ตอนที่ 22 : ปัญญาอ่อน ?   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 22 : ปัญญาอ่อน ?
เนื่องจากช่วงหลายวันที่ผ่านมาค่อนข้างเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ตอนแรกหินคิดว่า ไปเรียนก่อนแล้วค่อยกลับมาแล็บ แต่หินรู้สึกว่ามันจะวุ่นวายโดยไม่จำเป็นสุดท้าย อาทิตย์ที่ผ่านมาหินเลยตัดสินใจไม่ไปมหาลัย ตั้งแต่เริ่มเรียนคาบแรกของวันจนตอนนี้พวกเขามาอยู่ที่โรงอาหาร นัทมันก็มีท่าทีแปลกๆ เหมือนดูไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ แต่มันกลับไม่พูดอะไรเลย ในเมื่อนัทมันไม่พูด เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน ปกติเขาก็ไม่ใช่คนที่จะเอ่ยถามใครก่อน ดังนั้นเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเท่าไหร่นัก แต่กลายเป็นว่าไอ้คนที่เริ่มก่อสงครามเย็นกลับเป็นฝ่ายที่หมดความอดทนลงซะก่อน นัทรอตั้งนาน รอให้หินมันถามว่า เป็นอะไร จะได้โวยวายบ้าง แต่กลับกลายเป็นว่าหินไม่ได้พูดถามอะไรแม้แต่นิดเดียว ในที่สุดหลังจากไปซื้อข้าวมานั่งที่โต๊ะ ความอดทนของนัทก็หมดลง “หิน!!! หินทำแบบนี้มันไม่โอเคเลยนะ” นัทโวยวายขึ้นมา หินแสดงสีหน้าเป็นเชิงถามว่า ตนเองทำอะไรไม่โอเค “ก็หายไปโดยไม่บอกไม่กล่าวนี่ไง” นัทตอบกลับด้วยความหัวเสีย หายตัวไปเป็นอาทิตย์โดยไม่บอกไม่กล่าว จะให้เขาอารมณ์ดีได้ยังไง “อ้อ” หินเข้าใจแล้วว่านัทอารมณ์เสียเรื่องอะไร จะว่าไปเขาก็ไม่ได้ขอเบอร์ติดต่อนัทไว้จริงๆ ‘แล้วมันจะมาหัวเสียใส่เราทำไม’ หินแอบคิดในใจเงียบๆ “อ้อ!! แค่ อ้อ” นัทเอ่ยขึ้นอย่างเหลือเชื่อ ก่อนที่จะนึกถึงเหตุกาณณ์ในอาทิตย์ที่ผ่านมา วันที่มีเรียนแช้วเช็คชื่อ ถ้าอาจารย์ให้เซ็นชื่อก็แล้วไป นัทจะเป็นคนเซ็นให้หิน แต่วิชาไหนที่อาจารย์ให้ขานชื่อ เขาต้องคอยแอ๊บเสียงขานชื่อให้ โดนไอ้คนที่อยู่ข้างๆ ขำแทบตาย แถมจะยังวิชา OM อีก เหมือนขาดกันโดยมิได้นัดหมาย ตอนแรกนัทคิดว่าหินคงไม่มาและตนเองต้องได้นั่งติดนาเดียร์สมใจอยากแน่ๆ แต่กลับกลายเป็นว่า อาทิตย์นั้นนาเดียร์ก็ไม่ได้เข้าคาบเนื่องจากติดถ่ายละคร สรุปคือเขาต้องนั่งอยู่กับผู้ชายที่อีกสองคนที่เหลือในกลุ่ม นั่นมันทำให้เขาอึดอัดเป็นอย่างมาก ไอ้คนหนึ่งก็เหมือนคนปัญญาอ่อน อีกคนก็ขี้อวด ทำให้วันนั้นชีวิตนัทผ่านพ้นไปด้วยความทรมาณ แล้วตอนนี้ยังมาได้ยินเพื่อนสนิท (เหรอ?) ตนเอง พูดมาแค่คำเดียวว่าอ้อ ทำให้ความรู้สึกอันแสนทรมาณในช่วงหลายวันที่ผ่านมาพร้อมที่จะระเบิดเต็มที่ ขณะที่นัทกำลังจะเปิดปากเพื่อบ่นหินชุดใหญ่นั้น “เดี๋ยวเลี้ยงข้าวเย็น” หินเอ่ยขึ้น นัทมันกำลังจะบ่นหินรู้เพราะฉะนั้นจึงเอ่ยตัดหน้าออกไปก่อน . . “อะแฮ่ม!!! อะไรนะเมื่อกี๊ไม่ค่อยได้ยิน” ท่าทีของนัทเปลี่ยนไปในทันที ความอัดอั้นใจที่กำลังจะระเบิดออกมา หุบกลับเข้าไปในอกด้วยความรวดเร็ว หินยิ้มขึ้นก่อนเอ่ยแซวนัท “เฮ้อ… เมื่อกี๊หูยังดีอยู่เลย ตอนนี้หูแว่วซะละ” แต่นัทก็ยังคงทำเหมือนไม่ได้ยิน ประหนึ่งว่ารอบๆ ตัวเขามีสิ่งอื่นให้น่าสนใจเป็นอย่างมาก “เดี๋ยวเลี้ยงข้าวเย็น” หินเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “ผมไม่ได้พูดนะ หินพูดเองนะ” นัทเอ่ยขึ้นด้วยทีท่าว่า เรื่องนี้ตนไม่ได้เป็นคนเริ่มนะ ‘หึๆๆ ยังอ่อนหัดนัก เจ้าหนู’ หินนึกในใจเงียบๆ “เดี๋ยวกินข้าวเสร็จไปห้องสมุดกัน” นัทเอ่ยขึ้น “ไปทำไม” “เอ้าก็เนื้อหาในอาทิตย์ที่ผ่านมาไง เดี๋ยวจะช่วยติวให้” อ้อใช่แล้ว อาทิตย์ที่ผ่านมาเขาขาดเรียนไปดังนั้นต้องมาตามเก็บเนื้อหาตามหลัง “โอเคไปห้องสมุดก่อน” ขณะที่หินกำลังจะเริ่มรับประทานอาหาร นัทก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “เอ้อ หิน ได้ยินข่าวที่มีคนคิดค้นวัคซีนรักษามะเร็งได้แล้วยัง?” “ยัง ทำไมเหรอ” แม้หินจะทำเป็นเหมือนไม่สนใจ แต่เขาก็อยากรู้เช่นกัน ว่าคนทั่วไปคิดยังไงกับเรื่องนี้ แม้ข้อมูลที่เดวิดให้มาจะบอกว่าผลตอบรับดี แต่เขาก็ยังอยากได้ยินด้วยตัวเองอยู่ดี “ไร้สาระเป็นบ้า ใครมันจะไปทำได้ นี่คงเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นแน่ๆ ” นัทไม่เชื่อเรื่องนี้แม้แต่น้อย หินขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนเอ่ยถามขึ้น “ทำไมถึงคิดแบบนั้น” “คิดดูดิ ข่าวลือบอกว่า ให้ลองเข้าเว็บไซต์ที่ชื่อ BlackBox ถ้าเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายจริงๆ จะมีสิทธิ์ได้สุ่ม แล้วมันจะรู้ได้ยังไง ว่าใครเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายจริงๆ ” ‘ก็เดวิดไง’ หินตอบในใจ “แล้วจะราคาที่ขายนั่นอีก 5000 บาท โห คิดดูนะ เขาพยายามคิดค้นวิธีการรักษามะเร็งมาหลายสิบปี ยังทำไมได้ อยู่ดีคืนดี มีเว็บไซต์แปลกๆ โผล่มาพร้อมกับ วัคซีนที่กำจัดมะเร็งได้ในราคาโคตรถูก ตลกป่ะ?” ‘มันตลกตรงไหนฟะ’ “แล้วยังไงอีก” หินถามต่อ “ถ้าทุกอย่างมันเป็นความจริง รัฐบาลหรือพวกศูนย์วิจัยทางการแพทย์ก็คงออกมาป่าวประกาศให้โลกรู้แล้วสิ นี่อะไร กลับมีแค่ข่าวลือ ทั้งๆ นี่เป็นเรื่องใหญ่ ที่สำคัญถ้ามันมีวัคซีนที่ว่านั้นจริง ก็ต้องมีคนเอาไปศึกษาทดลองแล้วผลิตซ้ำออกมาได้แล้วสิ แต่นี่เงียบกริบ” ‘ก็มันเป็นความต้องการของฉันตั้งแต่แรกที่ต้องการปิดข่าว ส่วนพวกรัฐบาลกับหน่วยการแพทย์ก็คงทำตามความต้องการของฉันเลยไม่ได้ป่าวประกาศออกไป ส่วนอันสุดท้ายเพราะเทคโนโลยีในตอนนี้ของโลกนี้มันไม่สามารถผลิตได้น่ะสิ นอกจากเครื่องปฏิกรณ์นาโนในห้องแล็บฉันเท่านั้น’ ที่นัทมันพูดมาหินไม่ได้ว่าอะไรนัทเลย เนื่องจากนัทมันก็วิเคราะห์ข้อมูลตามที่ตนเองมีแหละหลักการเหตุและผล จริงๆ หินแทบจะชื่นชมมันซะด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของเขา “แล้วถ้ามันเป็นเรื่องจริงหล่ะ” หินถามขึ้น “ตลกละหิน ลองคิดดูใครมันจะปิดบังเรื่องแบบนี้ ถ้ามันเป็นเรื่องจริงผมจะป่าวประกาศให้โลกรู้ด้วยซ้ำ แค่นี้ชื่อเสียงเงินทอง ก็ไหลมาเทมาเหมือนเขื่อนแตกแน่ๆ ” “ก็สมมุติไงว่ามันเป็นเรื่องจริง นัทคิดว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเป็นคนแบบไหน” “หึๆๆ ถ้าไม่ใช่คนบ้าแสดงว่าหน้าตาต้องอัปลักษณ์จนไม่กล้าแสดงตัวตนออกมาแน่ๆ ” ตึง!!!! “เชี่ย!!!” นัทอุทานด้วยความลืมตัว คนที่อยู่บริเวณรอบๆ หันมามองโต๊ะหินด้วยความตกใจ “หินตบโต๊ะทำไม ผมตกใจหมด” “อ๋อ แมลงวันหน่ะ เมื่อกี๊มันมาตอมเลยอยากตบสั่งสอนมันหน่อย แต่นึกขึ้นได้ว่าไม่ชอบฆ่าสัตว์เลยตบโต๊ะแทน” หินพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา นัทมองหินด้วยความงุนงง เขาก็นั่งอยู่ตรงหน้า ไม่เห็นมีแมลงวันที่ไหนซะหน่อย “ช่างเถอะมีอะไรจะพูดต่อไหม” หินเอ่ยถามเสียงเรียบ...เรียบจนน่าตกใจ ซึ่งนั่นทำให้นัทรู้สึกขนลุกโดยไม่รู้ตัว “อ่าา ถึงไหนแล้วนะ...อ้อใช่แล้ว” หลังจากนัทนึกขึ้นได้จึงเอ่ยต่อ “ถ้าไม่ใช่ที่ว่ามาก่อนหน้านี้ก็แสดงว่าต้องเป็นคนที่ดีมากๆ คนหนึ่ง ทำความดีโดยไม่ได้ต้องการชื่อเสียงเงินทอง มันจะมีซักกี่คนบนโลกที่ทำแบบนี้” หลังจากได้ยินเช่นนั้นหินก็อารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย “เขาก็อาจจะเป็นคนประเภทหลังที่กล่าวมาก็ได้นะ” ใช่แล้วหินหมายถึง คนที่ดีมากๆ คนหนึ่ง นัทยักไหล่ก่อนเอ่ยด้วยความไม่ใส่ใจว่า “ก็อาจจะใช่ก็ได้ … ไม่รู้สิ ช่างมันเถอะ รีบกินข้าวแล้วรีบไปห้องสมุดดีกว่า” พูดจบนัทก็รีบรับประทานอาหารตรงหน้า . . . ผ่านไปสองชั่วโมง ที่หินกับนัทมาอยู่ที่ห้องสมุด แม้จะมีสายตาของสาวหลายคนที่มองมาที่โต๊ะพวกเขาจะทำให้หินรู้สึกเขินอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการทำความเข้าใจบทเรียนแต่อย่างใด นัทมันจะมีนิสัยกะล่อนอยู่บ้าง แต่ก็มีความรับผิดชอบสูงและพึ่งพาได้ อย่างน้อยๆ ข้อมูลเอกสารที่นัทเตรียมมาวันนี้ก็คือ ข้อมูลทุกอย่างในอาทิตย์ที่ผ่านมา ไม่ขาดตกแม้แต่เรื่องเดียว หลังจากที่ได้หลอกถาม หยั่งเชิงนัทดูหลายรอบ ทำให้หินรู้ความสามารถนัทอย่างหนึ่ง คือความสามารถในการจำ ไม่ว่าเขาจะถามอะไรไปเกี่ยวกับเรื่องที่อาจารย์สอน มันจะสามารถบอกได้ทุกอย่าง...เพียงแต่ว่ามันกลับไม่เข้าใจในเนื้อหาแม้แต่น้อย อย่างเช่น วิชาโค๊ดดิ้ง อาจารย์ให้ตัวอย่างรูปมาหนึ่งรูปก่อนที่จะให้เขียนแปลงจากรูปที่ว่าให้กลายเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ ซึ่งนั่นหมายถึง ต้องเขียนทั้งโค๊ดและคำนวณขนาดของ text ในรูป และ button ต่างๆ อันที่จริงนั่นมันเป็นตัวอย่างแบบเต็ม ที่อาจารย์ใช้สอน แต่หินเอามาหลอกถามนัทแล้วปรากฏว่ามันจำได้และสามารถเขียนออกมาได้ครบทุกตัวอักษร แต่ปรากฏว่าพอหินให้อธิบาย มันกลับไม่รู้ที่มาที่ไปและไม่สามารถอธิบายได้ หรือกระทั่งโจทย์คณิต ที่มีอยู่ข้อหนึ่งที่ต้องแสดงวิธีทำถึงสองหน้ากระดาษ A4 หินให้นัททำ มันสามารถทำได้ แต่กลับไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันมายังไง จริงๆ ตั้งแต่ชั่วโมงแรกหินก็ทำความเข้าใจเอกสารทุกอย่างที่นัทส่งมาให้หมดแล้ว ส่วนอีกสองสามชั่วโมงที่เหลือคือการสอนมากกว่า ไม่ใช่นัทสอนหินแต่กลับกลายเป็นหินสอนนัท หิน “X^3 แล้วยังไงต่อ” นัท” เขียนสามหน้า X แล้ว เอา 3 ที่ยกกำลังอยู่ ลบด้วยหนึ่ง จะกลายเป็น 3X^2” หิน” เราเรียนเรื่องอินทิเกรตอยู่นะ ไม่ใช่ดิฟ...” หิน “ข้อนี้ก็ทำแบบนี้ไง ต้องทดค่าตรงนี้แล้ว ย้ายไปตรงนี้” นัท” อ้อ เออลืม” หิน’ ’ นี่มันพื้นฐาน ม.ปลายไม่ใช่เหรอ” นัท “ก็ว่าอยู่มันคุ้นๆ ” หิน” ...” จนถึงตรงนี้หินก็ยังงงว่านัทมันเข้ามาเรียน ได้ยังไงขนาดพื้นฐาน ม.ปลาย ยังแย่ขนาดนี้ ถ้าจะเดาจนได้คะแนนผ่านทุกวิชา มันก็คงไม่มีใครดวงดีขนาดนั้น หินนึกขึ้นด้วยความสงสัย หิน “ทีนี้เข้าใจหมดแล้วใช่ไหม” นัท “แจ่มแจ้งเลยครับ ท่านอาจารย์ ศิษย์ขอคารวะ” หิน “ผมล่ะทึ่ง ที่นายมีความสามารถในการจำมากขนาดนี้ แต่ทึ่งในความรู้ที่มีอยู่ของนายมากกว่า” “ถามจริงๆ เลยนะนัท นี่ผ่านเข้ามาใน มหาลัยได้ยังไง” หินเอ่ยถามคำถามที่ค้างคาใจเขามาสักระยะหนึ่งขึ้น หินอยากรู้จริงๆ ว่านัทมันทำอีท่าไหน ถึงสอบติดได้ “เพราะความหลักแหลมและ...ฟ้าได้กำหนดให้เรามาเจอกัน ผมไม่อาจฝืนลิขิตฟ้าได้ สุดท้ายเราถึงได้มาเจอกันที่นี่” นัทเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มที่คิดว่าดูลึกลับ แต่หินกลับมองว่ามันเป็นรอยยิ้มของคนปัญญาอ่อนมากกว่า เดวิด “ดอกเตอร์ครับ เราควรผลิตวัคซีนแก้ปัญหาคนที่ป่วยเป็นโรคสมองบกพร่องดีไหมครับ?” หิน “.......”
已经是最新一章了
加载中