ตอนที่ 23 : ใครแกล้งใคร ?   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 23 : ใครแกล้งใคร ?
หลังจากออกจากห้องสมุดก็เป็นเวลาค่อนข้างเย็น นักศึกษาส่วนใหญ่ไม่กลับบ้านก็กลับหอหมดแล้ว เมื่อหินกับนัทเดินมาถึงที่จอดรถก็เหลือรถอยู่เพียงไม่กี่คันที่จอดอยู่ หิน “...” หินยืนนิ่งขณะที่มองดูนัทกำลังขยับมอเตอร์ไซค์ของตนเอง “ทำไม ไม่เคยนั่งมอเตอร์ไซค์เหรอ” นัทเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก เสมือนว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่แสนปกติที่ใครๆ เขาก็ทำกัน ‘ก็เออน่ะสิ’ หินคิดในใจเงียบๆ ในโลกเก่าของหินก็มีสิ่งประดิษฐ์ยานพาหนะที่มีลักษณะคล้ายๆ กันเพียงแต่ มันก็ไม่ใช่มอเตอร์ไซค์แบบนี้อยู่ดี ที่สำคัญแม้หินจะเคยเห็นมอเตอร์ไซค์ แต่ตั้งแต่มาอยู่มิตินี้หินไม่เคยนั่งมอเตอร์ไซค์แม้แต่ครั้งเดียว เขานั่งเพียงแค่รถยนต์เท่านั้น เพราะการนั่งติดกันบนมอเตอร์ไซค์สำหรับหิน มันจะทำให้หินรู้สึกแปลกๆ “หรือหินคิดจะปั่นจักรยานไป?” สิ้นเสียง ท่าทีของหินดูจริงจังขึ้นมา นัทจึงรีบเอ่ยขัดทันที “นัทพูดเล่นนะ หินคงไม่ได้คิดแบบนั้นจริงๆ ใช่ไหม” ‘ก็ใช่หน่ะสิ’ “ขึ้นมาเถอะ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จนัทจะพามาเอารถจักรยาน ถ้าช้าเดี๋ยวมันจะดึกซะก่อน” นัทเอ่ยเร่งหิน เพราะกว่าพวกตนจะออกจากห้องสมุดมันก็เย็นมากแล้ว กว่าจะไปถึง กว่าจะกินเสร็จอีก หากช้าไปมากกว่านี้นัทกลัวมันจะดึกเกินไป หินจึงต้องจำใจขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ “มีหมวกกันน็อคไหม?” หินเอ่ยถามขึ้น เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนเองกับนัทไม่ได้ใส่หมวกกันน็อค “ใครเขาใส่กันหมวกกันน็อค” หิน “...” ‘ดอกเตอร์ครับจากสถิติพบว่า ยานพาหนะที่ประสบอุบัติเหตุและเสียชีวิตมากที่สุด คือ ยานพาหนะ ประเภทรถจักรยานยนต์ครับ’ “อื้ม ได้ยินแล้วรู้สึกชื่นใจมากเลยเดวิด” หินเอ่ยประชดขึ้นเบาๆ มันใช่เรื่องมั้ยที่จะบอกเรื่องนี้ตอนนี้ “หินว่าอะไรนะ” นัทถามขึ้นเมื่อตัวเองได้ยินเสียงแว่วๆ “ไม่มีอะไรๆ ไปเถอะเดี๋ยวมันจะดึกซะก่อน” “เราอยู่ปีหนึ่ง ประกันสุขภาพของมหาลัย ถ้าไม่ใช้บ้าง...เสียใจแย่” นัทพูดขึ้นมาขำๆ ‘ไปใช้คนเดียวเถอะไอ้หนู’ หินอดกลอกตาเบาๆ ไม่ได้ คนบ้าอะไรอยากใช้ประกันสุขภาพ “นั่งดีๆ นะ” พูดจบนัทก็ขับรถมอเตอร์ไซค์ออกไป ระยะห่างจากมหาลัยไปถึงห้างสรรพสินค้าไม่ได้ไกลมากนัก ใช้เวลาเพียงแค่ 10 -15 นาทีเท่านั้น นัทก็พาหินขับมาถึง หินคิดถูกที่ไม่ได้ปั่นจักรยานมา เพราะไม่อย่างนั้น ถึงจะปั่นเป็นชั่วโมงก็ยังคงไม่ถึง มันก็เป็นความรู้สึกที่ไม่เลวนักสำหรับการนั่งมอเตอร์ไซค์ครั้งแรกของหิน แต่มันเลวร้ายมากต่างหาก ลมที่พัดตีหน้า บางทีก็มีแมลงบินมาชน ฝุ่นเข้าตา แถมไอตอนที่จอดไฟแดงนั่นอีก แค่จอดเฉยๆ แล้วโดนคนมองหินก็ว่ามันก็เขินมากอยู่แล้ว เพราะตนเองก็ไม่ได้ใส่หมวกกันน็อคด้วย แต่เพราะหน้าตาที่หล่อโดดเด่นเกินไปของไอ้นัท คนยิ่งมองเข้าไปใหญ่ โดยเฉพาะตอนที่ ขับตามหลังรถกระบะที่มีคนนั่งท้าย มันเหมือนมีคนจ้องมาที่ตนเองตลอดเวลา ความรู้สึกของหินไม่รู้ว่าจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดยังไง หินสัญญากับตัวเองว่ามันจะไม่มีครั้งที่สองอย่างแน่นอน ขณะที่นั่งซ้อนท้าย หินลองถามนัทมันว่าไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอโดนคนมองขนาดนี้ มันกลับตอบมาว่า “ชินแล้ว คนหน้าตาดีไปไหนก็มีแต่คนมองแบบนี้แหละ” หิน “...” หลังจากมาถึงห้างสรรพสินค้าแล้ว นัทไม่ได้เข้าไปจอดรถในตึก แต่กลับจอดอยู่นอกห้างแทน โดยนัทให้เหตุผลว่า ขี้เกียจรับบัตรมันเสียเวลา หินจึงไม่มีความจำเป็นต้องห่วง เพราะมันก็ไม่ใช่รถของหินอยู่แล้ว ถ้าหากรถจะโดนขโมย ก็...ช่างมันละกัน “เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะหิน ถือว่ามาขับรถชมวิว” นัทเอ่ยแกมยิ้ม . . . ย้อนกลับไปเมื่อ ครึ่งชั่วโมงก่อน “อยากกินอะไร” หินเอ่ยถามนัท “มีงบเท่าไหร่หล่ะ” นัทถามกลับไปแทน เพราะหินจะเลี้ยงครั้งแรกทั้งที ก็ต้องกินอะไรที่มันดีๆ หน่อย แต่นัทก็ไม่อยากสร้างความลำบากให้หินมากเกินไป จึงถามเพื่อจะได้รู้ขอบเขตที่หินสามารถจ่ายไหว หินนึกสักครู่จึงตอบกลับไป “ก็หลายหมื่นล้านอยู่นะ” หินไม่ได้โกหกแม้แต่น้อย อันที่จริงถ้ารวมยอดขายล่าสุดของ Andria OS หินก็มีเงินในบัญชีมากถึง 2 แสนล้านบาทอยู่ดี ถึงแม้จะหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่หินจ่ายออกไปในช่วงที่ผ่านมา รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการสร้างตึกมูลค่า 1.2 แสนล้านบาท “ฮ่าๆๆ แหมๆๆ จะโม้ก็ให้มันน้อยๆ หน่อยนะหิน” นัทปล่อยขำออกมาและไม่เชื่อหินแม้แต่น้อย นัทคิดว่ามันเป็นมุกที่หินปล่อยออกมาด้วยซ้ำ หิน “...” “เอาดีๆ มีงบเท่าไหร่” นัทถามขึ้นอีกครั้ง “ก็บอกว่ามีหลายหมื่นล้าน” หินเอ่ยตอบอีกครั้ง หินเข้าใจว่าอยู่ดีๆ การบอกว่าตนเองมีเงินจำนวนมหาศาลขนาดนั้น ใครมันจะเชื่อแถมยังเป็นแค่นักศึกษาคนหนึ่งเท่านั้น แต่เขาไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายให้ใครฟัง ที่สำคัญมันจะเป็นการสร้างความวุ่นวายซะเปล่าๆ “ได้ ในเมื่อพูดแบบนี้ ….จะโทษนัทไม่ได้นะหิน นัทถามหินแล้วนะ” นัทเอ่ยขึ้นเหมือนมีแผนการบางอย่างในใจและดูเหมือนมันไม่ใช่แผนการที่ดีซักเท่าไหร่นัก และนั่นก็เป็นเหตุผลให้ หินมาอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดังในตอนนี้ “เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะหิน ถือว่ามาขับรถชมวิว” นัทเอ่ยแกมยิ้ม หินหัวเราะขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “จะกินร้านไหน เดินนำไปสิ” หินเอ่ยขึ้น นัทเลิกคิ้วขึ้น มองหินเหมือนมองตัวประหลาด นี่เขากะจะแกล้งหินมันเล่นเฉยๆ ไม่คิดว่าหินจะเอาจริงเอาจังขนาดนี้ นัทพยักหน้าให้กับตัวเองก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “ได้ งั้นตามนัทมา” ว่าแล้วนัทก็เดินนำหน้าหินเข้าไปในห้าง จากนั้นหินจึงเดินตามนัทไป เนื่องจากเป็นช่วงเวลาหลังเลิกงาน ห้างสรรพสินค้าจึงเต็มไปด้วยผู้คนที่เดินไปมากันอย่างพลุกพล่าน ร้านอาหารหลายร้านต่างถูกจับจองไปด้วยผู้คนที่เข้ามาใช้บริการ ใช้เวลาไม่นานนัก นัทก็พาหินมาถึงร้านอาหารร้านหนึ่ง เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่ดูค่อนข้างหรู แต่คนกลับไม่ได้มีลูกค้ามากมายเหมือนร้านอื่น นัทยืนชั่งใจอยู่ชั่วครู่ ว่าตนคิดถูกหรือไม่ที่พาเพื่อนมาร้านนี้ ก่อนที่จะหันกลับไปมองหิน แต่หินกลับเลือกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามว่า ‘ร้านนี้เหรอ?’ นัทรู้สึกหมั่นไส้หินขึ้นมานิดๆ จึงเดินเข้าไปในร้านโดยไม่ลังเล . . . “หินกลับกันเถอะ” นัทเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหดหู่ นัทก็เคยได้ยินมาบ้างว่าในห้างสรรพสินค้า มีร้านอาหารชื่อดังร้านหนึ่ง เพียงแต่รู้แค่ว่ามันดังมาก แต่เขาไม่รู้ว่าราคามันเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ แค่เห็นราคาในเมนู นัทแทบอยากวิ่งออกจากร้านทันที ความมั่นใจทั้งหมดเมื่อสักครู่สลายหายไปกลางอากาศ “ทำไม” หินเอ่ยถามขึ้น แม้ในใจจะขำกับท่าทางหดหู่ของนัท แต่ภายนอกของหินก็ยังคงแสดงท่าทางเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นัทไม่ได้กลัวแค่ว่าหินจะจ่ายไม่ไหว แต่เขากลัวว่าตัวเขาเองก็จะจ่ายไม่ไหวเหมือนกัน เพราะในเมนู อาหารที่ราคาถูกที่สุดคือหลักพัน แม้กระทั่งเครื่องดื่มก็ปาเข้าไปหลักร้อย แค่นี้ก็ทำให้นัทรู้สึกอิ่มขึ้นมาทันที “นัทเปลี่ยนใจละ พอดีอยากกินผัดกระเพราไก่ไข่ดาวแทน เราย้ายร้านกันเถอะ” นัทยืนขึ้นพลางเอ่ยเหมือนว่าตนเองต้องการแบบนั้นจริงๆ “เหรอ?” หินเลิกคิ้วขึ้นพลางเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าหินไม่ได้มีท่าทีจะลุกไปแม้แต่น้อย ในที่สุดนัทจึงเอ่ยขึ้นมา “โอเค นัทยอมแล้ว เราย้ายร้านกันเถอะ ตอนแรกนัทกะจะแกล้งหินเล่นๆ เฉยๆ เพราะหมั่นไส้ แต่ว่าอันนี้มันออกจะเกินไป เราจ่ายไม่ไหวหรอก เราย้ายร้านกันเถอะ” นัทเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกผิด ขนาดเขาอยู่กับพ่อแม่ยังไม่เคยเข้าร้านอาหารร้านไหนที่ราคาแพงขนาดนี้มาก่อนเลย แล้วนี่กับเพื่อน จะไปหาเงินจากไหนมาจ่าย เผลอๆ เอาเงินเดือนที่ได้มาทั้งหมดมาจ่ายอาจจะไม่พอด้วยซ้ำ “นั่งลง ผมบอกแล้วนี่ว่าผมเลี้ยง” หินเอ่ยเสียงเรียบ “แต่ว่า...” “นั่งลง” หินเอ่ยขึ้นอีกครั้ง พลางหยิบเมนูขึ้นมาดู นัทยืนเงียบอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ในที่สุดจึงยอมนั่งลง หินจึงได้เอ่ยเรียกพนักงานมารับออเดอร์ “จะกินอะไรสั่งสิ” หินเอ่ยบอกนัท นัทอ่านเมนูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพบ เมนูที่ตนเองต้องการ ไม่ใช่ว่า เขาอยากกินแต่ มันเป็นราคาที่ถูกที่สุดต่างหาก “เอา ข้าวห่อสาหร่ายรวมมิตรที่หนึ่งครับ” หินรู้ว่านัทกำลังคิดอะไรอยู่ จึงยิ้มพลางส่ายหน้าให้กลับท่าทีของนัท “ผมเอา ชุดปลาดิบอย่างเซตพิเศษ ปูทาราบะนึ่ง มัตสึซากะย่างซีอิ้ว และก็ซุปนากามิจีรุ” หลังจากได้ยินชื่อเมนูที่หินเอ่ยขึ้นมา นัทถึงกับอ้าปากค้าง แม้นัทจะไม่ได้ดูเมนูอย่างละเอียดนัก แต่ค่อนข้างมั่นใจว่ามันเป็นเมนูที่มีราคาแพงมาก อย่าว่าแต่นัทแม้แต่พนักงานที่มารับออเดอร์ก็ยังคงอึ้งไม่น้อย เพราะแน่ใจด้วยซ้ำว่านักศึกษาสองคนตรงหน้าจะมีปัญญาจ่ายไหวมั้ย เพราะสามในสี่เมนูที่หินสั่งนั้น คือเมนูที่ราคาแพงที่สุด 1 2 และ 3 ตามลำดับ แต่ถึงยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ตนเองต้องเป็นห่วงแม้แต่น้อย เพราะตนเองมีหน้าที่แค่บริการลูกค้าเท่านั้น หลังจากรับเมนูจากหิน พนักงานจึงเดินจากไป “หิน หินบ้าไปแล้วเหรอ นั่นมันโคตรแพงเลยนะ” หลังจากพนักงานเดินจากไป นัทจึงเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทีตกใจ “ผมบอกว่าผมเป็นคนจ่ายไงนัท ทำไมคุณโวยวายเหมือนคุณเป็นคนจ่ายซะเอง” ‘ประเด็นก็คือฉันกลัวว่าเราจะไม่มีปัญญาจ่ายน่ะสิ!!’ นัทนึกขึ้นในใจ แต่ท้ายที่สุดนัทก็ได้แต่ทำใจ จะว่าใครก็ไม่ได้เพราะตนเองเป็นคนพาหินเข้ามาในร้านนี้ หลังจากนั้นไม่นานนักพนักงานก็นำอาหารมาเสิร์ฟ ซึ่งอาหารแต่ละอย่างนัทพอจะได้ยินชื่อมาบ้าง แต่พอได้มาเห็นของจริงเกือบจะทำให้เขาน้ำลายหก ส่วนหินตั้งแต่มาที่โลกนี้เขาไม่เคยรับประทานอาหารญี่ปุ่นแม้แต่น้อย จึงอดมองด้วยความสนใจไม่ได้ ‘ช่างแม่ง จ่ายยังไงค่อยว่าอีกที ขอกินก่อนละกัน’ ขณะที่นัทกำลังนึกในใจนั้น หินก็หยิบเอาข้าวห่อสาหร่ายมาวางไว้ตรงหน้านัท “นี่ไงที่นายสั่ง ที่เหลือของผม” นัทเอ่ยขึ้น นัท “...” นัทอ้าปากพะงาบๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ซึ่งท่าทีของนัทดูตลกไม่น้อย “หึๆๆ ผมพูดเล่น” หินเอ่ยแกมยิ้มไม่ยิ้ม หลังจากนั้นทั้งคู่จึงจัดการอาหารตรงหน้า . . . “โอ้ สุดยอด อาหารราคาแพงพวกนี้มันอร่อยสมราคาจริงๆ ” นัทเอ่ยขึ้นหลังจากกินอาหารจานสุดท้ายหมด ตอนแรกเขาค่อนข้างกังวลกับราคาของมัน แต่ในขณะที่เขากำลังเพลิดเพลินกับอาหาร เขากลับลืมความวิตกกังวลนี้หมด จนกระทั่งนัทอิ่มจึงเริ่มนึกได้อีกครั้ง หินไม่ได้เอ่ยอะไร แต่กลับหันไปเรียกพนักงานมาคิดเงิน “ทั้งหมด 22,745 บาท ค่ะ” พนักงานสาวเอ่ยขึ้นพลางยื่นบิลมาให้หิน หินรับบิลมาก่อนที่จะส่งไปให้นัท “อ่ะนัท ทั้งหมด 22,745 บาท จ่ายด้วย” หินบอกให้นัทรับผิดชอบค่าใช้จ่ายตรงหน้า นัทมองมาที่หินด้วยท่าทางอ้ำอึ้งสุดๆ เหมือนไม่เชื่อว่าหินจะพูดประโยคนี้ออกมา ‘จะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย สองหมื่นนะเห้ย ไม่ใช่สองร้อย’ นัทมองไปที่หินด้วยท่าทีเหม่อลอยประหนึ่งคนที่วิญญาณได้ออกจากร่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ครั้งนี้หินเกือบจะเก็บอาการขำไว้ไม่อยู่ “แค่ล้อเล่นเอง ทำจริงจังไปได้” หินเอ่ยขึ้นพลางหยิบบัตรเครดิตขึ้นมาให้พนักงาน เพราะหินขี้เกียจพกเงินสดเป็นจำนวนมากจึงได้ทำบัตรเครดิตที่วงเงินสูงสุดเอาไว้ “หิน คุณแกล้งผมนี่!!!” นัทเอ่ยขึ้นด้วยความไม่สบอารมณ์ ตอนแรกกะจะแกล้งเขา แต่สุดท้ายกลับเป็นฝ่ายโดนแกล้งซะเอง “หึๆ ” หินไม่ได้เอ่ยอะไรขึ้นแม้แต่น้อยกลับหัวเราะในลำคอขึ้นมาเบาๆ ไม่นานนักพนักงานก็เอาใบเสร็จมาให้เซ็น ก่อนที่หินจะรับมาเซ็นแล้วพากันออกจากร้าน “กลับไปก่อนเลยนะ เดี๋ยวผมจะกลับเอง” หินเอ่ยขึ้น แต่กลับคิดในใจอีกอย่าง ‘กลับไปคนเดียวเถอะ ฉันไม่อยากเอาชีวิตนักวิทยาศาสตร์ที่แสนฉลาดมาเสี่ยงชีวิต’ “ทำไมหล่ะหรือว่าหินจะเดินห้าง เดี๋ยวนัทเดินเป็นเพื่อนก็ได้นะ ไม่ได้รีบอยู่แล้ว” นัทเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าหินบอกว่าจะไม่กลับพร้อมตน ‘กลับไปเถอะไอนัท ได้โปรด ฉันยังอยากมีชีวิตที่ยืนยาวกว่านี้’ หินไม่อยากทำร้ายน้ำใจของนัทจึงเอ่ยขึ้นมา “หินมีธุระต้องทำอีก อีกสักพักเลยกว่าจะกลับ คุณนั่งมอเตอร์ไซค์มันอันตรายถ้ากลับดึก ตอนนี้ก็เกือบค่ำแล้วคุณรีบกลับไปเถอะ” นัททำท่าทางเหมือนจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่หินกลับยิ้มขึ้นมาเบาๆ แต่รอยยิ้มนี้กลับไม่ได้ทำให้นัทรู้สึกดีแม้แต่น้อย นัทกลับรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา เขามีลางสังหรณ์ว่าหากยังเอ่ยอะไรออกไปอีกเขาอาจจะประสบเหตุการณ์ที่เลวร้ายก็เป็นได้ เมื่อหินเห็นนัทเข้าใจความต้องการของตนแล้วจึงหันหลังกลับ หินกะจะเดินเข้าไปในห้างอีกครั้ง “หิน นัทขอบใจมากสำหรับวันนี้” นัทเอ่ยขึ้น ไม่ใช่เพียงเพราะเรื่องอาหารที่หินเลี้ยงตนเองเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเนื้อหาการเรียนที่หินช่วยสอนให้ตนเอง แม้นัทจะเป็นคนที่ความจำดีแต่ก็ไม่ได้ฉลาดมากเท่าไหร่นัก แต่ถึงยังไงพอเข้ามหาลัยนัทกลับพยายามตั้งใจเรียนเต็มที่ แต่บางทีเขากลับไม่เข้าใจในสิ่งที่อาจารย์สอนแม้แต่น้อย บางครั้งอยากจะยกมือขึ้นถามแต่เขากลับอายซะอย่างนั้น จนในที่สุด หินกลับช่วยเขาในเรื่องนี้ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่นัทอยากขอบใจมากกว่าเรื่องอาหารที่หินเลี้ยงซะอีก หลังจากที่นัทเอ่ยจบ หินชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มที่มีไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่หินจะแสดงออกมาและมันเป็นรอยยิ้มที่บริสุทธิ์ใจอย่างถึงที่สุด แต่เสียดายที่นัทไม่ได้มีโอกาสได้เห็น “อืม” หินเอ่ยเบาๆ ก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในห้าง
已经是最新一章了
加载中