บทที่10
กักเก็บไว้ให้เขา.....
เอ่ยพูดถ้อยคำเช่นนี้ ราวกับฉันเป็นสิ่งของไปสักงั้น
แต่ ถ้อยคำแบบนี้ พอได้ยินมันทำให้ฉันหัวใจดวงน้อยเบิกบานขึ้นมา ยิ้มชอบใจอย่างไม่ยอมหุบปาก
“ขวัญ พี่ขอเตือนเลยนะ อาชีพอย่างเราเนี่ย เงินเท่านั้นคือพระเจ้า อย่ามัวแต่เล่นสนุกเพลินจนลืมคิดหละ !” พี่ศรีรีบกระตือรือร้นเอ่ยเตือนขึ้น เธอจ้องมองฉันจริงจังจากส่วนลึกข้างใน
เล่นสนุกเป็นถ้อยคำที่เรามักชอบพูดกัน ความหมายก็คือ อย่ามัวแต่เล่นสนุกไร้สมอง
ที่เธอกล่าวมามันคือความรู้สึกรักใคร
ฉันรีบพยักหน้ารับหงึก ๆ “ค่ะ หนูรู้ค่ะพี่!” มันรู้สึกเคือง ๆ ข้างในจิตใจ
หญิงสาวที่ขาดแคลนทั้งทรัพย์สินและความรักอย่างฉัน บวกกับอายุราวเล็กสองต้น ๆ มันต้องมีคาดหวัง กับเรื่องความรักใคร่อะไรอย่างนั้นบ้างอยู่แล้ว
เมื่อยามเย็น ฉันได้พบเจอเสี่ยชายอย่างสมดังปรารถนาแล้ว
เขามากับเพื่อนอีกไม่กี่คน เขาในค่ำคืนนั้น สวมใส่เสื้อเชิ้ตลายสีเทา บวกกับแว่นดูหรูแพง บุคลิกน่าเย้ายวนใจละลาย
พอได้เห็นก็ยิ้มหน้าบาน เดินตรงดิ่งไปทางเขา แล้วนั่งข้างกายเขา
หลังจากครั้งแรกที่เนื้อผิวเสียดสีกันแล้ว ระหว่างเรามันคุ้นเคยกันไปแล้ว ฉันไม่รู้สึกเกรงกลัวแต่อย่างใด และเขาเองก็ยื่นมือโอบเอวบางฉันไว้อย่างธรรมชาติ
“อั้ยยะ ฉันถูกใจสาวน้อยคนนี้ ทำไมถึงไปอยู่ในโอบกอดแกได้หละ?!” ชายคนหนึ่งเอ่ยพูดโอ้อวดกับและเสี่ยชาย
จนร่างบางฉันเกรงแข็งทื่อไปทั้งตัว
ชายคนนั้นรูปร่างประมาณ ร้อยหกสิบเซนติเมตร หัวล้านสว่างเจิดจ้า ไขมันชั้น ๆ อยู่หลังลำคอ ลำคอเต็มไปด้วยสร้อยทองคำต่าง ๆ นานา และพุงที่ป่องโตราวกับลูกโป่ง ดูยังอย่างก็เปรียบไม่ติดกับเสี่ยชายเลยสักเสี่ยงเดียว
ล่าเหยื่อสดใหม่ จะมัวแต่งุดหน้าลงกินเยื่อได้ไง
ฉันตระหนกหวาดกลัวว่าเสี่ยชายจะส่งฉันให้เขาไป
ช่วงนี้ ที่อยู่ที่นี่ พวกเราเป็นได้แค่สินค้า สินค้าที่ไม่มีสิทธิในการเลือก ไม่มีแม้ศักดิ์ศรีอย่างใด
“เอ่อ...ของฉัน” เสี่ยหัวเราะยิ้ม
แรงกำลังมือเขาที่โอบกอดเอวบางไว้อย่างไม่แน่นเกินและไม่หลวมเกินไป เขาขย้ำเอวบางเพื่อส่งสัญญาณให้ฉันวางใจได้
“ดูท่าเกรงกลัว! กลัวว่าพี่จะเชือดเชือนกินหรือไงจ๊ะ?” เสียงชายคนนั้นดังก้องมาก พอหมุนเลื่อนมาอยู่หลังฉันแล้ว ก็ยื่นมือหนาใหญ่มาจับสัมผัสใบหน้าฉัน
แรงบีบนั้นช่างทาบทมมาอย่างหนัง เจ็บจนจี๊ดกัดฟันกรามไว้ ซ้ำเขายังยิ้มอย่างชอบใจอีก
เสี่ยชายปล่อยมือจากเอวบางฉัน บีบแตะไปที่มือเขาเบา ๆ เพื่อสะกิดให้เขาปล่อยมือ
ผู้เป็นชายนั่งลงสู่ข้างกายฉัน เงยหน้าจ้องมองเสี่ยชาย “หวัดดีไอ้ชาย?”
“เด็กหญ้าอ่อน” เสี่ยชายหัวเราะ ยื่นมือโอบเอวบางฉันเหมือนเดิม อมยิ้มเอ่ยตอบ
ชายคนนั้นเงียบกริบ สายตาเพ่งมองสาดส่องไปยังสาว ๆ ที่ยื่นอยู่หน้าประตูอย่างไม่ขาดสาย ยกมือยาวชี้ไปยังสาวสองคน แล้วใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางกวาดให้มาหา เพื่อส่งสัญญาณว่าต้องการสองคน
ผู้เป็นสาวสองคนนั้นนั่งลงฝั่ฟากงซ้ายขวาของชายผู้นั้น ฉันถึงโล่งอกใหญ่ไปได้
พูดไปก็น่าขำดีออก ทั้ง ๆ ที่ฉันออกมาขายบริการเอง แต่กลับกลัวว่าเขาจะชอบถูฏใจเข้า
“คนนั้นคือเสี่ยพงษ์ เดี๋ยวช่วยรินเหล้าเบียร์ให้แกสักหน่อย” เสี่ยชายเอ่ยพูด
“ค่ะ” ฉันถามเสียงเรียบ
ฉันถึงนึกคิดได้ มันช่างขี้จี้หวงตัวจริงเชียว งานแบบเรา มันคือข้อต้องห้ามนะ
“ช่วงนี้คุณไม่ค่อยมานี่นะ?”
“ที่มหาลัยมีสอบค่ะ
“มหาลัยไหนเหรอ?” เขาพลางเอ่ยถามฉุนเฉียว
“คณะไหนเหรอ?” ฉันเอ่ยตอบชื่อให้เขา จนเขาต้องขมวดคิ้วแน่น มหาลัยเราถือว่าเป็นจุดเด่นแถวต้น ๆ ประเภทเลยนะ เขาชำเหลือมสายตามองรอบตัวฉัน แล้วเอ่ยถามต่อ
“คณะโบราณคดี สาขาวิชาภาษาจีน” ฉันตอบเสียงเรียบ
“เป็นคณะที่เยี่ยมนิ” เขาบอก ต่อมาก็ยิ้มถาม “มีประโยคหนึ่งว่า ความรู้เป็นเหมือนอาวุธ ถูกมั้ย?”
ฉันรู้สึกได้ว่า เวลาที่เขาเอ่ยพูดถึงประโยคนี้ กับที่เขาเอ่ยถามถึงคณะที่เรียน อารมณ์ความรู้สึกมันช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เอ่ยพูดประโยคนี้ดูเหมือนชิว ๆ พอเอ่ยถามถึงเรื่องคณะ กลับมีความเก้อเกรงกล้า ๆ กลัว ๆ
ไม่สิ ผู้ชายที่สูงส่งผู้ดีแบบเขา จะมารู้สึกเก้อเกรงกับมหาลัยและคณะที่ฉันเรียนได้ไงกัน? ฉันต้องพูดเองเออเองแน่ ๆ