ตอนที่ 10
“ท่านหญิง...ออกไปจากห้องนี้ก่อนเจ้าค่ะ”
นางสนมคนสนิทดึงมือพระธิดาวิ่งออกจากห้องนอนที่ไฟเริ่มลามไหม้จนควันลอยโขมงออกมา จางลี่หน้าตื่นด้วยคาวมตระหนก
“เพลิงไหม้มากแล้วหลินเจิน แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป”
“ทำอย่างนี้เจ้าค่ะ”
ว่าแล้วหลินเจินก็ปรี่ไปเปิดประตูห้องแล้วตะโกนออกไปว่า
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! เพลิงไหม้ในห้องของพระธิดา...เหล่าทหารรีบมาช่วยที”
เสียงของนางก้องสะท้อนและทำให้นายทหารที่ยืนเวรยามตกตื่นและรีบวิ่งเข้ามาในทันใด หนึ่งในนั้นคือโม่โฉว นายทหารเอกของปาอ๋องแคว้นหลู่
“เกิดอะไรขึ้น! เพลิงไหม้ที่ใด”
“ในห้องของพระธิดา พวกท่านรีบเข้าไปดูและช่วยดับไฟให้ที”
โม่โฉวชะเง้อข้ามไหล่หลินเจ้าเข้าไปในห้องก็เห็นควันไฟลอยคลุ้งออกมา กลิ่นไหม้ตลบอบอวลจนเขาต้องหันไปตะโกนว่า
“ทหาร!...รีบเข้ามาดับเพลิงในห้องพระธิดา ตักน้ำใต้ตำหนักขึ้นมา ไม่อย่างนั้นตำหนักนี้วอดแน่!”
คำสั่งของโม่โฉวทำให้ทหารเกือบยี่สิบนายที่ยืนเวรยามหน้าตำหนักกรูกันเข้ามา ส่วนหนึ่งเข้าไปในห้องขององค์ชายาช่วยกันใช้ผ้าดับเปลวเพลิงและอีกส่วนหนึ่งวิ่งลงไปตักน้ำใต้ตำหนักขึ้นมาสาดลงในกองเพลิงที่ลามไหม้ จางลี่วิ่งออกไปยืนดูความโกลาหลนั้นหน้าห้องขณะโม่วโฉวรีบเข้าไปคุกเข่าและถามว่า
“องค์ชายา...กระหม่อมโม่โฉว เป็นราชองครักษ์ของหลู่อ๋อง พระองค์ทรงบาดเจ็บหรือมีบาดแผลบ้างหรือไม่พะย่ะค่ะ”
“มะ...ไม่...ท่านโม่โฉว ข้ามิเป็นอะไร ข้าผิดเองที่มิระวังทำให้พวกท่านต้องเดือดร้อนเช่นนี้”
“หามิได้พระองค์...ได้โปรดทรงรออยู่ตรงนี้ ข้าจะรีบจัดการดับไฟให้เร็วที่สุด”
โม่โฉวรีบลุกขึ้น แต่เมื่อเขาเดินไปหยุดที่หน้าประตูห้องกลับฉุกใจนึกอะไรบางอย่าง ด้วยปฏิภาณของนักรบทำให้เขาเหลียวกลับไปยังองค์ชายาและเห็นว่าจางลี่กำลังให้ความสนใจกับอะไรบางอย่าง เขามองออกไปที่สะพานทอดข้ามจากตำหนักร้อยไหมก็เห็นใครคนหนึ่งสวมผ้าคลุมวิ่งสวนกลับออกไปท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวายของเหล่าทหาร โม่โฉวนึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ปกติ เขาเพียงหันกลับไปออกคำสั่งกับนายทหารนับสิบที่วุ่นวายกับการดับเพลิงในห้องที่อบอวนด้วยควัน
“รีบดับไฟให้เร็วที่สุด ให้การอารักขาพระธิดา ข้า...จะไปช่วยพวกทหารที่ตักน้ำใต้ตำหนัก!”
ตลอดทั้งคืนที่เหล่าทหารช่วยกันดับเพลิงในห้องบรรทมของพระธิดาจางลี่และกว่าจะจัดการทุกอย่างจนเรียบร้อยก็ใช้เวลาจนถึงรุ่งสางของอีกทิวา นางต้องย้ายไปอยู่ที่ห้องอีกด้านหนึ่งของพระตำหนักซึ่งได้ชื่อว่างดงามยิ่งนัก และใช่แต่เหล่าทหารที่ต้องช่วยกันคุมเพลิงมิให้ไหม้ลามตลอดทั้งคืน
จางลี่เองก็หาได้พักผ่อนไม่ นางเป็นกังวลต่อการหลบหนีออกไปจากตำหนักร้อยไหมของหลินเจินในห้วงเวลาของความโกลาหล เฝ้าคอยมองว่านางกำนัลคนสนิทจะกลับเข้ามาเมื่อใดหลังทุกอย่างสงบลงแล้ว ปริวิตกว่านางจะได้พบราชองครักษ์เจียนเจ้าดังที่หวังหรือไม่เพราะจวบจนแสงโคมทองอาบไปทั่วบึงน้ำใหญ่รอบตำหนักก็ยังไม่เห็นเงาของหลินเจินว่านางจะกลับมา จางลี่นั่งคอยรอจนเกือบผลอยหลับหากไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้นางสะดุ้งตื่นจากภวังค์ใกล้นิทรา
“หลินเจิน...เจ้าคงกลับมาแล้วสินะ”
จางลี่รำพึงกับตัวเองด้วยรอยยิ้มก่อนวิ่งไปเปิดประตูหากแต่ต้องผงะเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ที่นั่น
“องค์ชาย!”
ร่างน้อยชะงักและถอยหลัง ใบหน้าสวยซึ้งเปลี่ยนเป็นซีดลงเล็กน้อย ร่างสูงใหญ่งามสง่าขององค์ชายหลี่เจี๋ยภายใต้พระภูษาน่าเกรงขามยืนนิ่งและจ้องมองมายังร่างเล็กบอบบางของพระธิดาที่ฝืนยิ้มให้
“องค์ชาย...ไหนพระองค์ตรัสว่าจะกลับมาที่ตำหนักร้อยไหมในอีก...”
“สามราตรี”
หลี่เจี๋ยแทรกด้วยน้ำเสียงกังวานก้อง ใบหน้าคมคายของอ๋องแคว้นหลู่ดูเหมือนเคียดขึ้งหากรอยยิ้มเหยียดผุดบนมุมปากหยัก ปาอ๋องหรี่นัยน์ตาดำยาวรี