บทที่7 แม่ฉันไปแล้ว   1/    
已经是第一章了
บทที่7 แม่ฉันไปแล้ว
ฤดูนั้นเป็นฤดูหนาว ตอนนั้นพอดีตรงกับช่วงปิดเทอม ฉันไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาต้องหย่าร้างกันในช่วงนั้นด้วย หลังจากวันนั้น ฉันได้แต่ครุ่นคิดว่า หากพวกเขาเลือกที่จะหย่าร้างกันในช่วงที่ฉันเรียนอยู่ แล้วไม่ให้ฉันรู้ มันคงจะดีมากแค่ไหน "หนูนาลูก เดี๋ยวลูกทำการบ้านคนเดียวไปก่อนนะ พ่อกับแม่จะออกไปทำธุระก่อนนะ" แม่เอ่ยพูด ฉันยังจำได้ว่ารุ่งเช้าวันนั้น เราทานข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตากัน "ค่ะ แล้วตอนเที่ยงหนูต้องหุ้งข้าวด้วยหรือเปล่าค่ะ?" ฉันบอก "ไม่ต้องจ่า เดี๋ยวพ่อกับแม่ก็กลับมาแล้ว" แม่เอ่ยพูด พลางลูบหัวฉันอย่างเบามือไปด้วย ตอนนั้นฉันก็ไม่ได้เอ่ใจอะไร เลยไม่ทันสังเกตว่าตาแม่แดงก่ำ พอถึงเที่ยง ฉันได้กลิ่นหอมอาหารจากข้างบ้านแล้ว พ่อกับแม่ก็ยังไม่กลับมาอีก ตอนนั้นเราอาศัยอยู่ในตึกแคบ ๆ ทุกบ้านจะมีเพียงสองห้อง ข้างในที่เป็นโถกว้างคือห้องนอนกับห้องรับแขก ส่วนข้างนอกเป็นห้องเล็กคือห้องครัวกับห้องรับประทานอาหาร ห้องน้ำจะมีไว้ในทุก ๆ ชั้นสอง เพื่อใช้ร่วมกัน ฉันหิวแล้ว เลยเดินดิ่งเข้าห้องครัว เริ่มทำการหุงข้าวทำกับข้าว กับข้าวเมื่อวานยังเหลือวางอยู่บนโต๊ะ ฉันตั้งใจว่าพอหุงข้าวเสร็จ จะตักใส่ในจานเพราะกับข้าวอีกไม่นานก็สุก กับข้าวแบบนั้ ที่มีน้ำมันกับเนื้อและมีกลิ่นหอม ฉันชอบมันมาก "หนูนา ทำไมยังอยู่บ้านหละ?" ป้าข้างบ้านผ่านหน้าบ้านมา ฉันจำได้จนถึงทุกวันนี้กับน้ำเสียงที่กระตือรือล้น "หนูอยู่บ้านทำการบ้านไงค่ะ" ฉันเอ่ยอย่างงุนงง "หนูยังมัวแต่ทำการบ้านอะไรอยู่? พ่อกับแม่หนูกำลังจะหย่ากันแล้วนะ! หนูยังไม่รีบไปห้ามอีก?!" น้ำเสียงป้าเอ่ยเร่งรีบ "อยู่ตรงสนามข้างนอกน่ะ!" พอได้ยินเช่นนี้ ฉันถึงกับอึ้งค้างไปแล้ว ไม่กี่วินาทีต่อมา ฉันก็รีบเปิดประตูออกก้าวเท้ายาววิ่งออกไป ฉันอายุปูนนั้นแล้ว ซึ่งเข้าใจความหมายการหย่าร้างคืออะไรไรแล้ว ในสมัยนั้น บุคคลที่หย่าร้างกันมีน้อยมาก และเด็กที่ครอบครัวหย่าร้างกันแล้ว คุณครูมักจะเอาใจดูแลเป็นพิเศษ เพราะเด็กพวกนี้ชอบถูกกลั่นแกล้ง และต้องถูกผู้คนตีหน้านินทา แต่ เพราะก่อนหน้านี้ ฉันเคยครุ่นคิดมาไม่รู้กี่รอบแล้ว กับเรื่องที่พ่อกับแม่หย่าร้างกัน ฉันเลยรู้สึกว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีนิ เพราะครั้งหนึ่ง หลักจากที่เราสองแม่ลูกถูกพ่อทำร้ายจนช้ำไปหมด ฉันเคยบอกกับแม่ว่า ให้พวกเขาหย่ากันเถอะ ฉันทนไม่ไหวแล้ว! เมื่อตอนนั้น แม่ได้แต่ร้องไห้ฟูมฟาย ส่ายหน้าไปมา เราพักอาศัยอยู่ในตัวเมือง ส่วนพ่อทำงานในโรงงาน แม่ไม่ได้ทำงาน ค่อยดูแลพวกเราดูแลบ้าน พูดได้อีกอย่างคือ พ่อต้องเป็นหัวหน้าครอบครัวอยู่คนเดียว ตอนนั้น ฉันไม่เข้าใจ ว่าทำไมแม่ถึงไม่ยอมหย่าสักที พอหลายปีผ่านไป ฉันได้เข้าใจแล้ว เราะแม่ไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้เป็นของตัวเอง แม่....ไม่มีปัญญาเลี้ยงชีพตัวเอง ตอนนั้น แม่ไม่กล้าหย่า วันนั้น ที่ฉันก้าวเท้าวิ่งเร็วอยู่ข้างนอกนั้น ฉันควรจะดีใจสิ ในที่สุดพ่อกับแม่ก็หย่าร้างกันสักที และในที่สุดฉันก็ไม่ต้องทนเจ็บอีก ฉันจะไปอยู่กับแม่ แล้วออกจากบ้านนี้ไป แต่ว่า ถึงฉันจะฝันก็คิดไม่ถึง พอฉันไปถึง ฉันกลับเห็นเหตุการณ์นั้น ที่แม่ขึ้นไปกับรถเก๋งคันเล็กคันหนึ่ง ไอ้เฒ่านั่น มีทั้งมอเตอร์ไซค์ โทรทัศน์ เครื่องซักผ้าออโต้ก็ว่าดีแล้วนะ แต่กับรถเก๋งสิ ต้องเป็นคนมีฐานะร่ำรวยดีแน่นอน "แม่ค่ะ!" ฉันตะโกนดังก้อง สะโพกแม่ก็นั่งลงสู่เบาะนั่งแล้ว เขานั่งอยู่ฝั่งข้างคนขับ เหลือเพียงขายาวอีกข้างที่ยังอยู่ข้างนอก แม่เงยย้อนหันมามองฉัน กับน้ำตาที่ไหลอับแก้มของแม่ เวลานี้ ฉันเห็นชายคนหนึ่งที่อยู่ข้างแม่เอ่ยขึ้น ฉันไม่รู้ว่าเขาพูดว่าอะไรบ้าง ในทันใดเห็นแม่เอามือกุมปิดปากตัวเอง น้ำตาริมไหลไม่ขาดสาย ต่อมา เห็นขายาวยกขึ้นสู่ในรถ แล้วประตูก็ถูกปิดลงอย่างแรง "แม่!" ใจฉันสั่นหวิวหวาดกลัว ความรู้สึกราวกับถูกทอดทิ้งไร้เยื่อใยอย่างหนัก ฉันวิ่งไล่ตามสุดชีวิต "แม่ แม่ค่ะ! พาหนูไปด้วย! พาหนูไปด้วยสิค่ะแม่!" ฉันตะโกนดังลั่นเรียก รถแม่ก็ไม่ได้จอดหยุดลง รถเก๋งค่อย ๆ เคลื่อนแล่นจากไป ฉันเห็นแม่ได้แต่มองฉันผ่านกระจกรถ ในกระจกใสของรถ ไม่นานเห็นแต่ควันจากปากลอยขึ้นฟ้า [หนูนา ลูกต้องเป็นเด็กดีนะลูก] คำพูดเหล่านี้ ฉันจำไม่ค่อยได้แล้วว่า แม่ได้เอ่ยบอกหรือไม่ บางที แม่พูดแล้ว แต่ฉันอาจจะไม่ได้ยินก็ได้ แม่ได้กุมปิดปากไว้ ร้องฟูมฟายไม่ขาดสาย ระหว่างฉันกับแม่ มันราวกับกระจกที่แตกร้าว ไม่ได้ยินคำที่แม่เอ่ยพูด และไม่ได้เสียงสะอื้นร้องไห้ของแม่ ฉันไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น บางที แม่ไม่เคยเอ่ยพูดตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ประโยคเหล่านี้อาจจะเป็นเพียงความทรงจำราง ๆ ที่อยู่ในหัวสมองฉัน ที่คิดเองเออเอง
已经是最新一章了
加载中