ตอนที่8 คุกคาม
ตอนที่8 คุกคาม
“หลักฐาน...” เฉินเฮ่ายิ้มเยาะขึ้น ใบหน้าที่เยือกเย็นนั้นดูบีบคั้นคน “เจ้าคิดว่าข้ายังจะไว้ชีวิตคนเลวงั้นหรือ ข้าฆ่าเขาไปแล้ว เจ้าใช้สมุนไพรให้คนของเจ้ามัวเมาแล้วเหยียดหยามน้องอิน โชคดีที่ข้าไปถึงทันเวลา จูยฟง ฉูยั่ว ลงมือถอดเสื้อผ้านาง”
ความอดทนของเขาถึงขีดสุดแล้ว มองเห็นเส้นเลือดที่หน้าผากอย่างชัดเจน
จูยฟงและฉูยั่วเดินไปข้างหน้า อย่างไม่มีความลังเล
เหลียงซีนยังคงอยู่ในความตกตะลึง มลทินนี้หนักหนายิ่งนัก ขณะที่นางยังไม่ได้ทันได้ไตร่ตรองอะไร จูยฟงและฉูยั่วก็ไม่ประวิงเวลาที่จะถอดเสื้อผ้าของนางออกไป นางใช้สายตาและน้ำเสียงที่เย็นชาเอ่ยขึ้น “ถ้าหากวันนี้พวกเขาทำอะไรข้า ท่านอย่าหวังที่จะได้รู้เนื้อหาของค่ายรบวิเศษ”
เฉินเฮ่าที่มีสีหน้าเย็นชานั้นดูสองจิตสองใจ ขณะที่จูยฟงและฉูยั่วกลับไม่ได้หยุดที่จะลงมือ
เหลียงซีนกัดริมฝีปากแน่น ทำเป็นมองความตายเหมือนได้กลับบ้าน
ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เฉินเฮ่านั้นชื่นชอบการนำกองทหารออกรบอย่างมาก หนังสือทางการทหารเล่มใดล้วนชื่นชอบ
เล่าลือกันว่า “ค่ายรบวิเศษ” เป็นหนังสือทางการทหารที่เยี่ยมที่สุดในโลกใบนี้ ข้างในนั้นบันทึกวิธีการที่แปลกประหลาดมากมายในการวางตำแหน่งทางการทหารสำหรับการทำสงคราม สามารถทำให้คนผู้นั้นรบที่ไหนชนะที่นั่น ไม่มีใครทำให้เขาแพ้ได้ ถ้าหากผู้ใดมีสิ่งนี้ในมือ ก็จะสามารถครอบครองโลกใบนี้ได้
บังเอิญกับที่เคยมีผู้มอบหนังสือเล่มนี้ให้กับเฉินเฮ่า แต่ว่าเขาเพียงยังไม่ได้อ่านมัน ก็ถูกคนขโมยไปซะก่อน
เสื้อผ้าของเหลียงซีนนั้นถูกถอดออกไปแล้วหนึ่งชิ้น ฉนฮัวที่คุกเข่าอยู่ด้านข้างก็ไม่หยุดที่จะโขกศีรษะขอร้องให้เฉินเฮ่านั้นยกโทษนาง “ท่านอ๋องข้าขอร้องท่าน ปล่อยพระชายาเอกไปเถอะเพคะ บ่าวขอร้องละเจ้าคะ”
ในใจของเหลียงซีนนั้นเต้นอย่างรุนแรง ถ้าหากเฉินเฮ่าไม่ยอมพูด นางก็ต้องกัดลิ้นเพื่อฆ่าตัวตาย
และนั้นสถานการณ์ที่กำลังหน้าสิ่วหน้าขวานนั้น จู่ๆเฉินเฮ่าก็เอ่ยขึ้น “หยุดมือ”
จูยฟงและฉูยั่วจึงหยุดมือลงทันที เหลียงซีนแม้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก ก็ไม่ลืมที่จะเก็บเสื้อผ้าที่ถูกถอดออกไปของตน มาคลุมเพื่อปกปิดร่างกายของตนเอาไว้
นางมองไปยังเฉินเฮ่าอย่างเย่อหยิ่ง ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “ท่านอ๋องไม่เชื่อ ข้าสามารถพูดเนื้อหาส่วนหนึ่งให้แก่ท่านฟัง ที่ว่ากลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับนั่นคือหากที่จะจับเขา สู้ที่จะให้คนผู้นั้นสุขซีเช่่ามีอิสระดีกว่า รอให้เขาผ่อนคลายความระมัดระวังตัวลง ก็จะสามารถจับเขาได้โดยง่ายและรวดเร็ว และถ้าหากเมืองทั้งเมืองเต็มไปด้วยทหารและกฎเกณฑ์นั้น สิ่งเหล่านี้จะทำให้พวกเขาผ่อนความระแวดระวังลง เพราะคิดว่าข้าศึกล้มเลิกที่จะเข้าโจมตีตนเอง เมื่อพวกเขาหละหลวมนั่นคือโอกาสที่ดีที่สุดในการเข้าโจมตี”
เฉินเฮ่าถึงกับงงงัน สายตาทั้งประหลาดใจและสับสนคล้ายกับไม่เชื่อคำพูดของนาง “เจ้าอย่าคิดว่าจะนำเอาสิ่งที่สตรีออกเรือนล้วนรู้ประเภทนี้มาเป็นอุบายหลอกข้า กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับ เหอะ ข้าดูก็รู้ว่าเจ้าคือคนคนนั้น”
ใบน้าของเขาแม้ดูยังโมโห แต่เหลียงซีนก็มองออกว่าเขาเชื่อในสิ่งที่นางพูดออกไป ในใจของนางจึงรู้สึกผ่อนคลายลงก่อนเอ่ยขึ้น “โยนอิฐเพื่อให้รับหยก จับโจรต้องจับหัวหน้าก่อน ล่อเสือออกจากถ้ำ กลยุทธ์พวกนี้ ถ้าหากสตรีล้วนรู้ เช่นนั้นท่านอ๋องก็ให้เกียรติพวกเราเกินไปแล้ว”
เฉินเฮ่าตะลึงงัน ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยข้อสงสัยมากมาย หนังสือเล่มนี้ตนเองยังไม่ได้อ่าน ในนั้นเขียนวิธีทางการทหารใดบ้างจึงไม่อาจล่วงรู้ได้ แต่คำพูดเหล่านี้ของเหลียงซีนนั้น แท้จริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่สตรีจะสามารถรู้ได้
“เจ้ารู้จักเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ได้อย่างไร” สายตาที่เต็มไปด้วยความดุร้ายบีบคั้นคำตอบจากเหลียงซีนอีกครั้ง
ในหนังสือมีเนื้อหาใดบ้างนางไม่รู้ แต่นางรู้ว่าที่นางพูดไปนั้นต่อการนำทหารออกไปทำสงครามนั้นมีประโยชน์อย่างยิ่ง
นางมองตรงไปยังฉนฮัวและชิวยั่ว แล้วใช้น้ำเสียงที่คล้ายข่มขู่เอ่ยกับเฉินเฮ่า “ควรให้คนมาดูอาการของฉนฮัวก่อน มิเช่นนั้นข้าก็จะไม่บอกท่าน”
เฉินเฮ่ากลับตะลึงอีกครั้ง เขาคิดว่านางจะให้เรียกคนมาดูอาการของตนเองก่อน คิดไม่ถึงว่ากลับเอาใจใส่อาการของสาวใช้คนนี้ก่อนตนเอง คาดไม่ถึงจริงๆ
“เจ้าคิดว่าข้ารับปากเจ้าหรือ” สีหน้าของเขาเยือกเย็นอยู่บางส่วน
เหลียงซีนเกี่ยวริมฝีปากขึ้นคล้ายเยาะเย้ย “ท่านอ๋องรักประชาชนดังเป็นลูกของตนเอง ข้าคิดว่าชีวิตของสาวใช้ข้าเปรียบเทียบกับประชาชนทั่วประเทศนันย่วนแล้ว ล้วนไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด”
ความเย็นยะเยือกพุ่งตรงมายังที่ศีรษะของเฉินเฮ่า เขาเพ่งมองเหลียงซีนอย่างเย็นชา คล้ายกับว่านางดูถูกเขาไป คำพูดทั้งหมดที่ออกมาล้วนแหลมคมกว่าคมของมีดดาบซะอีก แต่ว่าแท้ที่จริงแล้วเขานั้นถูกคำพูดของนางทิ่มแทงเข้าให้แล้ว
เขาเอ่ยออกมาอย่างมีทิฐิ “ไปเชิญท่านหมอประจำตำนักมา”
“ไม่ ข้าต้องการหมอหลวงที่เก่งที่สุด” เหลียงซีนเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา แต่เสียงนั้นกลับดูหนักแน่น
สายตาของเฉินเฮ่าจึงกลับมามองที่เหลียงซีนอย่างโมโหอีกครั้ง “เจ้าอย่าได้คืบจะเอาศอกให้มันมาก”
“ทานอ๋อง อยากจะลองดูไหมละเพคะ” นางเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางที่คล้ายไม่จริงจังนัก
บนร่างกายของเฉินเฮ่าจึงเต็มไปความเยือกเย็นอีกครั้ง ภายในห้องจึงคล้ายกับถูกปกคลุมด้วยฤดูหนาวที่หนาวเหน็บในเดือนที่สิบสอง
ฉนฮัวที่คุกเข่าอยู่บนพื้นนั้นอยากจะพูดให้พระชายาเอกหยุดขอร้องท่านอ๋องเสียที มีหมอหลวงมาดูอาการก็นับว่าดีเกินไปด้วยซ้ำแล้ว อย่ายั่วโมโหท่านอ๋องอีกเลย เมื่อถึงเวลานั้นนางก็จะต้องได้รับความทุกข์ทรมาน
แต่ว่าเมื่อนางกำลังจะเอ่ยปากขึ้น กลับมองเห็นดวงตาที่เด็ดเดี่ยวของเหลียงซีน นางจึงปิดปากลง
นางคิดในใจว่า พระชายาเอกของพวกนางนั้น เข้มแข็งยิ่งกว่าเมื่อก่อนอย่างมาก
ท้ายที่สุดแล้วเฉินเฮ่าก็ยอมประนีประนอม เรียกหมอหลวงจากในวังหลวงออกมา
ขณะที่หมอหลวงกำลังจีบชีพจรของฉนฮัวเพื่อดูอาการอยู่นั้น ภายในห้องกลับตกอยู่ในความเงียบอย่างประหลาด แม้กระทั่งมีความอึมครึ้มเย็นยะเยือกบางส่วนออกมา
หมอหลวงเช็ดเหงื่อที่ไหลออกมาของตน หลังจากให้ยาเสร็จเรียบร้อย เขากำลังจะเข้าไปดูอาการของเหลียงซีน ที่ร่างกายนั้นเต็มไปด้วยเลือด แต่กลับถูกเฉินเฮ่าตะโกนสั่งขึ้น “ทำงานของเจ้าเสร็จแล้วก็ออกไป เรื่องในคืนนี้ห้ามพูดแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด มิฉะนั้นความตายจะไปเยือนโดยไม่รู้ตัว” เฉินเฮ่าใช้สายตาที่คุกคามกวาดมองไปยังหมอหลวง เขาไม่ได้คิดที่จะรักษาอาการบาดเจ็บของเหลียงซีน
หมอหลวงรีบพยักหน้ารับคำสั่งทันที เรื่องในตำนักอ๋องเซงยังไม่มีผู้ใดกล้าถามให้มากความ แล้วหมอหลอวงตัวเล็กๆเช่นเขาไหนเลยจะกล้าเอ่ยอะไรออกไป
ดวงตามองอย่างผิดหวัง เหลียงซีนปิดบริเวณหน้าอกของตนอย่างมิดชิดขึ้น ดีที่ในยุคปัจจุบันนั้นนางศึกษาด้านยามาบ้าง จึงเคยจัดแบบลวกๆ จึงไม่ใช่อุปสรรคที่ใหญ่หลวงอันใด
เพียงแต่ว่าใจของนางกลับเจ็บปวดขึ้น เฉินเฮ่าไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่นเช่นนี้ ร่างกายของเจ้าของร่างเดิมนี้กลับยังคงมีความรู้สึกรักในตัวเขาอยู่
“เหลียงซีน กรรมในวันนี้ข้าจะค่อยๆชดใช้กับเจ้า เจ้าใช้วิธีการใดกับร่างกายของน้องอิน ข้าก็จะค่อยๆให้มันคืนแก่เจ้า” ดวงตาที่แสนอำมหิตคู่นั้นของเฉินเฮ่า ทำให้ผู้คนนั้นต่างเกรงกลัว