บทที่ 6
เฮเรนน่าสั่งให้ธีโอดอร์มาส่งเธอที่เกาะปริศนาตามแผนที่ มันอยู่เลยขึ้นไปทางตอนเหนือระหว่างราชอาณาจักรอเล็กซานเดรียและราชอาณาจักรคาแซนดร้า ต้องใช้คำว่าสั่งถึงจะถูกเพราะเฮเรนน่าแทนที่จะไปบอกกับเจ้าของเรือว่าให้ไป เธอกลับไปบอกกับลูกเรือที่ขับแทนซ่ะนี่ เล่นเอาลูกเรือถึงกับไปไม่ถูกเลยทีเดียว เดือดร้อนถึงกัปตันท์ที่ต้องเอาเธอออกจากห้องควบคุม
เธอเลยบอกให้เขาไปส่งเธอที่นั้น แม้ว่าธีโอดอร์จัดค้านเพราะไม่รู้ว่าที่นั้นอันตรายแค่ไหน แต่เฮเรนน่าก็ยังคงยืนยันคำตอบเดิมว่าเธอจะไปไม่ได้ เธอทนเสียงประหลาดที่รบกวนเวลานอนของเธอตลอดไม่ไหวอีกแล้ว
“ไม่ต้องรอรับ ไม่ต้องมาช่วย ไม่ต้องห่วงด้วย” คนพูดเอาแต่ใจบอกกับเขาที่มาส่งเธอถึงเกาะ ถึงกับทำให้เขาขมวดคิ้วทันที
“แล้วจะกลับยังไง”
“มีตั้งหลายวิธี นายไม่ต้องห่วงฉันหรอกธีโอ”
“ถ้าทำได้นะ เฮเรนน่า”
“ขอบคุณนะ แล้วเจอกันเพื่อน” เธอโผเข้ากอดเพื่อนรักเธอหนึ่งทีก่อนจะเดินเข้าไปภานในเกาะปริศนาที่เต็มไปด้วยป่านั้น ธีโอดอร์ถึงกับถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เธอห้ามไม่เขาตามไป เขาก็มาอยากจะขัดใจ เพ่ะสุดท้ายเขาก็ต้องยอมทำตามเธออยู่ดี
พื้นที่ตรงจุดที่เธอมาเยือนจริงๆ แล้วคือวิหารแห่งความมืด ตรงเข้าไปใจกลางป่าดิบมืดทึบแม้แต่แสงแดดยังเข้าแทบไม่ถึง สิ่งที่ตั้งตระหง่าคือ วิหารแห่งความมืด ที่ถูกออกมาให้ดูงดงามตระการตาและยิ่งใหญ่ แต่ทว่ากลับไม่มีใครอยากเข้าไปใกล้หรือไปเยี่ยมชมเลย เนื่องจากไอประหลาดสีดำที่ปกคลุมไปทั่วนั้นทำให้หลายคนเกิดอาการเวียนหัวคลื่นไส้ นั้นคือสาเหตุว่าทำไมวิหารที่งดงามและคู่ควรแก่การรักษานี้จึงถูกปล่อยให้ร้างและเสื่อมโทรมไปกาลเวลาเช่นนี้
“พึ่งจะได้มาเห็นกับตาน่ะเนี่ย ไอ้วิหารแห่งความมืดเนี่ย สวยงามแต่ดูน่ากลัวชะมัด” หญิงสาวผิวน้ำผึ้งพูดพลางมองไปด้านหน้า แต่ทว่าหญิงสาวอีกคนกลับไม่รู้สึกแบบนั้น เธอรู้สึกว่าภายในวิหารมีอะไรบางอย่างที่กำลังเชิญชวนเธอให้เข้าไปในนั้น
“ไปเถอะ” หญิงสาวผมสีชมพูกุหลาบเดินนำหน้าเข้าไปด้านในอย่างรีบร้อน โดยไม่ทันสังเกตุเลยว่าเถาวัลย์หนามที่นอนตายอยู่บนพื้นกำลังกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เมื่อเธอก้าวเดินเข้าไปด้านใน แม้กระทั่งกุหลาบดำในตำนานยังออกดอกมาให้ชื่นชม
“ที่นี้ดูน่ากลัวจริงๆ ขนลุกซู่ๆ เลยแหะ” บีทรีซเดินตามเพื่อนของเธอเข้ามาด้านในมองไปรอบๆพลางลูบแขนตัวเอง เธอรู้สึกไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก น่าแปลกที่ด้านในกลับไม่ได้เสื่อมโทรมอย่างที่เห็นภายนอกเลย มันยังคงงดงามราวกับมีคนดูแลตลอดเวลา
เฮเรนน่าหยุดเดินก่อนจะก้มลงไปมองเศษอัญมณีสีดำแวววาวที่ตกอยู่บนพื้น เธอย่อตัวลงไปเก็บมันขึ้นมา ก่อนจะมีเสียงประหลาดดังขึ้น
“มีผู้บุกรุก!” หญิงสาวทั้งสองหันหลังพิงกันเพื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของบ้าน องครักษ์ 4ตัว ที่ทั้งคู่คิดว่าเป็นเพียงหุ่นหินที่ประดับไว้ธรรมดานั้นไม่ได้ธรรมดาแต่อย่างใด เพราะตอนนี้มันมีชีวิตขึ้นมาพร้อมจะโจมตีพวกเธอได้ทุกเมื่อ
“งานเข้าเราซ่ะเลย เรนนี่” ทั้งสองดึงอาวุธของตัวเองก่อนะเข้าปะทะกับหุ่นหินพวกนั้นที่กำลังโจมตีพวกเธอ หุ่นองครักษ์หินที่พวกเธอคิดว่าจะจัดการง่ายๆ เริ่มไม่ง่ายอย่างที่พวกเธอคิดซ่ะแล้ว เมื่อความชำนาญในการต่อสู้ ร่วมถึงความว่องไวของพวกมันไม่ได้หินอย่างร่างกาย ร่างกายที่ใหญ่โตเกือบสามเมตรไม่ได้ทำให้พวกมันเชื่องช้าแต่อย่างใด
เฮเรนน่าหมุนตัวตีลังกากลับหลังมายืนอยู่บนราวระเบียงก่อนจะกระโดดหลบอย่างรวดเร็วเมื่อดาบของหุ่นหินฟันลงมตรงเธอจนระเบียงพังทลายเป็นแทบ หญิงสาวยกดาบขึ้นหมายจะฟันลงบนศีรษะของหุ่นแต่มันกลับหันมารับดาบของเธอได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะซัดเธอไปติดกำแพงอีกฝั่ง
“เฮเรนน่า!!! เธอยังไหวใช่ไหม” บีทรีซส่งเสียงมาถามอย่างเป็นห่วง เมื่อหุ่นพวกนั้นส่วนใหญ่เล็งเป้าหมายไปยังเพื่อนของเธอ
หญิงสาวผมสีชมพูกุหลาบร่ายเวทต์น้ำแข็งแช่แข็งหุ่นหินที่วิ่งมาทางด้านหลังของเธอ ก่อนที่เธอจะอัดเวทต์ลมกระแทกเข้าอย่างรุนแรงจนมันล้มลงไปแตกกระจายกับพื้น แต่ไม่ทันที่พวกเธอจะได้ดีใจ เศษต่างๆของหุ่นก็กลับมารวมตัวอย่างอย่างรวดเร็วและลุกขึ้นมาให้ต่อกรกับพวกเธออย่างเดิม
“-0- ไม่ตลกเลยนะ ถ้าบอกว่าพวกมันไม่รู้จักตายเนี่ย!!!!” บีทรีซร้องอย่างอ่อนใจ เธอไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสถานที่แห่งนี้จึงไม่มีคนอยากเข้ามา เป็นเธอถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากมาเหมือนกัน!
“บีทรีซ!!!!!” บีทรีซที่ไม่ทันระหวังหลัง ทำให้พวกมัน 1 ตัว เข้าประชิดตัวได้อย่างรวดเร็ว บีทรีซหันมาสร้างบาเรียป้องกันแต่ทว่ามันไม่ทัน เธอจึงยกอาวุธเขามารับแทน แต่แทนที่เธอจะโดนฟัน แต่ร่างของหุ่นหินนั้นกลับหายไป เธอเงยหน้าขึ้นมามองเฮเรนน่าที่ทำท่าหอบๆ
“ขอบคุณนะ”
“.......” เฮเรนน่าไม่ตอบอะไรก่อนที่เธอจะเปลี่ยนแอนเน็ตเป็นธนูแล้วยิงลูกธนูไปที่หุ่นหินอีกตัว ทันที่ลูกธนูปักกลางร่างของมัน หลุมดำขนาดย่อมๆก็ปรากฏออกมาก่อนจะคล่อยดูดร่างของมันเข้าไปจนหมด
แอนเน็ตอาวุธคู่กายของเฮเรนน่า สามารถเป็นได้ทั้งดาบและธนู การสร้างอาวุธชิ้นนี้เป็นของความลับของเธอ เนื่องจากเป็นอาวุธที่ไวต่อพลังเวทย์และทรงพลัง
“เฮเรนน่า!!!! หลบ!!” บีทรีซส่งเสียงร้อง ก่อนหญิงสาวจะหมอบลงเพื่อหลบลากไม้ที่ใหญ่มหาศาลที่กำลังพุ่งมาทางเธอได้อย่างฉิวเฉียด มันพุ่งตรงไปรัดร่างหุ่นหินอีกตัวที่อยู่หลังเธอ บีทรีซยืนมือออกมาด้านหน้าก่อนจะกำมือ รากไม้บีบอัดขยี้หุ่นหินพวกนั้นกลายเป็นเศษฝุ่นก่อนจะดูดซึมมันกลับเข้าไปในรากไม้ ก่อนที่รากไม้พวกนั้นจะสลายไป นี่เองทำให้เฮเรนน่ารู้ว่าพวกซินเธียพฤกษาน่ากลัวมากเพียงใด เพราะพวกเธอสามารถดูดซึมพลังของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ นำมาเพิ่มพลังของตนเอง
“เรนนี่!” ไม่ทันที่เสียงของร้องบีทรีซจะเข้าไปเตือนเจ้าของชื่อ อาวุธบางอย่างก็ถูกปะทะเข้าที่ร่างกายของเธอพื้นที่รับแรงปะทะพร้อมกับเธอพังทลายนำร่างบางๆ และหุ่นหินยักษ์ร่วงลงสู่เบื้องล่าง
“เฮเรนน่า!!!” บีทรีซที่หน้าซีดลงทันทีเมื่อเห็นเพื่อนของตนตกลงไปในหลุมที่ด้านล่างมองไม่เห็นอะไรเลย.......................
หญิงสาวที่พึ่งรู้สึกตัวค่อยๆ ขยับตัวอย่างช้าๆ เพราะอาการเจ็บปวดตามร่างกาย ก่อนที่เธอะลุกขึ้นมานั่งแล้วทบทวนเรื่องราวก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้น ใช้แล้ว เธอตกลงใหลุมนี้เพราะฝีมือเจ้าหุ่นหินองครักษ์พวกนั้น แรงปะทะไม่ได้เข้าที่เธอเต็มเพราะเธอสร้างบาเรียป้องกันไว้ทัน แต่แรงของมันก็ทำเธอปวดร้าวได้เหมือนกันตอนตกลงมาที่นี้ ไมงั้นเธอคงไม่สลบไปหรอก
หญิงสาวหันไปมองรอบๆ ก็พบว่าเจ้าหุ่นที่น่าจะตกลงมาพร้อมเธอ ได้หายไปแล้ว เธอลุกขึ้นหยิบแอนเน็ตที่กระเด็นไปอีกทางขึ้นมา ก่อนจะสำรวจบริเวณโดยรอบอีกครั้ง ในนี้เป็นห้องโถงทรงกลม ที่มีโคฟเพลิงจุดสว่างสไวไปทั่ว จุดกึ่งกลางมีแท่นบูชาที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างสวยงาม ด้วยอัญมณีสีดำที่เธอเก็บได้จากด้านบน แล้วมันคือแท่นบูชาอะไรกัน ในเมื่อ.....บนแท่นมันว่างเปล่า หรือมันคือคริสตัลสีดำที่เธอตามหา....มันไม่ได้อยู่ที่นี้!
“ใช่ ของสิ่งนั้นที่ท่านตามหาไม่ได้อยู่ที่นี้” เสียงประหลาดดังขึ้น เฮเรนน่าหันมองตามไปก่อนที่จะพบชายหนุ่มรูปงามในอาภรณ์สีดำนั่งอยู่บนแท่นบังลังค์เปรียบเสมือนราชา หุ่นหินตัวนั้นนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ
“ท่านเป็นใคร”คำถามของหญิงสาวทำให้เจ้าของบังลังค์ลุกขึ้น
“เราชื่อเออเนสส์โต ผู้ครอบครองวิหารแห่งนี้” เจ้าของบังลังค์แผ่มือออกไปข้างๆ อย่างยิ่งใหญ่
“งั้นท่านก็ต้องรู้ว่าคริสตัลสีดำอยู่ที่ไหน”
“แน่นอนเรารู้ว่าของสิ่งนั้นอยู่ที่ไหน”
“แต่ถ้าท่านคิดว่ามันอยู่ในที่ๆ ที่ปลอดภัยแล้ว ฉันก็คงขอตัว” เฮเรนน่าเดินหันหลังไปอย่างง่ายๆ เธอไม่ได้ตั้งใจจะมาเอาของสิ่งนั้นอยู่แล้ว
“ไม่เคยมีมนุษย์คนไหนที่เข้ามาแล้วหันหลังกลับไปจากของสิ่งนั้น”
“ฉันไม่ได้ต้องการมัน ฉันต้องการให้มันอยู่อย่างปลอดภัย และไม่ได้กระทบกระเทือนกับโลกเท่านั้น” หญิงสาวหันมาตอบ ตราบใดที่คริสตัลยังอยู่ มาทิลด้าคงไม่เลิกล้มความตั้งใจง่ายๆ และถ้ามาทิลด้าได้ครอบครองทุกอย่างคงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปขัดขวางเพราะว่ามันคงจะขวางไม่ได้อีกแล้ว!!
“ท่านช่างเป็นคนดีจริง”
“ฉันไม่ได้เป็นคนดี ต่อให้โลกแตกมันก็ไม่เกี่ยวกับฉัน แต่เพราะ.....อะไรบางอย่างฉันถึงต้องทำ และถ้าท่านสามารถดูแลให้มันปลอดภัยได้ ฉันคงไม่มีประโยชน์ที่ต้องเอาไป”
“แล้วถ้าของสิ่งนั้นอยากไปอยู่กับท่านล่ะ ท่านจะยินดีรับมันหรือเปล่า”
“หมายความว่ายังไง”
“ก็หมายความอย่างที่ท่านได้ยินนั้นแหล่ะ ท่านคือผู้ถูกเลือก” เสียงที่หญิงสาวที่จะคุ้นผุดขึ้นมาในหัวทันที เสียงในความฝันของเธอ คือเสียงของ บุรุษผู้นี้!!
“แต่จะเหมาะสมหรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับการทดสอบต่อไปนี้” บุรุษในอาภรณ์สีดำพุ่งตรงเข้ามาหาเฮเรนน่า โชคดีที่เธอเอาดาบขึ้นมารับแรงปะทะได้อย่างทันที
เฮเรนน่าไม่รอรับการต่อสู้ เธอเลือกที่จะเข้าไปรุกสู้มากกว่า เพราะยิ่งเธอเป็นฝ่ายรับมากเท่าไหร่ ดูเหมือนว่าเธอจะเริ่มเสียเปรียบมากเท่านั้น แต่ทว่าไม่ว่าเธอจะฟันเท่าไหร่ฝ่ายตรงข้ามกลับไม่กระทบกระเทือนเลยสักนิด แถมพลังของเธอก็กลับค่อยๆ หายลงไปทุกๆ ทีด้วย
“ยิ่งสู้มากเท่าไหร่ พลังของท่านก็จะหายไปมากเท่านั้น รู้หรือไม่” บุรุษพูดขึ้นระหว่างที่พวกเขากำลังปะทะกันอย่างสูสี
“ทำไม”
“เพราะเราคือท่านและท่านก็คือเรา” เฮเรนน่าอยากเถียงทฤษฏีนั้นแทบขาดใจ เมื่อเธอถูกพลังอัดเข้าที่ท้องจนเธอร่วงลงไปนอนกับพื้นอยู่หลายวินาที ก่อนจะกลิ้งหลบคมดาบที่ตามมา
“คิดให้ออกสิ วิธีที่จะชนะเรา เวลาเหลือไม่มากแล้วนะ” ใช่....แรงของเธอเริ่มทดถอยมากขึ้นทุกที มีวิธีไหนที่เธอจะเอาชนะคนตรงหน้าได้
วิธีอะไร....ใครจะไปคิดอะไรออก!!!! เฮเรนน่าเถียงขึ้นในใจ แค่เอาตัวรอดเธอยังแทบแย่ แล้วจะให้หาวิธีชนะงั้นหรอ เป็นไปได้ก็บ้าแล้ว!!!
“ท่านเฮเรนน่า”
“หุบปากสักที!” เสียงที่เปล่งออกมาอย่างมีอำนาจ เฮเรนน่ากระโดดลอยตัวไปอยู่บนอากาศก่อนจะเก็บแอนเน็ตแล้วร่ายมนตราบางอย่างก่อนที่มนตราเหล่านั้นจะเป็นแสงสีดำพุ่งออกมาเป็นสายหลายเส้น ตรงเข้าไปรัดตัวของบุรุษผู้นั้น เฮเรนน่าพึมพำออกมาก่อนจะเกิดวงแหวนเวทต์ล้อมรอบ เพื่อตรึงตราบุรุษผู้นั้นเอาไว้ ก่อนที่เธอจะหยิบแอนเน็ตออกมาแล้วตรงเข้าฟันคนตรงหน้า
เพล้ง!!!!!!!
เสียงแอนเน็ตเข้ากระทบกับของบางอย่างจนเกิดเสียงดังลันไปทั่ว แสงสีขาวสว่างวาบขึ้นมา ทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าเธอกำลังถูกดูดเข้าไปในแสงนั้น ภาพวิหารตรงหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลง ตรงหน้ามีเพียงบุรุษคนเดิมที่ยิ้มให้เธอ ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าเธอ
“แด่ผู้เป็นนายเฮเรนน่า............ข้าในนามเออเนสส์โต อสูรประจำคริสตัลสีดำ ผู้เป็นตัวแทนแห่งความมืดและความตาย ขอให้สัจจะแห่งพันธสัญญาว่า ข้าจะอยู่เคียงข้างท่าน รวมต่อสู้ และขอติดตามท่านผู้เป็นนายไปตลอดชีวิต.....” สิ้นเสียงคำแห่งพันธสัญญาแสงสีดำก็พุ่งเข้ามารายล้อมของผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นนายก่อนจะปรากฏคริสตัลสีดำตรงหน้าแล้วหายเข้าไปในหน้าอกของเธอ พร้อมกับแสงสีดำ
แสงสีขาววาบเข้าในดวงตาของหญิงสาวอีกครั้ง เธอหลับตาลงก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งในวิหารที่เดิม เธอรู้สึกปวดหัวจี๊ดจนต้องนั่งลงกับพื้น เรื่องมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้เธอเองก็ประมวลผลไม่ถูกเหมือนกัน
“เฮเรนน่า เฮเรนน่า!!!!” เสียงเรียกของเพื่อนของเธอที่ดูร้อนรน ร่างของเจ้าของเสียงลงมาพร้อมกับเถาวัลย์
“บีทรีซ”
“เฮเรนน่า ตกใจแทบแย่นึกว่าเป็นอะไรไปแล้ว” หญิงสาวรีบดึงเพื่อนของเธอมากอดทันที เธอเป็นกังวลมากเพราะเฮเรนน่าที่ตกลงไปข้างด้วยความสูงที่เธอเองตามลงมายังตกใจเลย คนธรรมดาคงไม่รอดไปแล้ว
“ฉันไม่เป็นไร” คนถูกกอดค่อยดันตัวออก
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เรากลับกันเถอะ ที่นี้ดูอันตรายมากเลยนะ” เฮเรนน่าพยักหน้า ก่อนที่เถาวัลย์ของบีทรีซจะพาพวกเธอทั้งสองขึ้นไปข้างบน
“แล้วเราจะกลับกันยังไงล่ะ วาร์ปไปหรือไง” บีทรีซหันมาถามเฮเรนน่าหลังออกจากป่าได้แล้ว โชคดีจริงๆ ที่ไม่หลงทาง สมบัติอะไรก็ไม่เจอสักอย่าง แล้วยัยเฮเรนน่าอยากมาดูอะไรเนี่ย
“กลับด้วยไอ้นี่ไง” คนถูกถามให้คำตอบด้วยการเอามือชี้ไปด้านหน้า คนถามมองตามมือนั้นไปก่อนจะตาโตลุกวาว บ้าไปแล้ว นี่มัน
“เธอกำลังจะบอกว่าเราจะขี่เจ้านี่กลับเนี่ยนะ”
“อืม นี่แหล่ะ ทำไมหรอ”
“ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม ก็เนี่ย มันมังกรเลยนะ!!!!!” ใช่ พาหนะที่เธอเห็นคือมังกร มังกรตัวเป็นๆ ตัวสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ มีลมหายใจ ขยับปีกได้ และกำลังเดินมาหาพวกเธอ บีทรีซก้าวหลังถอยหนี แต่เฮเรนน่ากลับเอื้อมมือไปสัมพัสมันอย่างรักใคร่
“ไม่ต้องกลัว เจ้านี่ชื่อบาฮามุทร เป็นคู่หูฉันเอง” บีทรีซกรอกตาไปมาอย่างจนใจ นอกจากเพื่อนของเธออีกคนที่คบกันมานานแล้วเธอก็ว่าฝ่ายนั้นประหลาดแล้วนะ นี่มีเพื่อนแปลกๆ เพิ่มมาอีกคนด้วยหรอเนี่ย สัตว์มีตั้งเยอะตั้งแยะดันมาเลือกมังกร ซึ่งเป็นสัตว์ในตำนาน ขึ้นชื่อว่าความดุร้ายเนี่ยนะ
“เธอนี่มันสุดๆ จริง เฮเรนน่า”
แล้วทั้งสองก็ขึ้นมาเหินฟ้าอยู่บนหลังมังกรหนุ่มแข็งแรง แม้แรกบีทรีซจะไม่ค่อยไว้ใจที่จะขี่มัน แต่ตอนนี้เธอเริ่มสนุกกับมันแล้ว ขนที่เป็นเกร็ดเรียงเงางามนั้นไม่ได้แข็งอย่างที่เธอคิด มันกลับอ่อนนุ่มจนน่าสัมพัส ตามตำนานว่ากันว่า มังกรคือสัตว์ที่แยกตัวไปใช้ชีวิตอย่างสัญโดญในเผ่าของพวกมัน พวกมันสูงเหย่อหยิ่งและทรนงตัวเอง ไม่ยอมก้มหัวให้ใครหน้าไหนโดยเฉพาะมนุษย์ จึงไม่แปลกที่เรื่องราวของมันกรจะเป็นเพื่อนเรื่องเก่าเล่าต่อกันมานาน แต่บีทรีซคิดว่าดีซ่ะอีกที่มันเป็นแค่ตำนาน เพราะมนุษย์ยังเชื่อไปอีกว่า เลือดมังกรจะช่วยคงความอ่อนเยาว์และรักษาแผลได้อย่างท่วงที น้ำตาของมังกรช่วยเพิ่มพละกำลังทางเวทย์และกายภาพ เกล็ดก็มีค่ายิ่งกว่าอัญมณีชนิดใดในโลก เล็บและเขาของมันนำมาทำเครื่องรางเป่าปัดสิ่งชั่วร้ายได้อย่างดี ยิ่งไปกว่านั้นถ้าใครได้กินเนื้อมังกรจะได้คงความเป็นอมตะเป็นนิรันด์ตลอดไป
แต่ถ้าเธออยากรู้เรื่องนี้จริง คงต้องถามเฮเรนน่าแล้วล่ะ ตอนนี้บีทรีซก็ได้รับรู้แล้วว่ามังกรมีอยู่จริง และโชคดีที่พวกมันไม่ออกมาเพ่นพล่าน เพราะไม่อย่างนั้นพวกมนุษย์หน้าโง่โลภมากต้องหาวิธีจับพวกมันมาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองแน่ๆ ต่อให้เป็นเจ้าของสัตว์ทุกชนิดก็เถอะ ก็คงไม่รอดเงื้อมือมนุษย์จอมทำลายโลกเหมือนกัน
“นี่ๆ ที่เขาบอกว่ากินเนื้อมังกรแล้วจะเป็นอมตะ จริงไหม” บีทรีซหันไปถามเจ้าของมังกร เฮเรนน่าส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่จริงหรอกครับ มนุษย์คิดไปเองทั้งนั้น เพราะเห็นว่าพวกเราเป็นสัตว์ที่แข็งแกร่งเท่านั้น” เสียงที่ตอบไม่ใช่เฮเรนน่า แต่เป็นเสียงของเด็กหนุ่ม
“ใครพูดอ่ะ”
“ผมเองครับ ท่านบีทรีซ”
“ผมไหน”
“บาฮามุทรไงครับ”
“อะไรน้า!!!!! มังกรพูดได้ด้วยหรอ” บีทรีซชะโงกไปตรงหัวมังกรอย่างตื่นเต้น ดวงตาสีเทาอ่อนของมันเหลือบมามองเธอ
“ใช่ครับ ผมพูดได้”
“กรี๊ดดดด ตื่นเต้น ได้คุยกับมังกรอีกตัว นายเป็นผู้ชายใช่ไหม ขอประทับเท้าหน้าใส่กระดาษเป็นที่ระลึกได้ป่ะ” บีทรีซดูกระวี๊ดกระว๊าดเป็นพิเศษ แม้เฮเรนน่าจะเกิดคำถามในประโยคคำพูดของเพื่อนแต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป