บทที่ 7
ทั้งคู่เดินทางมาถึงราชอาณาจักรอเล็กซานเดรีย ราชอาณาจักรที่มีขนาดแทบจะเล็กที่สุดของทุกราชอาณาจักร แต่กลับเต็มไปด้วยความเจริญรุ่งเรืองของวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ แม้ในยุคสงครามแต่ทุกคนก็ยังคงดูมีความสุข และสงบ เหตุเพราะผู้นำของราชอาณาจักรอเล็กซานเดรียไม่ใช่คนบ้าอำนาจที่ต้องการขยายพื้นที่แต่ไม่เน้นเรื่องอื่นๆ แม้อเล็กซานเดรียจะไม่ประกาศสงครามกับใครก่อน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธีการตั้งรับศึกต่างๆ ที่จะมาโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาไม่มีฝ่ายไหนที่จะบุกโจมตีแนวป้องกันของราชอาณาจักรอเล็กซานเดรียเข้ามาได้เลย หากเพราะการปกครองที่ดีไม่ได้มาจากการมีพื้นที่มหาศาล แต่ต้องปกครองดูแลให้ทั่วถึงโดยคำนึงถึงความสุขประชากรทั้งหมดเป็นหลัก
นี่คือคำนิยามของผู้นำราชอาณาจักรมาตลอดหลายสิบปี จนมีราชอาณาจักรต่างๆ เข้ามาขอความร่วมมือและเจรจาสงบศึกพร้อมกับพันธมิตรที่ดีต่อกัน รวมถึงชนเผ่าที่เป็นอมุษย์อื่นๆ ด้วย
เฮเรนน่ากับบีทรีซใช้วิธีการเข้าเมืองโดยแอบร่อนลงมาจากฟากฟ้าโดยการส่งของบาฮามุทรที่ส่งพวกเธอบนหลังคาวิหารที่สูงที่สุดในเมือง พวกเธอจึงจำเป็นต้องหาทางลงมาอย่างรวดเร็วไม่งั้นอาจจะโดนพวกชาวเมืองประนามได้ว่าเธอไม่เคารพต่อสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
เมืองอเล็กซิส์ที่พวกเธอมาถึงเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักร ที่นี้จึงมีความรุ่งเรืองและใหญ่มากที่สุด เข้าไปสุดในกลางของเมืองที่มีแผนผังเมืองเป็นวงกลม คือพระราชวังหลวงอันวิจิตรงดงามตระการตา ใครที่เข้ามาในนี้ก็คงอยากสัมผัสอยากมองใกล้ๆ พระราชวังที่หลายคนเรียกว่า พระราชวังทองคำ เพราะการตกแต่งที่เมื่อมองสะท้อนแสงจะมีประกายสีทองระยิบระยับ เฮเรนน่าเองก็พึ่งจะเคยเห็นพระราชวังอันงดงามนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน
“ทำไมเธอเลือกมาที่นี่ล่ะเนี่ย เฮเรนน่า” บีทรีซถามอย่างแปลกใจ เมื่อมาถึงจุดหมายแล้ว เพราะสถานที่ตอนนี้ที่เธอควรหลีกเลี่ยงคือสถานที่ที่เป็นเมืองหลวง เพราะมีการตรวจตราที่เข้มงวดมาก คนดังอย่างเธออาจถูกพบไม่ยาก
“ฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างน่ะสิ” เฮเรนน่าตอบกลับไป พวกเธอกำลังหาโรงแรมเพื่อเข้าพักอยู่ เธอรู้สึกเจ็บตรงตราคำสาปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ยิ่งพอมาถึงที่นี่มันก็ยิ่งเจ็บ ราวกับว่ามันมีพลังอะไรบางอย่างกำลังทำปฏิกิริยาต่อกัน
“ฉันว่าพักที่นี้แล้วกัน บริการดีราคาไม่แพงด้วยนะ” บีทรีซที่ดูจะเชี่ยวชาญเมืองนี้เป็นพิเศษบอก
“เธอเคยมาที่นี้บ่อยหรอ”
“อืม ทำไมหรอ” ก็ไม่ทำไมหรอก ก็ดูเธอจะชำนาญเส้นทาง แม้แผนผังเมืองที่นี้จะเป็นวงกลม แต่เมืองใหญ่แบบนี้คนยิ่งเยอะ ตรอกซอกซอยก็ยิ่งแน่น ถ้าคนมาใหม่ๆ ร้อยทั้งร้อยก็ต้องหลง
“เธอดูชำนาญ”
“คิกๆ ก็ฉันน่ะ เป็นแพทย์ประจำที่นี่นี่นา มาเถอะ ไม่รู้ว่าห้องเต็มไหม” เธอดึงแขนคนสงสัยเข้าไปด้านในโรงแรม ก่อนจะเข้าไปติดต่อจองห้องพัก โชคดีที่ยังเหลือให้พวกเธอ 1 ห้องพอดี
พวกเธอขึ้นมาเก็บของบนห้อง ห้องนี้ไม่ได้กว้างใหญ่นัก แต่เธอมีสองเตียงขนาด 3 ฟุตครึ่งที่มีการปูเตียงเรียบตึง จนดีดเหรียญลงไป เหรียญต้องเด้งขึ้นมาแน่นอน ในห้องไม่มีอะไรมากนักนอกจากเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็น ห้องดูสะอาดสะอ้านแถมยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้อีกต่างหาก บีทรีซเดินไปเปิดผ่าม่านหน้าต่างบานใหญ่ เมื่อเปิดออกไป วิวที่เห็นสามารถมองตรงไปที่พระราชวังได้พอดี เพราะอยู่ถึงชั้น 5 จึงสามารถมองวิววงกว้างได้อย่างสบายๆ
“ว้าว ห้องเราเห็นพระราชวังพอดีเลยล่ะ” หญิงสาวผมสีน้ำตาลอ่อนบอก ก่อนที่คนฟังจะเดินมาดู แต่เธอไม่ได้เดินมาดูพระราชวัง แต่เธอเดินมาดูสิ่งประหลาดที่เกิดรอบพระราชวังมากกว่า แสงประหลาดสีฟ้าอมเขียวที่อยู่รอบพระราชวังนั้น
“นั้นคืออะไร”
“ไหน”
“นั้นไง เธอไม่เห็นหรอ แสงนั้น”
“แสงอะไรเฮเรนน่า” บีทรีซทำหน้างงๆ ใส่เธอ คนอื่นมองไม่เห็นนอกจากเธองั้นสิ อยู่ๆ เธอก็เจ็บหน้าอกขึ้นมาจนต้องลงไปนั่งกับพื้น
“เฮเรนน่า!!! เป็นอะไร” บีทรีซรีบถลาเข้าไปหาเธออย่างตกใจ
“มีบางอย่าง มีบางอย่างกำลังมา รีบไปเร็วบีทรีซ” แม้คนฟังจะทำหน้างงๆ อย่างไม่เข้าใจ แต่เธอก็ไม่มีเวลาจะถามอะไรต่อ ในเมื่อคนพูดวิ่งออกไปแล้วแบบนั้น เธอก็ต้องตามสิ
“เฮเรนน่า เกิดอะไรขึ้น” เฮเรนน่ายืนรอเธออยู่หน้าโรงแรมก็จริง แต่ดูเหมือนเธอจะยืนมองสถานการณ์ที่แตกตื่นมากกว่า เพราะจู่ๆ ผู้คนก็เกิดการกลหลขึ้น
“มันมาแล้ว ไปเร็ว” คนตอบยังคงพูดจาแปลกๆ ต่อไป แล้วใครจะไปตรัสรู้กันล่ะ
ชาวบ้านต่างวิ่งหนีแสงประหลาดให้มากที่สุด กลับมีสองสาวที่วิ่งย้อนเข้าไปหา พวกอัศวินเริ่มออกมาเผ่นพล่านแล้ว คนที่คุ้นเคยพื้นที่อย่างบีทรีซจึงดูตกใจอยู่ไม่น้อยที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ในเมืองหลวงของอเล็กซานเดรีย เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัยมากที่สุด
\"กรี๊ดด!!” เสียงกรี๊ดดังลั่นทำให้เธอทั้งสองหันไปตาม ก็พบว่ามีปิศาจรูปร่างประหลาดกำลังจะจับตัวเธอ ไวกว่าความคิดเฮเรนน่าชักดาบคู่ใจออกมาก่อนจะกระโดดฟันพวกมันขาดสองท่อน เลือดสาดกระเซนลงบนพื้นเต็มไปหมด เมื่อจัดการได้หนึ่ง สอง และสามจึงตามมากอีกมากมาย บีทรีซไม่ตั้งคำถามอะไรอีกแล้ว เธอชักอาวุธออกมาเหมือนกัน
อีกด้านของความโกลาหลแตกตื่นพวกอัศวินกำลังเข้าประจำการเพื่อช่วยผู้คนและกำจัดพวกปิศาจร้ายที่ตอนนี้ดูเหมือนจะเพิ่มจำนวนเร็วยิ่งกว่าไฮดร้า
ฟรึบ!!!
เสียงดาบอันคมกริบฟาดฟันศัตรูตัวแล้วตัวเล่า แต่ดูเมื่อการปรากฏตัวของพวกมันอย่างปริศนาจะไม่ได้ทำให้ประชากรของพวกมันลดลงแต่อย่างใด และเพราะมันโผล่ออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว มาตรการการป้องกันจึงเกิดขึ้นอย่างฉุกหุกเช่นกัน
“เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นเนี่ย” ชายหนุ่มใบหน้ามนหวานเจ้าของผมสีม่วงเข้ม ดวงตาสีเขียวเข้มพูดขึ้นระหว่างต่อสู้กับพวกปิศาจ
“ถ้ารู้คงหาวิธีแก้ได้ไปแล้ว พวกมันโผล่มาได้ยังไง”
“ไม่รู้เหมือนกันครับท่านเกล!!” ชายหนุ่มผมสีม่วงเข้มกระโดดเข้าไปโชว์ลีลาการควงดาบใส่พวกปิศาจ ตามด้วยพวกปิศาจที่ทยอยกันตาย
“ต้องมีใครนำมันเข้ามา”
“แล้วใครกันล่ะ จะสามารถเปิดประตูมิติได้” นั้นคือคำถามที่เขาเองต้องหาคำตอบเหมือนกัน แต่สิ่งที่ต้องทำให้เร็วที่สุดตอนนี้คือจัดการพวกมันและหาหนทางหยุดยั้งการหลั่งไหลเข้ามาของพวกมัน
ปิศาจพวกนี้ไม่ได้มีฝีมือร้ายอาจเท่าไหร่เป็นแค่พวกปิศาจชั้นต่ำเท่านั้น ถ้าเทียบกับพวกชาวบ้านที่ไม่มีเวทมนต์และไม่มีทักษะการต่อสู้ติดตัว พวกมันถือว่าได้เปรียบที่สุด
“เบรน สั่งพวกอัศวินเกณฑ์คนไปอยู่ที่ปลอดภัย เรียกพวกซินเธียมาสร้างบาเรียคุ้มกันเอาไว้” คนถูกสั่งหันมารับคำสั่ง
“รับทราบครับ ท่านเกล” เบรนทิลชายนุ่มหน้าตาหล่อเหลา อาจจะค่อนทางสวยนิดหน่อย ทรงผมม่วงเข้มดวงตาสีดำสนิท ที่ได้รับคำสั่งรีบรุดหน้าไปปฏิบัติทันที เกลใช้เวทมนต์สายฟ้าถล่มพวกปิศาจตายทันทีเป็นร้อยตัว แต่ก็ยังไม่สามารถปราบให้หมดได้อยู่ดี
“บ้าเอ้ย!!! เมื่อไหร่พวกมันจะหมดสักทีว่ะ”
เวทย์สายฟ้ากระหึ่มไปทั่วท้องฟ้า ทำให้สองสาวที่กำลังวิ่งเข้ามาหยุดมอง ที่นี้มีซินเธียฝีมือสูงขนาดนี้ด้วยหรือ เฮเรนน่าคิดในใจ สิ่งที่เธอต้องทำคือหาต้นต่อแล้ววิธีปิดผนึกมัน
“บีทรีซ ฝากข้างล่างด้วย” เฮเรนน่าบอกก่อนที่ร่างของเธอจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยการมารับของมังกรคู่ใจของเธอ เฮเรนน่าเปลี่ยนจากดาบให้กลายเป็นธนู ก่อนจะยิ่งศรเข้าที่จุดตายของปิศาจที่ร่อนเร่อยู่บนฟ้าให้ตายทีล่ะตัวอย่างรวดเร็ว บาฮามุทรเองก็ช่วยพ่นไฟที่มีลักษณะเป็นสีเดียวกับตัวเองเช่นกัน
เฮเรนน่าสั่งให้บาฮามุทรตรงไปที่ลำแสงประหลาด แต่บาฮามุทรก็ไม่เห็นมันเช่นกัน เธอจึงได้แต่ชี้ไปเพื่อให้บาฮามุทรไปได้ถูก
เปรี๊ยง!!!!
หญิงสาวสร้างเกาะบาเรียป้องกันพลังเวทย์ที่โจมตีมาหาเธออย่างรวดเร็ว ก่อนจะเงยหน้ามองคนที่ลอบทำร้ายเธอด้วยท่าทีไม่พอใจ พลังนั้นไม่ได้มาจากพวกปิศาจ แต่มาจากซินเธียด้วยกัน และคนๆ นั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล นอกจากคู่อริใหม่ของเธอ
“เกล โนเอลล์” เธอพึมพำเรียกชื่อของเขา เจ้าของชื่อกระตุกยิ้มมุมปากให้เธออย่างชั่วร้าย
“ไม่นึกว่าจะได้เจอกันที่นี้นะ เฮเรนน่า เทรเวอร์” สิ่งที่เฮเรนน่าลำบากใจในตอนนี้ไม่ใช่เพราะเจอกับเกล แต่เพราะเธออาจจะถูกใส่ข้อหาเพิ่มไปในครั้งก่อนด้วยว่า เธอคือผู้ชักนำปิศาจเข้ามา และถ้าต้องให้อธิบายจนเกลเข้าใจ เธอกลัวว่าเมืองนี้จะราบคาบไปก่อนแน่นอน
“โปรดให้ผ่านฉันด้วย” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นมรรยาทที่สุด จนเกลเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
“ทำไมฉันต้องหลีกทางให้เธอ” สิ่งที่เธอคิดกับสิ่งที่เกลคิดต่างกัน เธอจะเข้าไปให้ใกล้แสงนั้นมาที่สุด แต่เบื้องหลังแสงนั้นคือพระราชวัง เกลคิดว่าเธอจะเข้าไปเขตนั้นอย่างแน่นอน
“ฉันไม่มีอะไรต้องพูดมากไปกว่านี้ โปรดหลีกทาง” เธอไม่มีอารมณ์จะอธิบายเรื่องใดๆ ในเมื่อคนอื่นมองไม่เห็นอธิบายไปก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
“เธอไม่มีสิทธิ์เข้าไปในนั้น”
“ฉันไม่ได้อยากเข้าไป แต่ฉันมีเรื่องต้องจัดการ หลีกไป!!!” หญิงสาวเปลี่ยนน้ำเสียงทันที เมื่อคนตรงหน้าคอยที่จะขวางเธอ
“งั้นเธอคงต้องข้ามฉันไปก่อน เฮเรนน่า เทรเวอร์” บ้าที่สุด! นี่ไม่ใช่เวลาที่มนุษย์จะมาทะเลาะกันเองสักหน่อย ไม่เข้าใจอะไรเลยหรือไง เฮเรนน่าสั่งให้บาฮามุทรกลับลงไปช่วยบีทรีซผ่านโทรจิต ก่อนที่จะกระโดดลงจากหลังเพื่อนคู่ใจมาลอยตัวเอง
“แล้วคุณจะรู้ว่าตัวเองกำลังทำพลาด เกล” เฮเรนน่าชักดาบออกมา ก่อนจะเข้าปะทะกับเกลอย่างดุเดือด ยิ่งกว่าปะทะกับพวกปิศาจ
“เจ้าพวกปิศาจบ้า คู่ต่อสู้แกทางนี้ต่างหาก” บีทรีซส่งเสียงเรียกก่อนที่หอกสามง่ามจะทิ่มเข้าที่คอของมัน หัวของมันหลุดออกจากตัวพร้อมกับการชักหอกนั้นกลับมาของเจ้าของ
“เฮ้ย บีทรีซ ไหนบอกลาพักร้อน” ชายหนุ่มผมสีม่วงที่พยายามรวบรวมชาวบ้านไปที่ปลอดภัยผ่านมาพอดี
“เบรน เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่รุ้เหมือนกัน ตอนนี้เกลกำลังหาที่มาอยู่” เบรนทิลตอบพลางซัดมีดน้ำแข็งที่สร้างขึ้นจากพลังเวทย์ไปที่ปิศาจด้านหลังบีทรีซ
“เฮเรนน่าก็พูดอะไรแปลกๆ เหมือนกัน ตอนนี้ยัยนั้นตรงไปที่พระราชวัง”
“เฮ้ย!! เฮเรนน่าที่ว่า คือคนที่โดนประกาศจับใช่ไหม”
“เออน่ะสิ ยัยนั้นเหมือนรู้เรื่องอะไรอยู่แล้ว ว๊ายยยย!!!” บีทรีซกรีดร้องเพราะตกใจที่เห็นปิศาจโทรลล์ฟาดลูกตุ้มเหล็กมาทางเธอ โชคดีที่พวกเขาสองคนกระโดดหลบทัน ไม่งั้นร่างสลายไปกับพื้นที่แตกแน่ๆ
“หนอย เจ้าอ้วน” ลากเถาวัลย์หลายเส้นพุ่งตรงไปที่ปิศาจโทรลล์ก่อนจะทลวงจุดตายของมันจนมันล้มตึงลงไป
“บีทรีซ ดูท่าเราจะเกิดปัญหา” บีทรีซมองตามชายหนุ่มขึ้นไปบนฟ้า ก่อนจะพบพลังเวทย์ที่ปะทะกันอย่างรุนแรงจากคนรู้จักทั้งสอง เฮเรนน่าและเกล ซึ่งทำให้บีทรีซถึงกับกรีดร้องเสียงหลง
“กรี๊ดดดดด สองคนนั้นจะสู้กันเองทำไม ปิศาจจะพังเมืองอยู่แล้วT[]T” เธออยากขึ้นไปตบกบาลเจ้าพวกนั้นจริงๆ ไม่รู้จักกาละเทศะ
“ง่ายนิดเดียว เกลเชื่อว่าเฮเรนน่าอาจเป็นคนทำ”
“ทำบ้าทำบอไรกัน เฮเรนน่าอยู่กับฉันตลอด ยัยนั้นก็ปากหนักทำไมไม่อธิบายไปเล่าว่าไม่รู้เรื่อง”
“หรือจะพูดแล้วแต่เกลไม่เชื่อ”
“แล้วไม่ใช่เวลามากัดกันเอง ม้ายยยยย ตอบสิ!!!!” ระหว่างเลือกไปห้ามสองคนที่กำลังจะสู้กันตาย กับชาวบ้านตาดำที่ช่วยเหลือตัวเองแทบไม่ได้ ทั้งสองจึงเลือกที่จะช่วยชาวบ้านก่อน เพราะถึงยังไงสองคนนั้นคงไม่กัดกันตายเร็วๆ นี้แน่
“สาบานเลยว่า ฉันจะต้องขึ้นไปตบกบาลสองคนนั้น!!!!” บีทรีซร้องเสียงหลง แทนที่จะช่วยกัน มันจะทำให้วุ่นวายกว่าเดิมน่ะสิ
การต่อสู้ระหว่างเกลและเฮเรนน่าเป็นไปอย่างดุเดือด ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมแพ้กัน แม้จะพลาดท่าโดนซัดกันไปบ้าง แต่ก็ยังตั้งตัวกันใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ต่างฝ่ายต่างมีเป้าหมายที่แน่วแน่ ที่น่าสนใจคือเป้าหมายของทั้งคู่คือการยับยั้งปิศาจที่พากันข้ามมิติไว้ แต่วิธีการกลับแตกต่างกัน เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่เข้าใจ ต่างไม่ลงรอยกันการทะเลาะเบาะแว้งก็ย่อมเกิดเป็นธรรมดา แต่มันไม่ใช่เวลาแบบนี้เท่านั้น
“คุณควรหลีกทางให้ฉัน” เฮเรนน่าบอกระหว่างที่เธอใช้แอนเน็ตรับคมดาบของอีกฝ่าย
“หลีกทางให้เธอเข้าไปทำลายงั้นหรอ”
“ใช่ ฉันคนเดียวที่ทำลายมันได้ ไม่เข้าใจหรือไง” เธอบอกก่อนจะใช้ดาบดันตัวของเกลออกไป ก่อนจะหมุนตัวตีลังกากลับหลังนี้มาอยู่ในท่ายืนตรง ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบมีดใบไม้ที่ลอยมาจากด้านหลัง เธอตวัดดาบหนึ่งครั้ง ก่อนที่รัศมีของดาบจะพุ่งตรงไปยังชายหนุ่ม เขากระโดดหลบได้ฉิวเฉียด เข้าตัดร่างของปิศาจสามตัวที่มาจากด้านหลังเขาได้อย่างตั้งใจ
“เธอจงใจฟันฉันหรือมัน”
“ทั้งสอง” หญิงสาวตอบหน้าตาย เธอตั้งใจฟันพวกมันเป็นอันดับแรก แต่ถ้าผลพลอยได้จะเป็นเขาด้วยเธอก็ไม่มีปัญหา
“ทำไมเธอต้องฆ่าพวกมันในเมื่อเป็นพวกเดียวกัน” ชายหนุ่มหรี่ตาถามอย่างไม่ไว้ใจ แถมยังต้องคอยหลับลูกธนูไฟที่ถูกยิงมาอย่างต่อเนื่องเพื่อกำจัดปิศาจที่มาใหม่อีกด้วย ยัยนี้จงใจจะแกล้งเขาใช่ไหม
“มันกับฉันไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว”
“หมายความว่าไง”
“นี่พ่อคุณหน้าตาก็ออกจะฉลาดเป็นผู้นำ ทำไมถึงได้โง่นัก” เธอตอบกลับไปอย่างอารมณ์เสีย ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นแบบนี้มานานแล้ว
“อ่าวนี่แม่คุณ ช่วยอธิบายภาษามนุษย์ไม่ได้หรอ”
“ฉันหมายถึง ฉันกับพวกมันไม่ได้ร่วมมือกัน” คราวนี้เธอต้องเป็นฝ่ายหลบคมดาบสายลมที่ซัดมาอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วบ้าง เพราะปิศาจฝูงใหญ่มาโจมตีเธอทางด้านหลัง ก่อนจะหันไปแยกเขี้ยวใส่ชายหนุ่มที่ก่ะจะโจมตีเธอไปด้วย
“แล้วทำไมเธอถึงได้อยากเข้าไปในพระราชวัง”
“ไม่ได้อยากเข้าไป แต่ฉันเห็นจุดกำเนิดพลังบางอย่าง บางทีมันอาจะเป็นต้นตอของพวกปิศาจพวกนี้”
“จุดพลังอะไร” นอกจากเธอไม่มีใครเห็นจริงๆ สินะ” เฮเรนน่าสูดลมหายใจอย่างควบคุมอารมณ์
“จุดพลังสีฟ้าอมเขียวมันปรากฏมาตรงหน้าพระราชวัง หลังคุณ มันมาพร้อมกับพวกปิศาจ”
“ทำไมเธอถึงรู้”
“ก็ฉันเห็นมัน”
“ฉันจะเชื่อเธอได้แค่ไหน”
“ฉันไม่ได้ข้อร้องให้คุณเชื่อ แต่ถ้าคุณยังขวางฉันต่อไป ฉันก็จะยืนมองดูพวกปิศาจพังทลายบ้านเมืองของคุณให้พินาศเหมือนกัน” หญิงสาวเก็บดาบก่อนจะเอามือกอดอกหันหน้าหนีเหมือนเด็กที่ถูกขัดใจ และเพราะเกลไม่มีทางเลือกมากนัก เขาจึงต้องเสี่ยงที่จะทำตามที่เธอบอก
“ก็ได้ ฉันจะดูว่าเธอจะทำได้จริงอย่างปากพูดไหม ถ้าไม่จริงล่ะก็เตรียมรับโทษได้เลย” เฮเรนน่าไม่สนใจคำขู่ เธอสนใจสิ่งตรงหน้ามากกว่า เกลหลีกทางให้เธอ หญิงสาวเคลื่อนตัวไปไกลจุดกำเนิดพลังบางอย่าง แม้สีของมันจะสวยงามเหมือนน้ำทะเล แต่กลิ่นอายความชั่วร้ายกลับคละคลุ้งไปหมด พวกปิศาจเดินทางข้ามมิติผ่านเข้ามาทางนี้
หญิงสาวเลื่อนมือไปแตกจุดกำเนิดพลัง ก่อนจะพบว่าพลังชั่วร้าพวกนั้นวิ่งเข้ามาตามมือของเธอ และไปหยุดหายตรงที่เป็นส่วนของตราสัญลักษณ์ และเพื่อความแน่ใจเธอเปิดตรานั้นออกมาดูเล็กน้อยและรับพลังนั้นเข้ามาอีก ทำให้เธอพบว่าเมื่อพลังพวกนั้นเข้าสู่ร่างกายเธอมันจะถูกกักเก็บและปิดผนึกเอาไว้ถายใต้สัญลักณ์นี้ มันจะมีการเคลื่อนไหวพร้อมกับเจ็บปวดทุกครั้งที่ดูดพลังงานเหล่านั้นเข้ามาได้
เฮเรนน่าหลับตาลงเพื่อรวบรวมสมาธิ การทำลายจุดกำเนิดพลังนี้ต้องทำทีเดียว และการทำลายมันคงต้องใช้พลังและความอดทนมหาศาลที่จะรับมันเข้ามา มันคงเจ็บปวดทรมานพอดู แต่เพราะมีเธอเท่านั้นที่เห็นมัน เธอเท่านั้นที่ทำได้ หน้าที่นี้จึงตกเป็นของเธอ
เธอยื่นมือออกไปข้างหน้าทั้งสองข้างพร้อมกับเพ่งจิตส่งพลังเวทย์ของตัวเองเข้าไปผสมกับจุดพลังด้านใน เพื่อให้มันเกิดอาการปั่นป่วน เมื่อจุดกำเนิดพลังนั้นเริ่มสั่นสะเทือน พวกปิศาจก็ดูเหมือนจะอ้อนแรงลงตามไปด้วย เฮเรนน่าจึงปล่อยพลังเวทย์ของตัวเองตามเข้าไปอีกครั้ง ในปริมาณที่มากกว่าเดิม การสั่นสะเทือนของจุดพลังรุนแรงขึ้นจนเกิดลมพายุพัดไปทั่ว เกลที่ยืนมองการกระทำของหญิงสาวอย่างแปลกใจ เขาไม่เห็นต้นตอ สิ่งที่เขาเห็นมีเพียงผลกระทบเท่านั้น
และแล้วจุดพลังก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ และนั้นทำให้เกลได้เห็นพลังสีฟ้าอมเขียวที่เฮเรนน่าพูด มันถูกนำกลับมารวมกันอีกครั้ง แล้วพุ่งเข้าไปในร่างของเฮเรนน่า หญิงสาวต้านรับพลังที่เข้ามาจนหมด เพราะพลังที่หลังไหลเข้ามาทำให้ตราสัญลักษณ์ขยับมากไปตาม ความเจ็บปวดจึงแล่นเข้าหาร่างกายของเธอแทบจะทุกอนู ร่างของหญิงสาวที่หมดแรงทั้งกายและเวทย์ค่อยๆ ตกลงสู่เบื้องล่าง ชายหนุ่มที่เฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดรีบไปคว้าเธอไว้ทันที
“เธอไม่เป็นไรใช่ไหม” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าที่คุยกันในตอนแรก จะบอกว่าไม่เป็นไรคงไม่เต็มปากนัก เพราะเลือดกำเดาที่ไหลออกมาทางจมูกทำให้เขารับรู้ว่าเธอได้ผลกระทบกระเทือนไม่มากก็น้อย
เพราะมัวแต่เฝ้ามองหญิงสาวตรงหน้า เขาจึงไม่ทันสังเกตว่าพวกปิศาจที่หลุดเข้ามาล้มตายเองระเนระนาด ราวกับว่าพวกมันขาดพลังที่คอยอุ้มชูเอาไว้ เมืองอเล็กซิส์กลับมาสงบแล้ว โดยคนๆ นั้นไม่ใช่ใครอื่น เฮเรนน่า เทรเวอร์ อาชญกร บุคคลทรยศคนนี้นี่เอง
“มีเหตุผลอะไรที่เธอถึงเอาตัวเองเข้ามาเสี่ยง เฮเรนน่า” เกลพึมพำถามเธอ แต่ตอนนี้เธอสลบไปแล้ว ตอนนี้เธอสำหรับคนทั้งโลกก็ไม่ต่างอะไรกับบุคคลอันตราย แต่เธอกลับช่วยทุกคนโดยไม่มีการเอื่อนเอ่ยข้อแลกเปลี่ยนใดๆ ทั้งนั้น
“แต่เธอก็ยังผู้ต้องสงสัยในคดีนี้อยู่ดี” นั้นคือคำตอบที่เกลให้ได้กับเธอ