนเดียวลำพังได้ ผลสุดท้ายคือมันจะอันตรายเกินไป ดังนั้น ระหว่างนี้ โล่เหวินเฟิงและภริยาล้วนนึกสิ่งดีร้ายใดๆ ไม่ออกเลย “เช่นนี้ ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ชายร่างกายไม่แข็งแรง พี่สะใภ้อยู่ดูแลพี่ชายที่บ้าน ให้ยี่เหลียนไปเถิด” โล่ยี่เหลียนอาสาอย่างกล้าหาญ เห็นว่าน้องสามีมีสีหน้าท่าทียึดมั่น หลิ่วหม้านหยุนรู้สึกชมเชยความไร้เดียงสาปานนี้ของโล่ยี่เหลียนเสียจริงๆ หลิ่วหม้านหยุนส่ายหน้าพลางกล่าว “น้องยี่เหลียนยังไม่เจนโลก เกรงจะถูกคนหลอกเอาได้” “ใช่ แม่เองก็คิดถึงข้อนี้ อย่าได้ไปเลยจะดีกว่ากระมัง ข้าจะนึกหนทางอีก” เฉินซื่อกล่าว โล่เหวินเฟิงสองสามีภรรยาคิดซ้ายไตร่ขวา ยังคงนึกวิถีทางไม่ออก โล่กงยี่และหลิ่วหม้านหยุนสบสายตากัน ราวกับว่ามีความคิดอะไร เพียงแต่ไม่ได้เอ่ยออกมาก็เท่านั้น ในยามเช้าของวันรุ่งขึ้น ยามที่โล่ยี่เหลียนตะโกนเรียกพี่ชายและพี่สะใภ้ทานข้าว ก็พบว่าทั้งสองคนได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว อีกประการ โล่เหวินเฟิงค้นพบว่าหนังสือตัวยาและสมุดบัญชีของอำเภอป๋ายหยุนภายในบ้าน ก็สาบสูญไปพร้อมกันด้วย “ลูกแม่นี่ เกรงแต่ว่ากงยี่และภรรยาของเขาไปอภเอป๋ายหยุนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รถม้าเองก็ไม่เห็น” โล่เหวินเฟิงวิ่งเข้ามาบอกภรรยาในห้องครัวอย่างตื่นเต้นยิ่งนัก “อะไร” ด้วยมือที่สะท้าน ตะเกียบชามในมือของเฉินซื่อร่วงลงบนพื้น ส่งเสียงเคร้งคร้าง ปวดใจยิ่งนัก “ท่านว่าเด็กสองคนนี้ไปอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงเช่นนั้นแล้วหรือ หยุนเอ๋อลูกสะใภ้นี่ก็จริงๆ เลย กงยี่ป่วยสภาพนั้น ยังจะ...ยังคิดว่านางเป็นคนรู้ความคนหนึ่ง...หรือไม่ฟังความตามกงยี่ของพวกเราไปอีกคนแล้ว...” “ท่านแม่ ท่านมิได้กล่าวโทษพี่สะใภ้จากใจจริงหรอก ท่านเองก็เป็นห่วงพี่สะใภ้เหมือนกัน ข้ารู้ดี ท่านเกรงว่าตลอดทางพี่สะใภ้จะไม่สามารถดูแลพี่ใหญ่ได้เต็มที่” โล่ยี่เหลียนกล่าว “เอาเช่นนี้เถิด ข้าจะไปสับเปลี่ยนกับพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ให้พวกเขากลับมา” โล่ยี่เหลียนถอดผ้ากันเปื้อนออก “อย่า” เฉินซื่อดึงนางเอาไว้ “อย่าไปเลย คราวนี้ คะเนว่าพี่ใหญ่ดูแลพี่สะใภ้ของเจ้าเองก็เดินทางไกลออกไปมากแล้ว มิแปลกใจที่ปานนี้แล้วลูกสะใภ้ยังไม่ตื่นขึ้นมาทำกับข้าวอีก ในยามปกตินางตื่นเช้ากว่าใครๆ...” “ข้าเองก็คิดว่าพี่สะใภ้กำลังหลับอยู่ คาดว่าคงเหนื่อย ดังนั้นข้าจึงไม่กล้าปลุกนางตื่น ผู้ใดจะรู้ พวกเขาสองคนล้วนไม่ได้อยู่ในห้องเลยสักนิด” โล่ยี่เหลียนย่นจมูกน้อยๆ “รู้อย่างนี้ ข้าคงวิ่งเข้าไปเรียกนางในห้องให้ตื่นขึ้นมาช่วยทำกับข้าวด้วยกันก็ดีหรอก เป็นอย่างนี้ล่ะก็ ข้าคงค้นพบว่าพวกเขาไม่อยู่แล้วให้เร็วกว่านี้หรือไม่” “เป็นอย่างนี้ล่ะก็ ต่อไปก็พูดให้น้อยลง” เฉินซื่อกล่าวกำชับ “เจ้าเป็นแม่นางที่รอการออกเรือน วันๆ วิ่งไปยังห้องหอของสองสามีภรรยาคนอื่นทำอันใดกัน เหมือนท่าทีอะไรกันเล่า” “ก็แค่น้องสะใภ้ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง รู้จักเหนียมอายหรือไม่” โล่เหวินเฟิงผู้เป็นบิดาซัดดาบคมมาอีกดอก และนั่นเอง พวงแก้มของโล่ยี่เหลียนก็เรื่อชาดดุจหิมมะแดง นางละอายใจนัก ออกจากตำบลหลิงเย่า ก็ไม่มีผู้ใดรู้จักกงยี่และหลิ่วหม้านหยุนแล้ว โล่กงยี่เองก็ไม่จำเป็นต้องแสร้งทุบพลภาพแล้ว ฝ่ามือบังคับบังเหียนม้าอย่างคล่องแคล่ว ผู้ที่ไม่รู้ยังคิดว่าโล่กงยี่เกิดมาพร้อมกับวิทยายุทธ์การต่อสู้ตั้งแต่เล็กเชียว โล่กงยี่ในยามนี้ กับโล่กงยี่ผู้เป็นวัฯโรคปอดออดๆ แอดๆ คนนั้น ก็เหมือนกับคนละคนไปเลย ยิ่งมองเขามากเท่าไหร่ หลิ่วหม้านหยุนยิ่งรู้สึกว่าเขาคือหมาป่าหางเทาที่น่ากลัวสุดแสนตัวหนึ่ง โล่กงยี่กระตุกยิ้มเย็นชาต่อหลิ่วหม้านหยุนไม่วางตา “ภรรยา เจ้ากำลังมองข้าหรือ วันนี้สามีหล่อเหล่าเอาการเป็นพิเศษใช่หรือไม่” ถ้าหากไม่ใช่อย่างนี้ล่ะก็ โล่กงยี่นึกไม่ออกจริงๆ ถึงเหตุผลที่หลิ่วหม้านหยุนมองเขาเช่นนั้น “ไปทำธุระของท่าน บังคับรถม้าของท่านนั่น...” หลิ่วหม้านหยุนไม่ต้องการปอปั้นบุรุษให้หน้าโต คนอย่างเขานั้น เป็นประเภทที่กดจมูกลงหน้า “รู้ว่าเจ้าไม่ยอมรับแน่” โล่กงยี่ยิ้มหน้าชื่นตาบาน ร้อนแรงทำเอาคนหายใจติดขัด เขาเพียงแต่นึกอยากหยิกเย้านาง แต่หลิ่วหม้านหยุนไม่รับมุกเสียอย่างนั้น อำเภอป๋ายหยุนดูแล้วไม่ได้คึกคักเหมือนกับอำเภอหลิ่งเย่าที่อยู่ด้านบนตำบลหลิ่งเย่านัก อย่างไรเสียอำเภอหลิ่งเย่าก็ยังเป็นหนึ่งในอำเภอหลัก เหมือนกับอำเภอซ่วยเย่วและป๋ายหยุนข้างเคียง กิจการเชิงพาณิชย์ล้วนต้องห้อมล้อมเมืองนี้เข้ามา เพียงแต่คนอื่นเองก็ซึ่งกระเบื้องเครื่องตกแต่ง ล้วนมีลักษณะพิเศษของตัวพวกเขาเอง “เถ้าแก่ อันนี้เท่าไหร่” โล่กงยี่ที่วิ่งลงจากรถม้า ฉวยเอาปิ่นมุกที่ดูสง่างามอันหนึ่งที่วางอยู่หน้าเครื่องประดับปิ่นหยกมา “ไม่แพง ไม่แพง แค่ห้าตำลึงเอง” เถ้าแก่ร้านปิ่นมุกไม่ได้ตาบอดนะ เห็นว่าพวกเขานั่งรถม้ามาเชียว ในหมู่บ้านสิบแปดลี้นี้ ไม่ใช่ว่าใครจะสามารถนั่งรถม้าได้เสียหน่อย “เงินห้าตำลึงยังไม่พอ? ห้าเหรียญทอง ขายไม่ขาย?” เถ้าแก่ในยามนี้แทบจะขูดรีดโล่กงยี่โดยสิ้นเชิง เห็นว่าคนอื่นนั่งรถม้ามาหน่อย น่าจะมีเงินมาก เจ้านายที่มีเงินมากแค่ไหนก็ไม่อาจทำเช่นนี้ได้ “ห้าเหรียญทอง ฮูหยินท่านจะเอาเงินให้ขอทานก็ไม่อาจทำแบบนี้ได้ ซื้อไม่ได้ก็อย่าซื้อสิ” แววตาของเถ้าแก่ร้านปิ่นมุกฉายแววเหยียดหยามครู่หนึ่ง คนอะไรกัน ตั้งแต่เช้าตรู่ก็มาทำเสียหน้าตัวเอง แถมเป็นคนที่นั่งรถม้าเสียด้วย “คุณสามี พวกเราไปเถิด” หลิ่วหม้านหยุนเชิดจมูกเย้ยหยันเถ้าแก่ร้านปิ่นมุก กล้าเบ่งคับอำเภอป๋ายหยุนอันใหญ่โตทั้งแดน ก็ร้านปิ่นมุกของเขาร้านเดียวนี่แหละ ถ้าหากไปทั้งอย่างนี้ จะเป็นดั่งคำที่เถ้าแก่ร้านปิ่นมุกได้ลั่นไว้เสียน่ะสิ โล่กงยี่ยิ้มเย็น “เอาปิ่นมุกที่ดีที่สุดในร้านของเจ้าออกมา ตัวข้านี้จะเลือกอันที่ดีที่สุดให้แก่ภรรยา” ในไม่ช้า โล่กงยี่ก็ควักตั๋วเงินสดหนึ่งพันตำลึงออกมา โบกสะบัดเบื้องหน้าของเถ้าแก่ร้านเครื่องประดับ “เอ่อ เอ่อ เอ่อ ผู้น้อยจะรีบไปเอา ผู้น้อยจะรีบไปเอา ผู้น้อยจะรีบไปเอา...” เถ้าแก่ร้านดุจสุนัข ทั้งพยักหน้า ทั้งกอดเอว วิ่งส่ายตูดเข้าไปในร้าน ไม่ช้า เขาก็หยิบเอากล่องผ้าออกมาอันหนึ่ง เมื่อเปิดกล่องผ้าออก ปิ่นหงส์หินหยกน้ำเงินที่นอนอยู่ในกล่องก็สะท้อนเข้าในสายตาของหลิ่วหม้านหยุน อย่าว่า ซ้ำยังสวยงามเอามากๆ เสียด้วย ดูแล้วหรูหราไร้ที่ติ “เป็นสินค้านำเข้าจากแคว้านหนานทางนู้น” เถ้าแก่จีบปากจีบคอพูด “พวกท่านทราบดี แคว้นหนานทางนู้นส่งออกหินหยก ในกลางตัวปิ่นหงส์เล่มนี้เป็นถึงหินตาแมวที่หายากเชียว ประเมินมูลค่าไม่ได้ ผู้ที่ซื้อได้ก็มีไม่มาก เหมือนกับคุณชายและฮูหยินพวกท่านประเสริฐเพียงนี้ มาได้ทันเวลาพอดิบพอดี” พูดจาน่าฟัง แต่เถ้าแก่ร้านเครื่องประดับคงเห็นชักใบเรือตามลมจนชิน หลิ่วหม้านหยุนรู้สึกว่าปิ่นหงส์หินหยกน้ำเงินนั้นถึงแม้จะสวยก็จริง แต่ราคาคงเอาการเป็นแน่ “ดูท่านทั้งสองคงจะมาเป็นครั้งแรก เช่นนี้ จะคิดพวกท่านถูกลงหน่อย แปดร้อยตำลึง” ดวงตาสองข้างของแก่ร้านเครื่องประดับทอดตกไปบนตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงในมือของโล่กงยี่ เขาค่อนข้างเสียใจเลกน้อย ทำไมไม่บอกหนึ่งพันตำลึงไปเพียวๆ เลยเล่า เฮอๆ... ในสายตาของโล่กงยี่ เห็นของมีค่าภายในวังลึกไม่น้อย หินตาแมวเกรดต่ำจำพวกนี้มีค่าตั้งแปดร้อยตำลึง เถ้าแก่คนนี้ช่างคุยโวโอ้อวดจริงๆ “ห้าร้อยตำลึง ไม่อาจให้ได้มากกว่านี้แล้ว” กล่าวพลาง โล่กงยี่ก็ดึงมือของหลิ่วหม้านหยุน ทำท่าทีไม่ใส่ใจคำตอบของเถ้าแก่ร้านคนนั้น ราคาห้าร้อยตำลึงนี้กับราคาที่ตนรับซื้อของเข้ามาไม่กี่วัน ขาดกันไม่มากแล้ว เถ้าแก่คิดเล็กน้อย อย่างไรเสียหินตาแมวที่สูงค่าเช่นนี้ก็คงไม่มีคนที่ไหนมาซื้อแล้ว กัดฟันกรอดๆ “เอาเถิด ห้าร้อยตำลึงก็ห้าร้อยตำลึง”
已经是最新一章了
加载中