บทที่ 10 โอนสัญญาว่าจ้าง   1/    
已经是第一章了
บทที่ 10 โอนสัญญาว่าจ้าง
ตั้งแต่ที่เรียนจบมาฉันก็ทำงานบริษัทนี้ และทำมาได้สองปีแล้ว ฉันก็ได้ทำงานในบริษัทอย่างเจริญก้าวหน้า ปีหน้าฉันวางแผนไว้ว่าจะซื้อบ้านในเมืองนี้ บริษัทก็มีนโยบายและกองทุนช่วยเหลือพนักงานที่จะซื้อบ้าน ถ้าทำงานออกมาได้ดี ฉันไม่มีทางออกจากบริษัทนี้ไปง่ายๆ แล้วไปหาบริษัทใหม่ งั้นฉันก็ต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด แต่ว่าโปรเจคครั้งนี้ฉันไม่สามารถทำได้จริงๆ ส่วนเหตุผลกลับไม่สามารถบอกให้เขารู้ได้ “ขอโทษนะคะคุณผู้จัดการ ถ้าคุณพูดแบบนี้ งั้นฉันคงต้องลาออก” ฉันบอกเฉลิมไปแบบนี้ ฉันรู้ว่าตัวเองทำแบบนี้มีไม่ดี แต่ฉันก็จนปัญญาจริงๆ ยังดีที่ตอนนั้นฉันได้เซ็นสัญญาว่าจ้างกับบริษัทFX Designแค่หนึ่งปี พอถึงเวลาฉันก็ต่อสัญญาไปอีกหนึ่งปี ถือว่าก็ยังมีประวัติดีในการทำงาน ทีแรกก็นึกว่าตัวเองลาออกแล้ว ก็ไม่มีทางได้ไปเกี่ยวข้องกับคีรินอีก แต่กลับนึกไม่ถึง บริษัทกลับโทรมาหาฉันว่า ตอนนั้นที่ฉันต่อเซ็นไม่ได้เป็นสัญญาแค่ปีเดียว แต่เป็นสิบปี ถ้าฉันลาออกจากงาน ฉันต้องชดใช้ห้าล้าน ปัญหาคือฉันจะมีเงินมากมายขนาดนั้นมาคืนได้ยังไง ฉันไม่เชื่อฉันเลยไปลองอ่านสัญญาดู ในกระดาษเขียนไว้อย่างชัดเจนและข้างบนมีลายเซ็นและลายนิ้วมือของฉัน แต่ฉันจำได้ตอนนั้นที่ต่อสัญญา จริงๆมันไม่ใช่แบบนี้! ฉันจึงจ้องหน้าเฉลิมและถามขึ้น “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” เฉลิมไม่กล้าสบตาฉัน เขาหลบสายตาและพูดขึ้น “คือว่าญาดา ฉันก็แค่พนักงานในบริษัท เรื่องของบริษัทฉันก็ไม่รู้อย่างแจ่มแจ้ง ยังไงบอสก็บอกแล้วว่า โปรเจคนี้ต้องดำเนินการต่อ ถ้าเธอทำโปรเจคนี้สำเร็จ บริษัทจะให้โบนัสเธอเป็นสองล้านห้า แต่ถ้าเลือกที่จะออกจากงาน บริษัทก็ยินยอม” จริงๆมันคือสัญญาแค่หนึ่งปี ทำไมจู่ๆกลายเป็นสิบปี ต้องมีคนแอบทำอะไรอยู่ลับหลัง ฉันคิดว่าฉันเดาออกแล้วว่ามันเป็นฝีมือใคร เช้าวันที่สอง เฉลิมก็สั่งให้ฉันไปทำงานอยู่ในบริษัทQS และไปทำงานร่วมกับทีมงานอื่นๆ ฉันก็ต้องทำตาม ไม่งั้นก็ต้องชดใช้เงินห้าล้าน พอถึงบริษัทลูกของQS เลขาจึงเชิญตัวฉันไปชั้นยี่สิบสอง เลขาจึงเคาะประตูห้องทำงานขึ้น ข้างในจึงมีเสียงที่คุ้นหูดังขึ้น “เข้ามา!” ในใจของฉันเต็มไปด้วยความเกลียด เล็บแทงเข้าไปในฝ่ามือของตัวเองอย่างไม่รู้ตัว ฉันพยายามควบคุมตัวเองให้นิ่งไว้ เลขาจึงเปิดประตูเข้าไป และให้ฉันตามเข้าไปด้วย ฉันจึงได้แต่หายใจเข้าลึกๆ เสียงรองเท้าส้นสูงดังลั่นขึ้นในห้องทำงาน ในห้องทำงานมีแค่คีรินที่กำลังนั่งจ้องหน้าคอมทำงานอยู่ พอเห็นฉันเดินเข้าไป เขาจึงค่อยๆเงยหน้าขึ้น เหมือนกำลังประเมิณคุณภาพของสินค้าบางอย่าง เขามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วเอ่ยปากพูดขึ้น “สุดท้ายก็มา” ฉันจึงกระตุกมุมปากขึ้น จากนั้นก็ฝืนยิ้มใส่เขา “คุณต้องการให้ฉันมา ฉันไม่มาไม่ได้อยู่แล้ว” คีรินมองหน้าที่กำลังยิ้มแบบฝืนๆของญาดา เขาจึงชี้ไปยังเก้าอี้ตรงหน้าเขา “นั่ง” ญาดานั่งลง จากนั้นเขาก็เอาเอกสารออกมาจากลิ้นชักแล้วโยนมาต่อหน้าญาดา “ดูสิ FX Design ได้โอนสัญญาว่าจ้างให้กับบริษัทผมแล้ว ถ้าคุณผิดสัญญาก็ต้องชดใช้เงินสิบเท่า ก็คือห้าสิบล้าน” ญาดาได้ยินก็ไม่ได้รู้สึกตกใจอะไรมากนัก ฉันรู้ว่าเขามีหลายวิธีที่จะจัดการกับฉัน ถ้าเขาคิดจะกำจัดคนๆหนึ่งมันก็ง่ายมาก มีเงินมีอำนาจมันก็ดีแบบนี้นี่เอง เป็นครั้งที่ญาดาได้ยินว่าสัญญาว่าจ้างงานก็สามารถโอนแบบนี้ได้ด้วย “ทำไมไม่ลองดูสัญญาล่ะ หรือคุณคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้” “เหอะๆ…….” คีรินพูดจบจึงหัวเราะเยาะเย้ย “ญาดา จำไว้ไม่มีเรื่องอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าฉันอยากจะกำจัดคุณ และให้คุณตายฟรีโดยที่ฉันไม่ได้ติดคุก คุณเชื่อไหม?” ญาดามองเขาด้วยนัยน์ตาที่เย็นชา “ทำไมถึงไม่เชื่อล่ะ คุณมันก็แค่คุณชายตระกูลสุขสำราญที่ไร้ความสามารถ แค่ว่า…….” ญาดาตั้งใจไม่พูดจบก็หยุดชะงักลง และคีรินจึงถามขึ้นด้วยความใจร้อน “แค่ว่าอะไร?” ญาดามองนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของเขา “แค่ว่าคุณทำไมไม่ฆ่าฉันเลยทีเดียว จะได้ไม่ต้องสร้างสิ่งรังควานใจคุณ” คีรินได้ยินแบบนี้จึงรู้สึกตลกขึ้นมา อารมณ์ของเขาดูเบิกบานมากๆ เขาลุกขึ้น และเอามือวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็โน้มตัวมาใกล้ญาดา ญาดาจึงสามารถเดาได้ว่ามื้อเช้าของเขาต้องมีไวน์แดงแน่นอน เพราะเขาได้เผยกลิ่นหอมของไวน์แดงออกจากปาก เขาจึงเอาริมฝีปากประกบกับของฉันและพูดไปด้วย “กำจัดคุณให้ตายได้จะสนุกได้ยังไง ค่อยๆทรมานคุณจนเจ็บปางตายน่าจะสนุกกว่านะ?” ญาดารู้ดี เขาตั้งใจให้ตนเป็นรองหัวเราะฝ่ายการออกแบบ ไม่ได้เป็นเพราะว่าเขาสนใจในผลงานของตน แต่เขาแค่อยากจะเหยียบตนให้จมดิน แล้วค่อยๆทรมานตัวเอง ทีแรกญาดาแค่อยากจะใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวอย่างสงบสุข แต่คีรินก็มักจะทำให้ญาดาทำทุกอย่างอย่างไม่ราบรื่น ถ้าเขาอยากจะเปิดศึกกับตัวเองมากขนาดนี้ แล้วทำไมตัวเองไม่สู้ไปสักตั้งล่ะ? ยังไง ฉันก็ไม่ได้เป็นคนที่กลัวตายอยู่แล้ว ไหนๆฟ้าก็กำหนดมาว่าฉันต้องตาย ก่อนตาย ทำไมไม่ลองทำร้ายใครสักคนดู? พอคีรินเห็นญาดาทำสีหน้าที่เฉยเมยและไม่สนใจอะไร เขาก็เหมือนจะผิดหวังเล็กน้อย จู่ๆจึงถามขึ้น “ญาดา ทำไมคุณถึงไม่กลัว” คำถามนี้เป็นคำถามที่โง่มาก ญาดาจึงตอบกลับ “กลัว ทำไมฉันต้องกลัว แค่กลัวไปแล้วจะทำไม คุณจะปล่อยฉันไปงั้นหรอ?” คีรินตอบกลับ “ไม่แน่นอน” ญาดาจึงโบกมือขึ้นมาอย่างไม่สนใจใดๆ “งั้นก็ตามนี้” ผ่านไปหลายวัน สิ่งที่น่าแปลกก็คือคีรินไม่ได้ทำอะไรญาดาเลย เขาแค่สั่งให้เลขาของเขาจัดโต๊ะทำงานของญาดาไปอยู่ข้างๆของเขา ฉันกับเขาทำไมในห้องทำงานที่มีกระจกใสกั้นไว้เท่านั้น ฉันสามารถเห็นหน้าเขา เขาก็เห็นหน้าฉัน หลายครั้งฉันสัมผัสถึงว่าเขาชอบแอบมองฉัน เขาจะทรมานฉันยังไง คิดว่าฉันไม่รู้หรือไง เพราะว่าตอนนี้เขาแค่ยังไม่ลงมือทำเท่านั้น สองสามวันมานี้ ญาดาได้แต่ดูรูปโครงสร้างชองตึกโรงงานและเอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรเจค การออกบ้านโรงงานดูเหมือนจะง่าย และจริงๆตอนเริ่มออกแบบมันยากมากๆ ต้องดูว่าโรงงานจะผลิตอะไร และต้องเป็นโรงงานที่รักษ์โลก หลายอย่างญาดายังไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น ญาดารู้สึกสนใจเกี่ยวกับงานออกแบบโครงตึกและอาคารอยู่แล้ว พอดูโครงสร้างต่างๆไปสองวัน ญาดาจึงเริ่มรู้สึกสนใจมันขึ้นมา ตอนที่เลิกงานตอนห้าโมงเย็น ญาดากำลังเก็บของของตัวเอง เห็นคีรินยังไม่กลับ และตอนที่ญาดาเดินไปถึงตรงหน้าประตูบริษัท ก็เห็นจอดไมบัคจอดขวางอยู่ หน้าต่างรถจึงเลื่อนลง ใบหน้าของหล่อเหลาแต่เป็นหน้าที่เธอรังเกียจมากๆของคีรินโผล่ออกมาตรงรถ “ขึ้นรถ!” ฉันจึงมองเขาด้วยนัยน์ตาที่เย็นชาแล้วถามขึ้น “มีเรื่องอะไร?” คีรินจึงตอบกลับ “ไปโรงงาน” แต่ทำยังไงตัวเองก็ไม่ยอมขึ้นรถ คีรินก็ใช้วิธีของเขาข่มขู่ให้ตัวเองขึ้นรถให้ได้ ฉันจึงเปิดประตูขึ้นอย่างไม่พูดไม่จา คีรินจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ไปนั่งข้างคนขับ” ฉันจึงปิดประตูเบาะหลังอย่างแรง แล้วเปิดประตูเบาะข้างๆคนขับ พอเห็นว่าฉันเชื่อฟังหน่อย กลับทำให้เขารู้สึกแปลกใจ “ทำไมวันนี้เชื่อฟังขนาดนี้ล่ะ”
已经是最新一章了
加载中