ตอนที่ 25 : พ่อเลี้ยงไตรภพ ( 2 )   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 25 : พ่อเลี้ยงไตรภพ ( 2 )
หลังจากที่ได้ตกลงกันอย่างเรียบร้อย กาญสุดาได้นัดหินอีกที ที่สำนักงานที่ดินเพื่อทำการทำการซื้อขายที่ดินอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เช้าวันถัดมาหินไม่มีเรียน จึงได้ไปยังสำนักงานที่ดินตั้งแต่เช้า ตอนแรกหินคิดว่าตนเองมาเช้าแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าเมื่อหินมาถึงก็พบกาญสุดาอยู่ก่อนแล้ว “สวัสดีค่ะคุณหิน” กาญสุดาเอ่ยทักเมื่อพบหิน “สวัสดีครับ คุณกาญสุดา ไม่คิดว่าคุณจะมาเช้าขนาดนี้” หินสวมใส่ชุดสุภาพ เสื้อเชิ้ตสีกรมท่าแขนยาวพับแขน กางเกงสแล็คสีดำ รองเท้าหนังสีน้ำตาลเข้ม ทำให้หินดูสุขุมขึ้น จริงๆ ชุดที่สวมวันนี้หินไม่ได้เลือกเอง เนื่องจากต้องมาทำการซื้อขายที่ดินในสถานที่ราชการ หินจึงให้เดวิดช่วยเลือกชุดที่สุภาพและดูเป็นทางการเล็กน้อย และแน่นอนระบบ AI อัจฉริยะ แค่การเลือกชุดที่เข้ากับหินเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับเดวิด หินอาจจะไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย ว่าวันนี้เขาดูดีขึ้นกว่าเมื่อวานที่อยู่ในชุดนักศึกษามาก แม้กระทั่งกาญสุดายังมองหินด้วยสายตาชื่นชม “ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณหินก่อนที่เราจะตกลงกันเข้าไปเซ็นสัญญาข้างใน ฉันเลยมารอคุณหินก่อน” “เรื่องอะไรเหรอครับ?” หินถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ จริงๆ แล้วหินคิดว่าเมื่อวานพวกเขาตกลงกันเสร็จหมดแล้วซะอีก “คือฉันเห็นว่าคุณตกลงยอมรับเงื่อนไขโดยที่ไม่แม้แต่จะคิด เมื่อวานฉันเลยกลับไปคิดว่าอย่างน้อยๆ ฉันก็ควรจะตอบแทนเรื่องนี้” “อ๋อ” หินรับคำทีหนึ่ง “คุณหินอาจจะทราบอยู่แล้วว่ายิ่งซื้อขายที่ดินที่มีมูลค่ามากเท่าไหร่ จะโดนภาษีมากเท่านั้น ฉันเลยตัดสินใจว่าจะทำสัญญาสองฉบับ ฉบับแรกคือสัญญาหลอกที่ใส่ราคาถูกกว่าความเป็นจริง ส่วนอีกฉบับเป็นสัญญาที่ตกลงซื้อขายกันตามราคาจริง อย่างน้อย มันจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายคุณอีกด้วย” หนึ่งในเหตุผลที่กาญสุดาจำเป็นต้องขายเนื่องจาก จำเป็นต้องจ่ายค่าภาษีที่ดินทุกปีและมันก็ไม่ใช่จำนวนเงินน้อยๆ ยิ่งต้องแบกรับค่าใช้จ่ายอย่างอื่นภายในไร่อีก ‘การทำสัญญาหลอกกับสัญญาจริงนิยมกันเป็นอย่างมากครับดอกเตอร์ สัญญาหลอกคือ สัญญาที่เราใช้สำหรับแสดงให้ทางการดู ซึ่งจะใส่ราคาที่ถูกกว่าความเป็นจริงอย่างมากเพื่อลดภาษีที่จะต้องจ่ายลง ส่วนสัญญาจริงคือสัญญาที่ผู้ซื้อและผู้ขายได้เขียนราคาที่แท้จริงไว้ ในความเป็นจริงเรื่องแบบนี้ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมายแต่ก็ยังคงนิยมทำกันอยู่ดีในแวดวงธุรกิจ’ เดวิดเอ่ยอธิบายขึ้น หินยิ้มให้กาญสุดาเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้นมา “ผมขอบคุณน้ำใจของคุณกาญสุดามากครับ แต่คุณกาญสุดาไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ เรื่องเงินจะเป็นเรื่องสุดท้ายที่จะทำให้ผมเป็นกังวลได้ และผมก็ไม่อยากให้มีปัญหาเรื่องนี้ทีหลังอีกด้วย” กาญสุดาค่อนข้างประหลาดใจอยู่บ้าง ปกติการทำสัญญาหลอก ฝ่ายคนซื้อจะเป็นคนออกปากขอฝ่ายคนขาย ตอนแรกเธอคิดว่าถ้าเธอเอ่ยออกไปออกไปหินคงรับมันด้วยความยินดี แต่หินกลับปฏิเสธซะงั้น “แต่มันจะช่วยคุณแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายได้มากเลยนะคะ คุณแน่ใจนะคะว่าจะปฏิเสธข้อเสนอฉัน” กาญสุดาเอ่ยถามอีกครั้ง “ผมขอบคุณ คุณกาญสุดามาก แต่ผมขอปฏิเสธเช่นเดิมครับ” จากนั้นทั้งคู่จึงได้เข้าไปทำสัญญาในสำนักงานที่ดิน ซึ่งใช้เวลาทั้งวันจึงเป็นอันเสร็จสิ้น ในที่สุดไร่ฟาร์มที่มีขนาดพื้นที่มากถึง 1500 ไร่ ก็เป็นของหินอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หลังจากนั้นกาญสุดาและหินได้กลับไปยังไร่ฟาร์ม เพื่อที่จะได้ประกาศเรื่องเจ้าของไร่ฟาร์มคนใหม่อย่างเป็นทางการ . . . “แม่ ผลการเรียนหนูออกมาแล้วนะ” หญิงสาวในชุดนักเรียนที่ดูเก่าเอ่ยขึ้นกับมารดาของตนเองด้วยรอยยิ้ม ตั้งแต่เธอได้รับผลการเรียนมาเธอก็อารมณ์ดีตลอดทั้งวัน จนกระทั่งเธอกลับมาถึงบ้านเธอจึงได้เอาผลการเรียนมาให้มารดาของตนเองดู ในตอนนี้เธอพึ่งเรียนจบชั้นมัธยม 4 และเธอพึ่งจะได้รับผลการเรียนของเธอจากทางโรงเรียน ผลการเรียนของเธอคือ เกรด 4 ทุกวิชา และเธอเรียนได้เป็นอันดับหนึ่งของห้อง เธอต้องเรียนในโรงเรียนรัฐบาลที่ไม่ต้องจ่ายค่าเทอม แต่ถึงยังไง ด้วยฐานะที่ยากจน แค่ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับชุดนักเรียน อุปกรณ์การเรียน และค่าใช้จ่ายยิบย่อยต่างๆ ก็ทำให้ครอบครัวเธอลำบากเป็นอย่างมาก ครอบครัวของเธอเพียงคนงานที่ทำไร่ทำสวนในไร่ฟาร์มบุญมี ซึ่งหลังจากที่พ่อเลี้ยงคนเก่าของไร่ได้เสียชีวิตลง คุณหญิงกาญสุดาลูกสาวเธอก็ได้มารับช่วงต่อ แต่เนื่องจากรายจ่ายต้องเสียไปมากกว่ารายรับที่ได้เข้ามา ทำให้คุณหญิงกาญสุดาต้องการขายไร่ฟาร์มออกไป คนงานทุกคนรู้เรื่องนี้ดี เนื่องจากเธอได้ทำการแจ้งให้ทุกคนทราบก่อนแล้ว คนงานในไร่ไม่สามารถปฏิเสธหรือออกเสียงใดๆ ได้เนื่องจากเป็นเพียงแค่กลุ่มคนที่มาขออาศัยไร่ฟาร์มบุญมีอยู่ แค่นี้ก็เป็นบุญคุณแก่ตนมากมายอยู่แล้ว ท้ายที่สุดเจ้าของไร่ฟาร์มคนใหม่จะเป็นคนดีหรือไม่ดีพวกตนก็ได้แต่ยอมรับชะตากรรม ไม่เช่นนั้นพวกตนก็ต้องออกไปจากพื้นที่ที่ใช้ทำมาหากินมามากกว่าหลายสิบปี แม่ของหญิงสาว รับผลการเรียนที่ลูกสาวตนเองยื่นให้มาดูอย่างขมขื่น ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกผิดอย่างถึงที่สุด “ดาว แม่ขอโทษนะลูก แต่แม่ไม่สามารถส่งลูกเรียนต่อได้อีกแล้ว ลูกช่วยลาออกจากโรงเรียน มาช่วยแม่ทำงานได้ไหม” “แม่ขอโทษนะลูกนะ ครอบครัวเรามันจน แม่ต้องมาทำให้ลูกลำบากไปด..” ยังไม่ทันที่แม่ของตนเองจะเอ่ยจบ ดาวก็เอ่ยขัดขึ้นมา “ดาวจะลาออกค่ะแม่ จริงๆ ดาวก็ไม่ชอบเรียนเท่าไหร่ มันเหนื่อยและปวดหัว ดาวว่าออกมาช่วยแม่ทำงานดีกว่า สนุกกว่าจะตาย” ดาวเอ่ยออกไปด้วยรอยยิ้ม หญิงสาวตรงหน้าของดาวผิวกายเต็มไปด้วยความหยาบกร้านที่ผ่านการทำงานอย่างหนักท่ามกลางลมแดดลมฝนมานานหลายปี ดาวรู้ว่าแม่ของตนเองลำบากเพื่อนตนเองมามาก และเธอรู้ว่ากว่าแม่ของตนเองจะยอมเอ่ยปากเพื่อพูดประโยคเมื่อครู่ต้องใช้ความพยายามมากมายเท่าไหร่ แล้วตนเองจะปฏิเสธได้ยังไง? “เดี๋ยวดาวไปเตรียมข้าวเย็นให้นะคะแม่” ดาวเอ่ยขึ้นก่อนจะรีบหันหลังเดินออกไป ทันทีที่ดาวหันหลังจากไปน้ำตาของเธอมันก็ไหลรินออกมาด้วยความรู้สึกเสียใจอย่างถึงที่สุด แม้เธอจะเคยคิดมาก่อนว่าเหตุการณ์ในวันนี้จะมาถึงและได้เตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว แต่เธอกลับนึกไม่ถึงว่ามันจะมาถึงเร็วขนาดนี้ ดาวไม่ใช่คนเดียวในห้องที่รู้สึกเสียใจ แม่ของดาวก็เสียใจไม่แพ้กัน เธอรู้ว่าสิ่งที่ลูกสาวเธอพูดเมื่อครู่คือคำโกหก แต่เธอกลับไม่สามารถเอ่ยอะไรออกไปได้ ได้แต่ยอมรับมัน ลูกสาวของตนเองพยายามอย่างหนักในการเรียน เพื่อหวังว่าความรู้ที่ได้รับมาจะช่วยให้ครอบครัวมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เธอเองก็ทราบดี แต่ในตอนนี้เธอเองกลับไม่สามารถช่วยลูกสาวของตนเองได้ เธอเองก็รู้สึกเจ็บปวดในไม่แพ้กัน เธอช่างเป็นแม่ที่ไม่เอาไหนเสียจริงๆ “แม่ขอโทษนะดาว แม่ขอโทษจริงๆ ” เธอเอ่ยพึมพำขึ้นมาด้วยความเสียใจอย่างถึงที่สุด . . . เมื่อมาถึงไร่ กาญสุดาได้ให้คนงานไปแจ้งเพื่อให้ทุกคนภายในไร่มารวมกันหน้าบ้านพักเนื่องจากมีเรื่องจะแจ้งให้ทราบ ระหว่างนั้นกาญสุดาจึงได้พูดคุยกับหิน “จริงๆ ฉันยังคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องโกหกเท่านั้น” กาญสุดาเอ่ยขึ้นมา “หมายถึงอะไรเหรอครับ” หินถามกลับอย่างงุนงง “ตอนแรกที่ฉันเจอคุณ คุณยังดูเด็กและดูไม่น่าเชื่อถือแม้แต่น้อย ฉันไม่คิดว่าคุณจะซื้อไร่ฟาร์มไปจริงๆ ” หินไม่ได้เอ่ยตอบอะไรออกไปเพียงแค่ยิ้มขึ้นเบาๆ เท่านั้น “จริงๆ จนถึงตอนนี้ฉันยังมองคุณไม่ออกจริงๆ คุณหินว่าตกลงคุณเป็นคนยังไงกันแน่” กาญสุดาเอ่ยขึ้นมา ไม่ทราบว่าเธอเอ่ยบอกหินหรือบอกตัวเองกันแน่ กาญสุดาละสายตาจากหิน ทอดสายตามองทิวทัศน์เบื้องหน้า ก่อนเอ่ยขึ้นมา “ตั้งแต่เล็กจนโตฉันเติบโตขึ้นมากับมัน ไร่ฟาร์มแห่งนี้มีความหมายต่อฉันจริงๆ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งฉันต้องขายมันออกไป” เธอถอนหายใจออกมาก่อนจะเอ่ยต่อ “ถึงแม้ตอนนี้ฉันจะไม่มีสิทธิใดๆ ในไร่อีก แต่ฉันก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณจะไม่ใจร้ายกับคนงานในไร่มากเกินไป” แม้กาญสุดารู้ว่านี่ไม่ใช่ไร่ฟาร์มของตนเองอีกต่อไป ถึงแม้มันจะเป็นคำขอที่ดูเห็นแก่ตัวไปบ้าง แต่เธอก็ยังเอ่ยมันออกไปอยู่ดี “คุณไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมไม่เคยปล่อยให้คนของผมลำบาก ผมสัญญา” หินเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ไม่นานนักคนงานทั้งหมดในไร่ก็ได้มารวมกันหน้าบ้านพัก ซึ่งคนงานส่วนใหญ่ต่างก็ทราบกันหมดแล้วว่าการมารวมตัวกันครั้งนี้เพื่อที่จะได้ประกาศตัวเจ้าของไร่ฟาร์มคนใหม่ “สวัสดีทุกคน ที่ฉันเรียกทุกคนมารวมตัวกันที่นี่เพราะมีเรื่องจะประกาศ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปฉันไม่ใช่เจ้าของไร่ฟาร์มนี้อีกต่อไป นี่คือคุณหินและเขาคือเจ้าของไร่ฟาร์มคนใหม่ ฉันหวังเป็นอย่างมากว่าทุกคนจะให้ความเคารพเขาเหมือนกับที่ให้ความเคารพฉัน” กาญสุดาหันหน้าไปสบตากับหินก่อนที่จะพยักหน้าให้เบาๆ หินมองไปรอบๆ ก่อนจะเห็นว่า คนงานในไร่มีประมาณเกือบ 200 คนและมีทุกเพศทุกวัยตั้งแต่เด็กจนคนชรา “สวัสดีทุกคน ผมชื่อหิน ต่อจากนี้ไปผมก็คือเจ้าของไร่คนใหม่ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเราจะเข้ากันได้อย่างดี แต่ก่อนอื่นผมมีอยู่ 3 เรื่องจะแจ้งให้ทุกคนทราบ” กาญสุดาขมวดคิ้วด้วยความสนใจเล็กน้อย เพราะสามเรื่องที่หินกำลังจะกล่าว หินไม่ได้บอกกับเธอก่อนแม้แต่น้อย “เรื่องแรก ทุกคนที่ทำงานให้กับผม จะได้รับเงินเดือนและสวัสดิการอย่างดี” แค่เพียงข้อแรกที่หินเอ่ยขึ้นมาก็ทำให้เกิดเสียงดังเซ็งแซ่ไปหมด “คุณหินพูดจริงเหรอคะ?” กาญสุดาเอ่ยถามอย่างเหลือเชื่อ เพราะปกติคนงานจะได้รับรายได้ตามผลผลิตในช่วงนั้นๆ ทำให้ได้รับรายได้ที่ไม่ชัดเจนนัก แต่ส่วนใหญ่จะได้รับแค่เพียงเล็กน้อยหรือไม่บางครั้งก็ไม่ได้รับเลย ถ้าหากผลผลิตไม่ดีจริงๆ ดังนั้นสิ่งที่หินเอ่ยออกมาจึงดูน่าเหลือเชื่ออยู่บ้าง “ผมพูดจริงครับ เงินเดือนขั้นต่ำที่ทุกคนจะได้รับขั้นต่ำคือ 15,000 บาท ต่อเดือน และจะเพิ่มขึ้นให้ 5 % ในทุกๆ ปี ถ้าหากพวกคุณยังทำงานให้กับผม นี่ยังไม่นับรวมโบนัสต่างๆ และถ้าหากพวกคุณเจ็บไข้ได้ป่วย ยังสามารถเบิกจ่ายค่ารักษาได้เต็มจำนวนอีกด้วย” “พวกคุณอาจจะไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด แต่ในวัน พรุ่งนี้จะมีสัญญาอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร แน่นอนถ้าหากคุณไม่ต้องการจะอยู่ที่นี่ต่อ ผมจะให้เงินคุณก้อนหนึ่งสำหรับตั้งตัวและคุณสามารถออกไปจากที่นี่ได้ทันที” “ข้อที่สอง ลูกหลานของพวกคุณ จะได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด เท่าที่พวกเขาจะสามารถเล่าเรียนได้” ทันทีที่หินเอ่ยจบ ก็ได้มีคนงานชายคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นมา “คุณหินหมายความว่ายังไงครับ?” “ผมหมายความว่าถ้าหากลูกหลานของพวกคุณมีความสามารถที่จะเรียนสูงได้มากขนาดไหน ผมก็สามารถส่งได้ โดยนี่เป็นจำนวนเงินที่พวกคุณไม่ต้องคืนกลับให้ผม ถ้าหากลูกหลานของคุณสามารถเรียนได้จนถึงปริญญาเอก ผมก็สามารถส่งได้ถึงปริญญาเอก” ทันทีที่หินเอ่ยอธิบายจบมีหลายคนที่รู้สึกยินดีและดีใจเป็นอย่างมาก นั่นรวมไปถึง ดาว เด็กสาวที่คิดว่าตนเองจะไม่มีโอกาสได้รับการศึกษาอีกต่อไป เสียงนี้เป็นเหมือนดั่งเสียงสวรรค์สำหรับเธอ ก่อนหน้านี้ที่เธอได้เสียน้ำตาด้วยความเศร้าเสียใจ แต่ในตอนนี้เม็ดน้ำตาที่หลั่งไหลออกมากลับเต็มไปด้วยความปีติยินดีเป็นที่สุด เธอจึงมองไปยังเจ้าของไร่ฟาร์มคนใหม่ด้วยความรู้สึกขอบคุณเป็นที่สุด เธอสัญญากับตัวเองว่าถ้าหากเธอได้รับโอกาสเช่นนี้จริงๆ เธอจะตอบแทนบุญคุณหินในครั้งนี้อย่างแน่นอน ตอนแรกมีหลายครอบครัวที่คิดจะออกจากไร่ฟาร์มแห่งนี้ตั้งแต่ได้ยินว่าหินจะให้เงินไปตั้งตัวจำนวนหนึ่ง แต่หลังจากได้ยินว่า หินจะส่งเสียเลี้ยงดูบุตรหลานของตนเองให้ได้รับการศึกษาที่ดี จึงพากันเปลี่ยนความคิดกันหมด “ส่วนข้อสุดท้าย หากใครทำเรื่องที่ผิดต่อผม ผมจะไม่เอาไว้และลงโทษอย่างเด็ดขาดและผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้น” แม้หินจะดูยังหนุ่มยังแน่น แต่น้ำเสียงที่กล่าวออกมาในข้อสุดท้ายนี้ กลับเต็มไปด้วยความเย็นชาที่สุด ทุกคนรอบบริเวณที่ได้รับฟังต่างรู้สึกขนลุกขึ้นมาพร้อมกัน ไม่ต้องให้เอ่ยย้ำ ก็รู้ได้เลยว่าหินไม่ได้พูดเล่นแม้แต่น้อย แม้แต่กาญสุดายังรู้สึกขนลุกขึ้นมาเบาๆ “ทำไมคุณถึงดีกับพวกเราขนาดนี้” หลังจากเงียบไปสักพักหนึ่งก็ได้มีเสียงคนงานคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นมา “ผมดีกับคนของผมทุกคน...” หินนึกอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยออกมา “ผมเชื่อว่า คนทุกคน มีสิทธิ์ที่จะได้รับโอกาสและสิ่งดีๆ ไม่มีใครควรถูกตัดสินว่า ไม่ควรได้รับมัน” คำตอบที่หินเอ่ยตอบออกมาต่างทำให้ทุกคนตกอยู่ในภวังค์ ‘โอกาสและสิ่งดีๆ ไม่มีใครควรถูกตัดสินว่า ไม่ควรได้รับมัน’ ประโยคนี้ดังก้องในใจทุกคน “เอาหล่ะ เรื่องที่ผมจะพูดก็ได้พูดออกมาหมดแล้ว พวกคุณมีคำถามอะไรหรือเปล่า?” หลังจากได้สติคนงานคนหนึ่งก็ได้เอ่ยถามขึ้นมา “คุณจะให้เราเรียกคุณว่ายังไง?” “พวกคุณเรียกเจ้าของคนเก่าว่ายังไง?” หินถามกลับออกไป ถ้าหากจะให้เรียกว่าคุณหินตลอดเวลาหินก็รู้สึกว่ามันจะเป็นทางการและห่างเหินเกินไป “พ่อเลี้ยงบุญมี” ‘ถ้าหากจะให้เรียกว่าพ่อเลี้ยงหินมันก็คงดูแปลกๆ … เอาแบบนี้ละกัน’ หลังจากตัดสินใจได้หินก็ยิ้มออกมาก่อนเอ่ยออกไปว่า “ต่อจากนี้พวกคุณเรียกผมว่า พ่อเลี้ยงไตรภพ” เพราะในโลกนี้ชื่อจริงของหินมีชื่อว่า ไตรภพ วีรเดชสกุล ที่สำคัญการใช้คำเรียกเช่นนี้หินก็คิดว่ามัน ก็ฟังดูดีไม่น้อย ทำให้หินได้ตัดสินใจที่จะใช้ชื่อจริงของตนเอง เป็นคำเรียกหาแทน
已经是最新一章了
加载中