บทที่ 9   1/    
已经是第一章了
บทที่ 9
เฮเรนน่าออกเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ที่มีการเกิดของจุดกำเนิดพลัง รอบๆ เมืองหลวงอเล็กซิส์ แต่ไม่มีที่ไหนยิ่งใหญ่และยุ่งยากเท่าครั้งแรกที่เกิดในอเล็กซานเดรียสักครั้ง แม้ว่าการร่วมงานกันจะทำให้ความสัมพันธ์ของเธอกับคนอื่นๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่กับเกลเธอก็ยังไม่พัฒนาไปไหนอยู่ดี เมื่อเกลก็ยังไม่ไว้ในเธอ และเธอเองก็ไม่อยากเป็นมิตรกับเกลเช่นกัน ไม่แปลกที่ทั้งคู่จะมีปากเสียงจนถึงทะเลาะกันรุนแรง “เฮเรนน่า เธอทำบ้าอะไรของเธอ” อีกครั้งที่ทั้งคู่ทำงานแล้วต้องกลับมาทะเลาะกันต่อที่คฤหาสน์ “ก็ช่วยไม่ได้นี่ มันจำเป็น” คนสร้างเรื่องทำหน้าตาใส่เขา “แต่นั้นมันวิหารทั้งหลัง เธอระเบิดวิหารทิ้งนะ” คนทำลายวิหารใจกลางเมืองทั้งหลังของเมืองเบธานีในราชอาณาจักรอเล็กซานเดรียยังคงทำหน้านิ่งอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร “ก็บอกแล้วไงว่ามันจำเป็น คุณพวกปิศาจมันกำลังทำร้ายคน ฉันก็ต้องการสิ” “ไม่มีใครบอกให้เธอทำลายวิหารหลวงทั้งหลังนะ” “วิหารพังก็สร้างใหม่สิ อเล็กซานเดรียรวยจะตาย” เกลเอามือกุมขมับกับความไม่รู้ไม่ชี้แต่ยังกวนประสาทของเธอ มีครั้งไหนบ้างที่ทำงานแล้วเธอไม่สร้างความเดือดร้อนให้เขา ทุกครั้งที่ออกไปกำจัดจุดกำเนิดพลังพวกนั้นเฮเรนน่ามักจะก่อเรื่องทุกครั้ง ไม่ทำลายวิหาร ก็ทำสะพานพัง หรืออะไรสักอย่างที่สร้างความพินาศ และคนที่ต้องส่งรายงานการทำงานทุกครั้งไม่ใช่เธอ แต่เป็นเขา และทุกครั้งเขาก็โดนด่าทุกครั้งเหมือนกัน “ท่านชายค่ะ แป้ง น้ำตาล ไข่หมดแล้วค่ะ” แม่บ้านคนหนึ่งวิ่งมาบอกเขา เขาพึ่งซื้อของพวกนี้มาเมื่อเดือนที่แล้ว ทั้งๆ ที่ของที่สั่งมาตุนไว้มันพอที่จะใช้ไปได้ตั้งหลายเดือนด้วยซ้ำ “อะไรนะ หมดอีกแล้วหรอ” “ค่ะท่านชาย เพราะช่วงนี้เราทำขนมทุกวันในจำนวนมากๆ ของที่ใช้เลยหมดไวค่ะ” นั้นเพราะตั้งแต่เฮเรนน่ามาอยู่ ที่ห้องครัวของเขาก็ต้องมีการทำขนมนานชนิดทุกวันในจำนวนที่กินได้หลายคน แต่นั้นสำหรับคนๆ เดียว เขาอยากส่งเธอคืนเจ้าชายเหลือเกิน ทำไมคนรับหน้าที่ดูแลต้องเป็นเขาด้วย เขากับเธอน่ะไม่สมควรมาร่วมงานกันด้วยซ้ำ “ทำไมเธอถึงได้กินล้างกินผลาญจังนะ” “ก็คนมันหิวนี่” เฮเรนน่ากินอาหารคาวจัดว่าน้อยมาก แต่สำหรับของหวานเธอกินได้ไม่มีอิ่ม แต่ทว่าตัวของเธอกลับเล็กกว่าคนที่ไม่กินของหวานซ่ะอีก “กินก็เยอะทำไมตัวถึงได้เล็กนัก” ในสายตาเขา เฮเรนน่าจัดว่าเป็นพวกน่าทะนุถนอม เพราะหน้าตาที่อ่อนหวานได้ทรงแม้จะดูหยิ่งๆ ก็เถอะ ผิวสวยยิ่งกว่าพวกลูกผู้ดี ส่วนหุ่นก็จัดว่าดีมาก แต่สำหรับเขาเธอผอมไปหน่อย “ไม่ได้กินเพราะชอบหรอกนะ แค่มันดีกว่าอย่างอื่นเท่านั้นเอง” เกลมองหน้าเธอ เขาไม่ได้บ่นอะไรต่อ เพราะไม่เข้าใจว่าเธอกำลังจะบอกอะไร “เฮเรนน่า!!! อยู่บ้านไหม ซื้อขนมมาฝาก” เสียงบีทรีซดังลั่น ก่อนที่เฮเรนน่าเดินไปหา ที่คฤหาสน์หลังนี้ถ้าไม่นับพวกแม่บ้าน ก็มีเพียงเกลกับเฮเรนน่าเท่านั้น “บีทรีซ” “ฉันซื้อขนมมาฝาก ช่วงนี้เป็นไงบ้างไม่ค่อยได้เจอ ที่โรงพยาบาลวุ่นวายเพราะคนเจ็บจากต่างเมือง” บีทรีซส่งถุงขนมถุงใหญ่ให้เธอ “ก็ดีนะ พวกปิศาจออกมาป่วนวุ่นวายดี แต่ก็แปลกที่พวกมันปรากฏแค่ที่อเล็กซานเดรีย” ทั้งสองพากันเดินมาที่ห้องนั่งเล่นส่วนตัว “ฉันกำลังคิดว่า อเล็กซานเดรียมีคนแบบเกลอยู่ไง พวกมันเลยต้องการถล่ม” “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันเล่า” คนเดินเข้ามาได้ยินพอดีโวยวายขึ้น คนนินทากลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ บีทรีซถึงกับหัวเราะออกมา เพราะปกติแล้วตั้งเธอรู้จักเกลมาเป็นสิบปี เกลเป็นพวกพูดน้อย ที่ไม่ค่อยมีคือโวยวายคนอื่น เกลจะเป็นพวกพูดน้อยต่อยหนัก และไม่ชอบที่จะแสดงอามรมณ์ แต่พอมาอยู่กับเฮเรนน่าไม่กี่วัน เขาก็ดูจะมีอารมณ์เป็นของตัวเองมากขึ้น “คุณมันน่าเบื่อ” “ยัยตัวแสบ! คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ฉันไม่จับเธอถ่วงน้ำแล้วเอาไปฝังในดินเพื่อแก้แค้นก็ดีเท่าไหร่แล้ว” “ถ้าทำแบบนั้น รับรอง อเล็กซานเดรียย่อยยับ” ทุกครั้งเขาก็ต้องยอมเธออยู่ดี ในตอนแรกบีทรีซเองก็กังวลเหมือนกันที่ต้องปล่อยให้ทั้งคู่อยู่กันตามลำพัง เธอกลัวว่าเกลจะทำอะไรเฮเรนน่าเพื่อแก้แค้นซ่ะก่อน แต่ตอนนี้เธอคิดแล้วว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้น อาจจะมีปากเสียงกันอยู่บ้าง แต่ก็ดูเหมือนเข้ากันได้ดี แม้ทั้งสองจะไม่รู้ตัวก็เถอะ “พูดสิว่าไม่สน” “ถ้าทุกอย่างเรียบร้อย ฉันฆ่าเธอแน่เฮเรนน่า” “กลัวจัง” คนฟังได้แต่อยากหัวเราะออกมาดังๆ เท่านั้น ท่านชายเกล โนเอลล์ผู้ยิ่งใหญ่ พ่ายแพ้อาชญากรสาวอย่างหมดท่า “นี่ๆ ทั้งสองคน ฉันมานี้ก็มีเรื่องจะบอกเหมือนกัน” “เรื่องอะไร” เกลหันมาถามบีทรีซ “พอดีว่าฉันได้ยินว่ามีผู้รู้เกี่ยวกับลูกแก้วมนตราอยู่ที่เมืองเบนจามิน พวกเธอลองไปตามหาสิ เผื่อได้อะไรมาบ้าง” “เบนจามินงั้นหรอ” “ใช่ คนที่มารักษาในโรงพยาบาลพูดน่ะ ฉันเลยไปถามเขา เขาบอกว่าเคยคุยเรื่องนี้กับคนๆ นั้น อาจจะไม่ค่อยน่าเชื่อถือ แต่ไปก็ไม่เสียหายนี่นา” คนฟังทั้งสองหันมามองหน้ากัน “ตกลง” ก่อนจะพูดพร้อมกัน บีทรีซจึงแอบอมยิ้มกับใจที่ตรงกันของทั้งคู่ เฮเรนน่าและเกลเดินทางมาที่เมืองเบนจามิน เมืองเล็กที่อยู่ชายแดนติดขอบทะเลของอเล็กซานเดรีย เนื่องจากที่นี้ไม่ได้เป็นเมืองท่าเรือเหมือนเมืองอังกูร ที่นี้จึงเงียบสงบและไร้ความวุ่นวายโดยสิ้นเชิง “แล้วคนที่ว่านั้นคือใคร” หญิงสาวหันมาถามชายหนุ่ม “แล้วฉันจะไปรู้หรือเปล่า” “เกลผู้ปราญเปรื่องช่างไม่รู้อะไรเลย” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบแต่คนฟังกลับรู้สึกว่าเธอกำลังล้อเลียนเขา “เฮ้! มันไม่ได้หมายความฉันต้องรู้ทุกเรื่องหรือเปล่า ยัยตัวแสบ” “ใครจะไปรู้ ปกติเห็นรู้แทบทุกเรื่อง” “เออ!” เขาขี้เกียจเถียงกับเธอแล้ว ก่อนจะเดินเข้าไปสอบถามคนในเมืองแทน ก่อนจะได้ความมาว่า คนๆ นั้นเป็นนักบวชอยู่ในวิหารท้ายเมือง แต่พอหันกลับมาอีกที เฮเรนน่าก็หายไปแล้ว “เฮ้ย!! ไม่ทำตัววุ่นวายสักวันจะได้ไหมเนี่ย” ชายหนุ่มบอกอย่างปวดประสาท เฮเรนน่าไม่เคยทำให้ชีวิตของเขาสงบเลยสักวัน เฮเรนน่าเดินออกมาจากตัวหมู่บ้านเข้าไปในป่าที่อยู่ข้างๆ เพราะเธอคิดว่าเจอใครบางคนที่รู้สึกจะคุ้นเคย แต่เมื่อเธอเดินตามเข้ามาลึกขึ้น ก็พบว่าคนๆ นั้นหายไปแล้ว เธอเลยคิดที่จะเดินออกจากที่นี้ แต่พบว่ามีอะไรบางอย่างกำลังพุ่งเข้ามาตัวเธออย่างรวบเร็ว ก่อนจะกระแทกร่างเธอไปติดกับต้นไม้ใหญ่ “เฮเรนน่า!! ใครใช้ให้เธอออกมาเดินเล่นกัน!” คนที่เข้าประชิดตัวเธอแยกเขี้ยว ไม่มีใครเข้าถึงตัวเธอได้เร็วขนาดที่ทำให้เธอไม่ได้ตั้งตัวมานานแล้ว “ทำคนอื่นเขาตกใจ นิสัยเสีย” “คนที่ควรจะด่าคือฉันไม่ใช่เธอ!” “อ่าวหรอ” “นี่เวลาทำผิด หัดยอมรับผิดแบบโดยดีมั้งได้ไหม” “หรอ” คนหน้าตายยังคนทำหน้าตายอยู่วันยันค่ำ เกลไม่เคยอยากจะต่อยหน้าผู้หญิงคนไหนมาก่อน เท่ากับเธอคนนี้ที่ไม่ใช่แค่อยากต่อย เขาอยากจะจับเธอโยนลงในบ่อค็อกคากี้ด้วยซ้ำ (สัตว์เลื้อยคลานตัวโตดุร้าย กินเนื้อทุกชนิดเป็นอาหาร รูปร่างเหมือนกับจระเข้ แต่ใหญ่กว่าและเขี้ยวใหญ่มาก) “เฮเรนน่า! อยากโดนลงโทษมากใช่ไหม” “เปล่านี่” “ถ้ายังไม่หยุดกวนประสาท สาบานว่ากลับไปเธอเจ็บตัวแน่” เกลใช้มาตรการไม้แข็งใส่เธอ ดูท่าหลายวันมานี้เขาจะใจดีเกินไป เฮเรนน่าเบือนหน้าหนีเขาอย่างไม่อยากพูดต่อ เกลน่ะเธอสามารถกวนประสาทได้ก็จริง แต่เวลาที่โหดก็เอาเรื่องเหมือนกัน “แล้วคุณจะอยู่แบบนี้กับฉันอีกนานไหม” เฮเรนน่าถาม เพราะสภาพเธอกับเกลตอนนี้แทบจะจูบกันได้อยู่แล้ว ก็เกลเล่นเอามือสองข้างมาพิงกับต้นไม้กั้นเธอไว้ แล้วเอาหน้ามาชิดขนาดนี้กลัวไม่รู้หรือไงว่ามองใกล้ๆ ก็ยิ่งหล่อ “ไปกันได้แล้ว เธอช่วยอยู่ให้สงบหน่อยนะ ฉันปวดหัว” เกลเอามือออกจากต้นไม้ ก่อนจะคว้ามือเฮเรนน่าแล้วพาเธอเดินตามไป ทั้งคู่มาถึงหน้าวิหารเบนจามิน ก่อนจะบอกกับคนที่ออกมาต้อนรับว่าต้องการพบท่านนักบวชลอแกรนด์ เธอจึงบอกให้พวกเขานั่งรอก่อน และจะไปตามท่านนักบวชมาให้ “เข้าไปทำอะไรในป่า” “ตามหาดอกไม้” คำตอบที่ได้ทำให้เกลเอามือทุบหัวเธอไปหนึ่งทีข้อหาหมั้นไส้ “เอาจริงๆ” “ฉันแค่รู้สึกเหมือนเจอคนรู้จักเท่านั้นแหล่ะ ก็เลยตามไป แต่ปรากฏว่าพลัดหลง” เกลเลิกคิ้วอย่างไม่อยากเชื่อนัก เดินตามคนไปแต่ดันพลัดหลงเนี่ยนะ “ฉันหาคนๆ นั้นไม่เจอจริงๆ ก็เลยจะกลับ คุณนั้นแหล่ะตามมาก่อน” ก่อนที่เกลจะได้พูดอะไรต่อไป นักบวชหญิงชราคนหนึ่งก็เดินมาพวกเขา ทั้งคู่จึงลุกขึ้นเพื่อนทำความเคารพ ก่อนที่เฮเรนน่าจะเข้าไปช่วยประคองให้ท่านนักบวชมานั่งที่เก้าอี้ “พวกลูกหรือที่ต้องการจะพบแม่” นักบวชชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ขอโทษที่มารบกวนค่ะคุณแม่ หนูมีเรื่องอยากจะถามเกี่ยวกับลูกแก้วมนตรา” เฮเรนน่านำเข้าเรื่องทันที หญิงชรายิ้มเมื่อได้ฟังคำถามนั้น ก่อนจะเอ่ยปากขึ้นมาว่า “ลูกแก้วมนตรางั้นหรือ ของอันตรายเกิดอะไรขึ้นกับมันงั้นหรือ” เกลกับเฮเรนน่าหันมามองหน้ากัน ก่อนที่หญิงสาวจะหันตอบหญิงชรา “หนูทำมันแตกค่ะ” “ลูกแก้วแตก” หญิงชราถามย้ำเพื่อความแน่ใจ “ค่ะ หนูจำเป็นต้องหยุดมัน หนูจึงทำมันแตก” “นั้นเป็นเรื่องใหญ่มากนะลูกสาว ลูกแก้วมนตรามีฤทธิ์มากมายมหาศาล มันคือลูกแก้วที่กักพลังของเจ้าจอมปิศาจทั้ง 12 ตัว” นักบวชลอร์แกรนด์เอื้อมมือมาจับมือเนียนนุ่มของหญิงสาว “มาอะไรผิดปกติในตัวของลูกใช่ไหม” เธอพยักหน้า “มันมีคำสาปย้อนกลับมาทำร้ายหนู” “ลูกรู้ไหม ถ้าลูกไม่ใช่ซินเธียที่มีพลังสูงจนต้านคำสาปไว้อยู่ ลูกอาจจะตายตั้งแต่คำสาปยังไม่ถูกฝั่งไปจนหมดด้วยซ้ำ” เฮเรนน่าเงียบ เธอไม่รู้ว่าคำสาปนี้มันร้ายแรงแค่ไหน คงต้องให้ผู้รู้บอกเท่านั้น “ในอดีตตกาลเมื่อหลายร้อยปีก่อน บนโลกของเราไม่ได้มีแค่เผ่าพันธ์มนุษย์หรืออมนุษย์เท่าที่เห็นเท่านั้น ยังมีสิ่งมีชีวิตที่ชั่วร้ายและชอบเบียดเบียนผู้อื่นอยู่อย่างพวกปิศาจอยู่ด้วย พวกมันมักจะกินเลือดของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เป็นอาหาร เวลาออกล่าจะออกล่าเป็นฝูงและจำนวนมาก และยังแบ่งแยกไปอีกหลากหลายสายพันธ์ และแน่นอนว่าในสมัยนั้นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดย่อมยืนหยัดได้ จึงมีเพียงปิศาจเท่านั้นที่เป็นผู้ล่า สิ่งมีชีวิตอื่นได้แต่ถูกล่าเท่านั้น” “พวกปิศาจแบ่งออกเป็น 12 สายพันธ์ คือดิน น้ำ ลม ไฟ ไม้ สายฟ้า ความมืด แสง เงา หมอก เหล็ก และไร้ธาตุ นอกจากนั้นยังมีแยกจำพวกย่อยๆ ลงไปอีก แต่พวกมันมีเจ้าที่ปกครองตามแต่ล่ะสายพันธ์ พวกมันถูกเรียกว่าเจ้าจอมปิศาจทั้ง 12 ไม่ว่าจะเป็นสายพันธ์ไหนก็โหดร้ายไม่แพ้กัน ในทุกๆ ปี จะมีการแข่งกันออกล่าเพื่อประกาศสักดาความยิ่งใหญ่ของพวกมัน แต่นานๆ ไปพวกมนุษย์และอมนุษย์ก็ยิ่งลดจำนวนลงไปอย่างน่าใจหาย ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ซากศพเกลื่อนกลาดไปหมด โลกตอนนั้นน่าหดหู่ยิ่งกว่ายุคสงครามในตอนนี้ซ่ะอีก” ทั้งสองคนนั้นฟังอย่างสงบพร้อมกับนึกภาพตาม “โลกในตอนนั้นสิ่งเดียวที่พอจะยึดเหนี่ยวจิตใจของพวกที่ไม่ใช่ปิศาจได้ก็เห็นจะมีเพียงแค่เทพเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทพฮัลวาร่า ที่ทุกคนในตอนนั้นนับถือมากที่สุด มนุษย์และอมนุษย์ต่างพากันมาสวดมนต์อ้อนวอนให้พวกปิศาจหายไปจากโลกสักที พวกมันก่อหายนะไม่รู้จบมานาน และถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป อีกไม่นานโลกนี้ก็คงไร้ซึ่งมนุษย์และเหลือไว้ซึ่งแต่พวกปิศาจ” “เทพฮัลวาร่านี่คือใครหรอค่ะ” เฮเรนน่าเอียงคอถามอย่างสงสัย เกลขมวดคิ้วมองเธออย่างตำหนิมีใครไม่รู้จักเทพเฮเรนด้วยหรือในโลกนี้ แต่หญิงชรากลับยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน “เทพฮัลวาร่า เป็นเทพผู้ปกป้องโลกของเรา ที่จริงก็มีหลายองค์ แต่เทพฮัลวาร่าเปรียบเสมือนผู้นำในการปกป้องโลก ท่านเป็นหญิงสาวที่สวยสดงดงามจนมิมีใครเทียบเทียมได้ แถมยังมีจิตใจที่ประเสริฐพร้อมจะเมตตาสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก แต่แน่นอนว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจะต้องมีความดีเช่นกัน ตรงนั้นคือรูปวาดเสมือนท่านเทพฮัลวาร่าจ๊ะ” เฮเรนน่าหันมองตามมือของลอแกรนด์ บนฝาผนังของวิหารมีรูปหญิงสาวรูปงามในชุดเกาะถือดาบอยู่ เธองดงามอย่างที่หญิงชราบอกจริงๆ และในขณะเดียวกันก็ดูเข้มแข็งมากด้วย และเธอมีผมสีเดียวกับเฮเรนน่า “คนวาดเคยเห็นหรอค่ะ” “ไม่จ๊ะ เพียงแต่การบอกเล่าและถ่ายทอดลงบนจินตนาการเท่านั้น แต่ลักษณะเด่นก็คือท่านมีสีผมสีเดียวกับลูก” “น่าสงสารนะคะ หนูไม่ค่อยเห็นมีใครมีสีผมสีนี้” ใช่มันแปลกประหลาดเพราะว่ามันไม่ยอมแดงจัดหรือขาวสนิท มันกลับอยู่ครึ่งๆ กลางๆ “มันเป็นสีพิเศษ ลูกไม่คิดแบบนั้นหรือ” เฮเรนน่าไม่ได้ตอบอะไรไป เธอไม่ได้ชอบมันนักหรอกแม้หลายคนจะบอกว่าสวยก็เถอะ “กลับเข้าเรื่องดีกว่า เทพฮัลวาร่ามายังโลกของเราเพื่อกำจัดพวกปิศาจ แต่ท่านไม่สามารถทำด้วยตัวคนเดียวหรอกนะ เพราะตอนนั้นท่านต้องรวบรวมกองกำลังมากมายจากคนที่พอจะสู้ได้ด้วยเพื่อไปต่อกรกับพวกมัน ท่านใช้เวลาพอสมควรในการรวบรวมกองทัพ และกำลังของเรามีน้อยกว่าเยอะมาก แต่เพราะแรงใจที่ท่านส่งไป ทำให้ทุกคนฮึดขึ้นสู้ กลุ่มของเทพฮัลวาร่าเข้าต่อกรกับเหล่าจอมปิศาจทั้ง 12 เมื่อพวกมันพ่ายแพ้แต่กลับยังหลงเหลือเศษเสี้ยววิญญาณและจิตใจเอาไว้ ไม่นานพวกมันจะต้องไปเกิดใหม่ และโลกคงไม่แคล้วที่จะวุ่นวายอีกครั้ง ท่านจึงสร้างลูกแก้วมนตราขึ้นเพื่อกักเก็บพลังของมันเอาไว้ โดยลงไปพร้อมคำสาปถ้าผู้ใดทำลายลูกแก้วเพื่อเปิดผนึกปิศาจ ผู้นั้นจะต้องโดนคำสาปติดตัวไปตลอดชีวิต จะพ้นคำสาปได้ก็ต่อเมื่อรวบรวมดวงจิตของจอมปิศาจทั้งสองกลับคืนมาไว้ในลูกแก้วเหมือนเดิม ส่วนพวกปิศาจถูกส่งข้ามไปยังมิติอื่นที่ว่างเปล่า” เจ้าของคำสาปนิ่งไปสักพักเธอกำลังประมวลผลข้อมูลใหม่ที่ได้รับมา ก่อนจะเงยหน้าถามว่า “แล้วถ้าคนที่โดนคำสาปตายก่อนล่ะค่ะ” “มันจะถูกตกถอดไปยังรุ่นลูกรุ่นหลาน แต่ถ้าผู้ใดไม่มีทายาทมันจะส่งต่อให้ใครคนใดคนหนึ่งที่มีสายเลือด เพียงแค่เสี้ยวเดียวก็ตาม ผู้ที่มีคำสาปนั้นจะติดตราด้วยสัญลักษณ์แห่งบาป เธอจะต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำไปชั่วชีวิต แม้จะไม่ได้เป็นคนก่อก็ตาม” “มันมีวิธีแก้วิธีเดียวหรอครับ” เกลถามขึ้นบ้าง เมื่อเห็นคนข้างๆ เขาเริ่มเครียด เธอไม่ได้เครียดเพราะมีคำสาปนั้น เธอเครียดเพราะหากเธอตายไฟก่อน คำสาปนี้จะย้อนกลับไปหาผู้ที่สายเลือดเดียวกับเธอต่างหาก เธอไม่สบายใจถ้าพวกเขาจะต้องมาทำอะไรเช่นเดียวกับเธอ “ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว พวกลูกต้องตามดวงจิตของจอมปิศาจกลับมาให้เร็วที่สุด ก่อนที่คำสาปมันจะฆ่าตัวลูกเอง” “หนูไม่มีทางเลือกอื่นใช่ไหมค่ะ” “เฮเรนน่าเอ๋ย โชคดีนักที่คำสาปมาหาลูก เพราะถ้าเป็นคนอื่นเป็นไปได้ยากที่จะทำได้เท่าที่ลูกทำ เฮเรนน่าเอ๋ยลูกคือความหวังของคนทั้งโลก ลูกต้องช่วยพวกเขา ต่อให้พวกเขาจะเกลียดชังลูกแค่ไหน แต่ลูกต้องปกป้องพวกเขา” “หนูอาจจะไม่ได้ใจดีอย่างเทพฮัลวาร่า” “จิตใจของลูกมันขาวมากนักเฮเรนน่า ลูกรู้ใจตัวเองอยู่เต็มอกว่าลูกควรทำอย่างไร” “ลูกแก้วมันแตกไปแล้ว หนูจะหาที่ไหนมาใส่” “ลูกแก้วมันอยู่ในตัวของลูกตั้งแต่แรกแล้ว จากนี้โลกจะวุ่นวายมากกว่าเดิม ยุคสงครามยังคงดำเนินต่อไป แต่ยุคที่ปิศาจจะกลับมาก็ยังเกิด ทั้งนี้เพราะพวกมนุษย์มีตัณหาต้องการอำนาจไม่สิ้นสุด เดือดร้อนถึงสิ่งมีชีวิตที่หลับไหลต้องกลับมา ทุกๆ อย่างล้วนเป็นฝีมือมนุษย์ มนุษย์ด้วยกันเอง จึงต้องเป็นคนรับผิดชอบ” “เทพฮัลวาร่าไม่กลับมาแล้วค่ะ” “เทพฮัลวาร่าทำหน้าที่ได้ดีที่สุดแล้ว เฮเรนน่าเอ๋ยต่อไปนี้คือหน้าที่ของลูก แม่เชื่อว่าลูกต้องทำได้” หญิงชราบีบมือหญิงสาวอย่างให้กำลังใจ “หนูไม่รับปากว่าจะทำได้แค่ไหน แต่หนูจะทำให้ดีที่สุดค่ะ” เฮเรนน่าพูดออกไปด้วยดวงตาที่เป็นประกาย จนชายหนุ่มอดลอบยิ้มไม่ได้ “แม่อวยพรให้ลูกทั้งสองโชคดี” ตั้งแต่กลับจากวิหารมา เฮเรนน่าก็เงียบมาตลอด เธอดูเครียดๆ ไปแม้จะไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า แต่ท่าทางจะเห็นได้อย่างชัดเจน ถึงกับบอกแม่บ้านให้เก็บขนมเอาไว้ก่อนทั้งๆ ที่เวลานี้เธอต้องเดินมาหากินถึงในครัว ด้วยสาเหตุเอาไปบริการไม่ทันใจ แม้ในตอนแรกแม่บ้านหลายคนจะดูกลัวเธออยู่บ้างเมื่อรู้ว่าเป็นใคร แต่พอนานๆ ไปพวกเธอก็เริ่มคุ้นเคยและเฮเรนน่าไม่ได้น่ากลัวอย่างที่พวกเธอคิด แต่เกลก็ยังคิดอยู่ดีว่าอย่างเฮเรนน่าที่ท่านนักบวชออกมาปากว่าเธอจิตใจขาวสะอาดนักจะฆ่าคนๆ หนึ่งที่ไม่รู้เรื่องอะไรได้ลงคอเลยหรือ “แปลกนะ ไม่ยักจะสนใจขนม” เธอหันหน้ามามองคนที่เข้ามาคุยด้วยในห้องนอนของเธอ เกลเข้าออกห้องนอนของเธอได้เป็นเรื่องปกติ เพราะด้วยความไว้วางใจเธอจึงไม่เคยล็อกประตูห้อง หรือต่อให้ล็อกเกลก็เข้ามาได้ “ไม่อยากกิน” “เครียดงั้นหรอ” “หน้าฉันเครียดหรอ” เกลเลิกคิ้วพลางโคลงศรีษะอย่างหน่ายใจ บางทีเฮเรนน่าอาจจะไม่ได้เป็นอะไรก็ได้ “ไม่เลย” “ก็ใช่น่ะสิ” “ก็เธอมันไม่เคยแสดงออกทางสีหน้า เฮ้อ...คุยกับเธอแล้วปวดหัวจริง” “นั้นสิ คิดมากไปก็ไม่ช่วยอะไรนี่นะ แต่ทำไมฉันต้องมารับใช้ความผิดที่ไมได้ก่อทุกทีเลย คุณว่าไหม” เธอสูดหายใจเข้าก่อนจะถอนมันออกมาราวกับกำลังเรียกกำลังใจตัวเอง แล้วลุกขึ้นจากเตียง “ไปกินขนมดีกว่า” เธอบอกก่อนจะออกจากห้องไป เกลส่ายหน้ากับท่าทีของเธอ เฮเรนน่าไม่ใช่คนที่พูดความรู้สึกตัวเองออกมาง่ายๆ เขารู้ แต่สิ่งที่เธอบอกออกมาจากคำพูดที่หลายคนคิดว่ามันไม่มีอะไร
已经是最新一章了
加载中