บทที่ 3 เก็บเด็กน้อยมาหนึ่งคน   1/    
已经是第一章了
บทที่ 3 เก็บเด็กน้อยมาหนึ่งคน
บทที่ 3 เก็บเด็กน้อยมาหนึ่งคน สามนาทีผ่านไป เฉียวเมิ่งเยว่มองดูเด็กตัวน้อยที่นั่งอยู่บนตักของตัวเอง จำไม่ได้เลยว่าเธอกับหยางเสว่หลินนั้นมานั่งอยู่ในรถมาเซราติของเห้ออี้ลั่วได้ยังไง และเสี่ยวเป่าก็เหมือนจะติดกับตัวของเธอ ไม่ยอมห่างเลยแม้แต่นาทีเดียว เฉียวเมิ่งเยว่สังเกตเห็นสายตาที่สับสนของหยางเสว่หลิน ไม่อยากจะคุยเรื่องซุบซิบกับเธอตอนนี้เลยจริงๆ ไม่นานเมื่อใกล้จะถึงที่พักของหยางเสว่หลิน เฉียวเมิ่งเยว่ก็ยกสิ่งที่อยู่บนตักของตัวเองมาวางลงตรงที่นั่งข้างๆ เตรียมที่จะลงรถไปพร้อมกับหยางเสว่หลิน หยางเสว่หลินกลับชิงปิดประตูรถก่อน “บ้านฉันไม่มีห้องว่างสักหน่อย เธอจะตามลงมาด้วยทำไม?” ในตอนนั้น เธออยากจะบีบคอคนโง่ที่ไม่สมเหตุสมผลคนนี้ให้ตายจริงๆ ไอคิวกับอีคิวโดนหมากินไปหมดแล้วหรือไง?! เธอมองไปทางด้านเห้ออี้ลั่ว พบว่าเห้ออี้ลั่วก็กำลังมองมาที่เธอ ในสายตาที่มองมาบ่งบอกถึงความเศร้า “กลัวผมหรอ?” เห้ออี้ลั่วถามขึ้นเสียงเบา “คุณคิดมากไปแล้ว” “ที่อยู่บ้านคุณ?” เฉียวเมิ่งเยว่ก็ขี้เกียจอ้อมค้อม หลังจากบอกที่อยู่เสร็จ ก็หันหัวมองออกไปทางนอกหน้าต่าง หัวของเสี่ยวเป่าหมอนลงบนตักของเธอ และนอนหลับต่อไป … … หลังจากที่เฉียวเมิ่งเยว่กลับมาถึงบ้าน ในหัวของเธอก็ฉายภาพสายตาของเห้ออี้ลั่วขึ้นโดยอัตโนมัติราวกับเป็นเครื่องฉายภาพ น่ารำคาญและหัวใจก็เต้นแรงขึ้นแบบผิดปกติ เรื่องที่เจอกับเห้ออี้ลั่ว และเสี่ยวเป่าเมื่อตอนเย็น คงจะเป็นเรื่องบังเอิญแหละ? แต่ความจริงพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ** ในวันหยุดสุดสัปดาห์ เป็นโอกาสหายากที่เฉียวเมิ่งเยว่จะได้นอนตื่นสาย กลับถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยเสียงเคาะประตูที่ดังอย่างต่อเนื่อง เฉียวเมิ่งเยว่เสยผมสองสามที เปิดผ้าห่มลุกขึ้นมาอย่างหงุดหงิด เปิดประตูบ้านออก ก็พบว่าคนที่ยืนอยู่ก็คือป้าหวางที่พักอยู่ฝั่งตรงข้าม “ไม่ใช่ฉันอยากจะว่าคุณหรอกนะ คุณเป็นแม่ประสาอะไรกัน? ไม่ว่าเด็กจะทำผิดอะไรไป ก็ไม่ควรไล่เด็กออกมาจากบ้านในวันที่อากาศหนาวแบบนี้ หากเกิดอะไรขึ้นมา คุณจะมาเสียใจทีหลังก็สายเกินไปแล้วนะ!” เมื่อป้าหวางเห็นเฉียวเมิ่งเยว่ก็อดไม่ได้ที่จะตำหนิเธอ เฉียวเมิ่งเยว่ในหัวมืดสนิท “ป้าหวาง คุณพูดช้าลงหน่อย เด็กอะไร มีเด็กมาจาไหนกัน?” ป้าหวางมองเฉียวเมิ่งเยว่อย่างดูถูก ขยับไปด้านข้างหนึ่งก้าวเผยให้เห็นเด็กที่ยืนอยู่ด้านหลัง แน่ว่าว่าเด็กคนนั้นก็คือเสี่ยวเป่า เขาสวมแค่ชุดที่ใส่อยู่ในบ้านตัวบางๆ ที่เท้าก็สวมรองเท้าสลิปเปอร์ แก้มทั้งสองกับจมูกเย็นแดงเป็นสีชมพู ทั้งดูน่ารักและน่าสงสาร เฉียวเมิ่งเยว่เห็นว่าป้าหวางกำลังจะพูดต่อ ก็รีบอุ้มเสี่ยวเป่าเข้าบ้านไป “ขอบคุณนะคะป้าหวาง ลำบากคุณแล้วจริงๆ” พูดจบ เฉียวเมิ่งเยว่ก็รีบปิดประตูอย่างเรียบร้อย หลังจากนั้นก็มองไปที่ประตูใหญ่แล้วหายใจเข้าลึกๆไปสองสามครั้ง จนกระทั่งมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธออีกครั้ง จึงจะหันกลับมาถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง: “เด็กน้อย เธอมาที่นี้คนเดียวหรอ?” เสี่ยวเป่าถูมือไปมาอย่างชั่งใจ ก้มหน้าลง และไม่มีการตอบสนองอะไร เฉียวเมิ่งเยว่มองดูท่าทางน้อยๆของเขา ก็นึกถึงตัวเองในอดีตขึ้นมา เธอก้มลงไปอุ้มร่างเล็กของเขาขึ้นมา วางลงบนโซฟา และใช้ผ้าห่มผืนเล็กห่อตัวเขาไว้ เสียวเป่าก็ลืมตาสีดำราวกับลูกองุ่นคริสตัลมองไปที่เฉียวเมิ่งเยว่ ปล่อยให้เธอทำอยู่อย่างนั้น เหมือนกับตุ๊กตาพอร์ซเลน ท่าทางที่น่ารักนั้น ราวกับสามารถละลายหัวใจคนอื่นได้เลย จริงๆแล้วเฉียวเมิ่งเยว่อยากจะถามเขามากว่ารู้จักที่อยู่ของเธอได้ยังไง และมาถึงที่นี่ได้ยังไง หลังจากจับแก้มเย็นๆทั้งสองข้างของเขาแล้ว ก็ไม่อยากที่จะถามอะไรอีกเลย หลังจากเฉียวเมิ่งเยว่มั่นใจแล้วว่าไม่มีแขน และขาของเขาเล็ดลอดออกมาอีก ก็ยิ้มแล้วพูดขึ้น: “หิวหรือยัง? คุณน้าทำอาหารเช้าให้กิน ดีไหม?” เสียวเป่าพยักหน้าตอบ “อยากกินอะไรดี?” มือเล็กของเสียวเป่าขยับไปมาในผ้าห่มผืนเล็ก เฉียวเมิ่งเยว่รู้ว่าเขาต้องการหาอะไร ดังนั้นเธอจึงหยิบสมุดบันทึกกับปากกาออกมาจากลิ้นชัก แล้ววางไปที่มือเล็กๆของเสี่ยวเป่า เสี่ยวเป่าตั้งใจวาดเขียนลงบนกระดาษ แล้วยืนกลับไปให้เฉียวเมิ่งเยว่ เฉียวเมิ่งเยว่เห็นข้อความที่ยื่นมาให้ตรงหน้า อักษรบนข้อความง่ายมาก มะเขือเทศผัดไข่ ปลาหอมผัดหมูหยอง ตัวอักษรเล็กๆ ยึกยัก แต่เรียบร้อย จากตัวอักษรเหล่านี้ยืนยันได้ว่า สติปัญญาของเสี่ยวเป่าไม่มีความบกพร่องแต่อย่างใด แม้แต่ไอคิวของเขาก็เยอะกว่าเด็กในรุ่นเดียวกันอีกด้วย เด็กอายุห้าขวบไม่สามารถรู้จักคำเหล่านี้ได้แน่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเขียนด้วยมือเลย แล้วทำไมเขาถึงไม่พูดหละ? เพราะไม่อยากพูดหรือว่าพูดไม่ได้กัน? เฉียวเมิ่งเยว่เรียกกลับความคิด ยิ้มแล้วพูดขึ้น: “คุณน้าไม่แน่ใจว่าในตู้เย็นจะมีวัตถุดิบครบไหม เธอรอก่อนนะ” เสี่ยวเป่าพยักหน้าอีก เฉียวเมิ่งเยว่ขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมาที่ครัว ผักสองอย่างกับน้ำซุปอีกหนึ่งถ้วยก็ว่าลงบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว และเธอยังอุ่นนมร้อนๆไว้ให้เสี่ยวเป่าอีกหนึ่งแก้ว แววตาของเสี่ยวเป่าเปล่งประกายออกมาเมื่อเห็นอาหารที่วางบนโต๊ะ ไม่ต้องรอให้เฉียวเมิ่งเยว่เรียกเขา เขาก็รีบมานั่งที่โต๊ะอาหารอย่างเชื่อฟัง มองเฉียวเมิ่งเยว่ที่กำลังยุ่ง เฉียวเมิ่งเยว่ตักข้าวให้เขาน้อยๆหนึ่งจาน แล้วยังตักซุปให้อีกหนึ่งถ้วยเล็กๆ เสี่ยวเป่าหยิบช้อนขึ้นมาแล้วเริ่มกินอย่างเงียบๆ เฉียวเมิ่งเยว่มองท่าทางขณะที่เขาจดจ่ออยู่กับการกินข้าว ในใจก็เกิดความรู้สึกขึ้นหลายอย่างมาก จนกระทั่งเสี่ยวเป่ากินข้าวจนอิ่ม เฉียวเมิ่งเยว่ก็พูดขึ้น: “เด็กน้อย คุณน้าขอเบอร์โทรศัพท์ของคุณพ่อหรือของคุณพ่อบ้านหน่อยได้ไหม?” จากสีหน้าที่ผ่อนคลายของเสี่ยวเป่าก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าที่มืดมนขึ้นมา ในดวงตาสีดำที่เปล่งประกาย ก็เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา … … เฉียวเมิ่งเยว่ยืนมองรถมาเซลาติเคลื่อนออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆจากบนระเบียงของบ้าน ในใจไม่มีความรู้สึกผ่อนคลาย เมื่อนึกถึงสีหน้าของเสี่ยวเป่าเมื่อกี้นี้แล้ว เธอรู้สึกเหมือนตัวเองได้ทำในสิ่งที่ไม่น่าให้อภัยลงไป ความรู้สึกผิดในใจก็เอ่อล้นออกมา แต่เธอก็คิดว่าสิ่งที่เธอทำนั้นก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดอะไร เธอชอบความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับคนไข้ที่เรียบง่าย คนไข้เข่ารักษาในโรงพยาบาล เธอก็จะเป็นแพทย์ที่มีความมืออาชีพและมีความสามารถ เมื่อคนไข้ออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเธอและเขาก็จบลง เธอไม่ต้องการที่จะเป็นเพื่อนกับผู้ป่วย และเธอก็คิดว่าไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปเป็นเพื่อนกับพวกเขา น้ำตาของเสี่ยวเป่าทำให้เธอรู้สึกผิด ในตอนที่เสี่ยวเป่าได้ยินเธอขอเบอร์โทรศัพท์ของเห้ออี้ลั่ว เขาได้โยนกระดาษให้เธอหนึ่งแผ่นแล้วก็วิ่งออกไปเลย จนกระทั่งโทรหาเห้ออี้ลั่วเสร็จแล้ว เธอถึงจะลงตึกไป แอบมองแผ่นหลังที่โดดเดี่ยวของเสี่ยวเป่าจากในมุมอย่างเงียบๆ มีหลายครั้ง ที่เธออยากเดินไปโอบกอดร่างเล็กๆของเขาไว้ แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้ทำ เธอไม่อยากให้เสี่ยวเป่ามาปรากฏตัวในชีวิตของเธอบ่อยๆ เพราะเธอไม่มีความรักและความอดทนมากพอที่จะแสดงความอบอุ่นกับเด็กแปลกหน้าหลังเลิกงาน โดยเฉพาะกับเด็กที่จะต้องใช้พลังงานอย่างมากไปดูแลอย่างเสี่ยวเป่า เฉียวเมิ่งเยว่ส่ายหน้าแล้วเดินกลับไปที่ห้องรับแขก หยิบหนังสือ (ปิ้งหลี่เสวีย) ขึ้นมาอ่าน หลังจากนั้นไม่นานโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างๆก็ดังขึ้น เฉียวเมิ่งเยว่หยิบขึ้นมาดูก็พบว่ามีคนเพิ่มเธอเป็นเพื่อนในวีแชท เมื่อเฉียวเมิ่งเยว่เห็น “โจวจื่อหยาง” สามคำนี้มือของเธอก็สั่นเทา ไม่มีการกดยอมรับ เธอเอาหน้าจ่อไปที่โซฟา ตั้งสติแล้วโฟกัสไปที่หนังสือ แต่ก็ไม่สามารถอ่านต่อไปได้อีก โจวจื่อหยางอยากจะเพิ่มเพื่อนเธอไปทำไมกัน? พอเรียนจบกลับมาเลยอยากจะพบเพื่อนเก่า หรือว่าอยากดูว่าที่ผ่านมาเธอใช้ชีวิตได้น่าสมเพชแค่ไหน ** ภายในรถมาเซราติ ผู้ชายตัวใหญ่และตัวเล็กสองคน คนหนึ่งนั่งอยู่ด้านหน้าอีกคนก็นั่งอยู่ด้านหลัง อากาศภายในรถถูกแทนที่ด้วยแรงกดดันจากทั้งสองคน บรรยากาศตึงเครียดซะจนราวกับว่าจะระเบิดได้ภายในอีกไม่กี่วินาที
已经是最新一章了
加载中