บทที่ 2 - คุณคือใคร   1/    
已经是第一章了
บทที่ 2 - คุณคือใคร
บทที่ 2 คุณคือใคร “ไอริสไปไหนมาเนี่ย ทำไมไม่ไปที่ห้องประชุม” เมื่อก้าวแรกเหยียบเข้าห้องเรียนคำแรกที่ไอริสได้ยิน คือเสียงต่อว่าที่เหมือนกับเป็นคำทักทายแซวเล่นของเพื่อนสนิท เจ้าตัวยักไหล่สื่อไปว่าตัวเองขี้เกียจที่จะพูดเรื่องนี้ก่อนจะหลบไปนั่งที่ของตัวเอง โดยที่นั่งของเธอเป็นข้างหลังสุดที่ติดหน้าต่าง แต่แทนที่จะรู้สึกเป็นส่วนตัว เธอกลับรู้สึกแปลก ๆ ราวกับถูกจับตาอยู่ตลอดเวลา แต่พอมองหาความรู้สึกนั้นก็พลันหายไป อาจเป็นเพราะวันนี้เธอป่วยละมั้ง...เธอสรุปเองในใจ หลังจากนั้นไม่นานนัก ไอริสเงยหน้าขึ้นไปมองไปยังหน้าห้อง ก็ได้พบกับ ร่างสูงโปร่งอวบอิ่มของหญิงสาวที่อายุเกือบเข้าเลขสามเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าระบายไปด้วยรอยยิ้มหวาน เธอมีผมยาวสีบลอนทองสยายปล่อยทิ้งลงกลางหลัง สวมชุดสีขาวรัดรูป ที่เห็นปกติจนชินตา เผยให้เห็นทรวดทรงและหน้าอกใหญ่ คนคนนี้คืออาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์เรเชล มิเรจ เป็นผู้มีนิสัยร่าเริงตลอดเวลา แต่ในความสดใสกลับมีท่าทีร้ายลึกซ่อนเอาไว้อยู่ อย่างเช่นวิธีการควบคุมนักเรียนของเธอมักจะแปลกประหลาดจนหลาย ๆ คนไม่อาจเข้าถึง และไม่อยากจะรับรู้ ใครก็ตามที่เคยโดนลงโทษ ล้วนแต่พากันขยาดอาจารย์เรเชลกันทั้งหมด ทว่าไอริสไม่ใช่คนที่ชอบสุงสิงกับเรื่องของผู้ใหญ่ เธอมักอยู่เงียบ ๆ ไม่เห็นเป็นที่สนใจ แต่การกระทำแบบนี้ยิ่งทำให้อาจารย์เรเชลสนใจเธอมากเป็นพิเศษ “สวัสดี นักเรียนที่รัก อย่างที่ทราบกันไปแล้วว่าเรามีนักเรียนใหม่ย้ายมาทั้งหมดสี่คน เป็นโชคดีของพวกเราที่พวกเขาอยู่ชั้นเดียวกับพวกเรา ทำให้หนึ่งในสี่จะมาอยู่ห้องเดียวกัน ขอให้ทุกคนต้อนรับเพื่อนใหม่ด้วยนิสัยดี ๆ ล่ะ นักเรียน... เชิญเข้ามาเลยจ้ะ” จบคำเชื้อเชิญจากอาจารย์สาว ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินเข้ามา คนคนนี้มีผมขาวราวหิมะ ดวงตาสีแดงหม่นแสงเหมือนกับอัญมณี ตัดกับผิวที่ขาวซีด มองดูแล้วให้ความรู้สึกงดงามราวกับไม่ใช่คน ไอริสเบิกตากว้างตัวแข็งทื่อตกใจ ในเมื่อชายหนุ่มคนนี้ที่เธอกำลังเผชิญหน้า มีเคล้าโครงเหมือนกับหญิงสาวผมขาวในฝันเหลวไหลของเธอไม่มีผิด สายตาของทุกคนจ้องมองไปยังนักเรียนใหม่ด้วยแววตาชื่นชม มีเพียงไอริสที่ยังแสดงอาการตกใจออกมาไม่ปิดบัง จนทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัวถึงสายตาแปลก ๆ ที่จ้องมองมา จึงเลือกที่จะมองกลับไป ทันทีที่สายตาของทั้งคู่ผสานกัน ดวงตาสีแดงเองก็ฉายแววประหลาดใจออกมาเช่นกัน แต่เป็นการประหลาดใจประเภทที่คนรู้จักสองคนกลับมาพบกันโดยบังเอิญ เมื่อไอริสสบสายตากับดวงตาสีแดงฉานคู่นั้น เธอก็เริ่มปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรงราวกับหัวจะระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ พานให้เลือดในกายเธอก็เดือดพล่าน ควรจะร้อนรุ่มแต่ความหนาวเหน็บกลับเกาะกุมไปทั่ว ไอริสไม่สามารถทนความเจ็บปวดทรมานนี้ได้ มือทั้งสองข้างของจับแน่นไปที่ขมับ ฟันขบกันแน่น และใบหน้าก็ก้มลงไปจนหน้าผากแนบติดที่โต๊ะ แต่ถึงจะเจ็บแค่ไหนก็ไม่มีเสียงร้องหลุดออกมา คนที่เห็นอาการนี่มีเพียงอาจารย์เรเชล และชายหนุ่มผู้มาใหม่ เธอหวังให้พวกเขาช่วย แต่ทว่าทั้งคู่กลับมองเธอด้วยสายตานิ่งเฉย ราวกับสิ่งที่เห็นเป็นเพียงเรื่องปกติ แล้วสุดท้ายไอริสก็ทนไม่ไหวที่จะอยู่ต่อ มือเรียวขาวยันกายลุกขึ้นข่มความเจ็บปวดไว้ในส่วนที่ลึก เธอเงยหน้าสบตาของชายหนุ่มอีกครั้ง ก่อนจะเบนสายตาไปมองที่อาจารย์สาว “วันนี้ ไอริส แกรน ขอลาป่วยค่ะ” เสียงหวานนุ่มเค้นคำพูดแต่ละคำออกมาอย่างทรมาน ไร้เสียงคัดค้าน ไร้เสียงตอบรับ ท่ามกลางสายตาของเพื่อนในห้องที่หันมองมา ไอริสไม่สนใจใครอีก มือข้างหนึ่งหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย ส่วนอีกข้างยังคงจับอยู่ที่หัวและวิ่งออกไปทันที เมื่อออกมานอกห้องถึงเริ่มรู้สึกดีขึ้น ร่างบางเดินไปเรื่อย ๆ ตามระเบียงทางเดินอย่างไม่รีบร้อนจนกระทั่งถึงบันได ในตอนนั้นเองเธอก็พบกับชายหนุ่มอีกคนที่มีเรือนผมสีดำสนิท คราวนี้แค่เห็นเพียงชั่ววูบ หัวใจก็พลันเจ็บแปลบขึ้นมา พร้อมกับอาการปวดศีรษะหนักขึ้นกว่าเก่าราวกับโดนบีบรัดด้วยเหล็กร้อน ไอริสแทบอยากจะเป็นลมให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็ทำไม่ได้ ก่อนที่ชายหนุ่มผมดำจะได้เงยหน้าขึ้นมาสังเกต เธอก็ได้หลบไปอยู่อีกข้างของบันได เขาที่เดินไปอีกฝั่งจึงไม่ทันได้เห็นหญิงสาว ไอริสถอนหายใจโล่งอกออกมา แต่ก็แอบคิดในใจว่าทำไมต้องหลบเขาด้วย หญิงสาวเลือกที่จะนั่งจมอยู่กับความสับสนอีกสักพัก รอให้อาการปวดประหลาดหายไป จนเมื่อคิดว่าคงดีขึ้นแล้วก็คิดจะกลับบ้าน แต่ทันทีที่ลุกขึ้นสติทั้งหมดก็พลันดับลง “โอลิเวีย... เจ้าแน่ใจแล้วหรือ” สิงโตสาวรูปร่างองอาจแสนสง่างามยืนอยู่ข้าง ๆ ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง ร่างบางในชุดกระโปรงราตรีสีดำยาว นิ่งเงียบไม่ตอบคำถามใด ๆ มือข้างขวากำมีดน้ำแข็งอันเย็นเยียบ ลวดลายที่ด้ามจับถูกสลักลายกุหลาบแลดูสวยงาม และในขณะเดียวกันก็ดูน่าสะพรึงเมื่อมันได้อยู่ในกำมือของหญิงสาวผู้มีสีหน้าไร้อารมณ์ มีเพียงดวงตาสีแดงฉานฉายแววตาโหดเหี้ยมน่าเกรงกลัวออกมา มือบางกระชับมีดในมือแน่นมากขึ้น พื้นหิน พื้นดิน เจิ่งนองไปด้วยแอ่งน้ำจากฝนที่ตกชำระล้าง ทว่าท้องฟ้าก็ยังคงหม่นหมองไม่อาจชำระจิตใจของเธอ โอลิเวีย... “ไบท์” เธอเรียกชื่อของสิงโตที่เป็นเหมือนเพื่อนคู่ใจออกมาด้วยน้ำเสียงที่หวานแฝงไปด้วยความเศร้า “อะไร” “หลังจากนี้สามวัน ทุกคนในโรงเรียนโพลาเดียจะไปอยู่อีกมิติหนึ่งไร้ซึ่งเหล่า อสูร เทพ ปีศาจและภูต เจ้ามีหน้าที่ไปบอกกับพี่น้องอีกสามคนของข้าว่า หากมีใครที่จำอดีตได้แต่ข้ายังไม่รับรู้ ขอให้ช่วยปิดเรื่องนี้เป็นความลับ ช่วยทำให้ข้าลืมสิ้นทุกอย่างในที่แห่งนี้ ต่อไปนี้ข้าคือ ‘ไอริส แกรน’ ผู้หญิงธรรมดา ส่วนเจ้าถ้าหากไปอยู่ที่นั่นจะกลายเป็นเพียงรูปปั้นของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ข้าให้ทางเลือกกับเจ้า หากปรารถนาจะติดตามข้าไปก็จงรออยู่ที่ในโรงเรียนซะ ห้ามบอกเรื่องนี้กับใคร นอกจากสามคนนั้นเด็ดขาด” เมื่อกล่าวจบเธอก็เหม่อมองท้องฟ้าสีแดง ริมฝีปากบางสีแดงสดเหยียดยิ้ม ทางที่เธอเลือกคือทางที่สอง ทางแรกคือการมอบตัวให้กับเหล่าอสูรแต่ถ้าหากทำแบบนั้นผู้ชายงี่เง่าอย่างหมอนั้นจะต้องคลุ้มคลั่งไปเอาตัวเธอกลับมาแน่นอน สุดท้ายสงครามก็ไม่มีวันจบ เพราะฉะนั้นอีกทางคือการเอาตัวเธอไปจากที่นี่ เมื่อไร้ซึ่งรางวัล อสูรเหล่านั้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะบุกบลีกฟิกอีก และเพื่อความปลอดภัยของพี่น้องเธออีกสามคน โอลิเวียจำเป็นต้องเห็นแก่ตัวแล้วพาคนอื่นไปกับเธอด้วย โอลิเวียหลับตาลงสงบใจ ลาก่อน...คนรัก ลาก่อน...ครอบครัว ลาก่อน...มิตรสหาย ลาก่อน...บลีกฟิก ลาก่อน...โอลิเวีย แกรนไรซ์ ฉับพลันมือข้างขวาที่กอบกุมมีดอยู่ก็ยกมันขึ้นมากรีดเป็นทางยาวบนแขนซ้าย เสียงกรีดร้องดังขึ้นกลางป่าที่เงียบสงบ เลือดสีแดงรินรดลงไปที่พื้นหินบนลานกว้าง ไหลลงแล้วเคลื่อนไหวเป็นรอยพื้นอักขระเวทตามร่องทางหิน เมื่อทุกหยาดเลือดบรรจบกันจึงเกิดแสงสีแดงเรืองรองขึ้นมา วิชาต้องห้ามกำลังดำเนิน หากไม่มีความอดทนมากพอ ผู้ร่ายอาจถึงตายได้! “นามของข้า โอลิเวีย แกรนไรซ์ องค์หญิงอันดับที่สามแห่งบลีกฟิก ผู้ครอบครองหนึ่งในบุปผาแห่งความพินาศ ขอมอบพลังของข้านำพาผู้คนที่เกลียดชังในสงครามแสนโหดร้ายไปอยู่ที่ดินแดนอื่น โปรดลบความทรงจำของข้าและพวกเขาแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ ในข้อตกลงครั้งนี้... ข้าแลกมันด้วยชีวิตของข้าเอง” คาถาต้องห้าม เรียกด้วยเลือด จ่ายด้วยชีวิต จบสิ้นคำกล่าว พื้นหินขาวพลันมีดอกกุหลาบสีแดงราวกับเลือด และเถาวัลย์หนามโผล่ขึ้นมาพันรอบตัวของหญิงสาว หนามที่แหลมคมแทงเข้าไปทุกส่วนของร่างกาย มันเคลื่อนไหวขูดร่างบางเป็นทาง โอลิเวียไม่ร้องแสดงความเจ็บปวดออกมา มีเพียงน้ำตาที่ไหลรินจากหางตาออกมาท่ามกลางความเงียบงันเท่านั้น ในที่สุด...ร่างทั้งร่างของหญิงสาวก็แตกกระจายออกเป็นกลีบกุหลาบแดงดั่งเลือด ล่องลอยอยู่กลางอากาศ ค่อย ๆ ร่วงหล่นสู่พื้นหิน เมื่อกลีบกุหลาบสัมผัสพื้นก็มีหิมะสีขาวผุดขึ้นมารองรับ จากนั้นเจ้ากลีบกุหลาบก็ละลายกลายเป็นโลหิตย้อมหิมะสีขาวจนย้อมแดงไปทั่วทั้งผืนแผ่น สิงโตสาวมองเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยแววตาที่สงบนิ่ง มันย่อตัวลงแล้วก้มหัวลงแนบพื้นปิดบังน้ำตา พลางสวดอธิษฐานให้มันและหญิงสาวได้พบเจอกันอีกครั้ง ในขณะที่ความทรงจำยังคงเป็นเช่นเคย ภายในป่าทึบ ไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต กลับปรากฏร่างของหญิงสาวในชุดยูนิฟอร์มนักเรียนนอนสลบอยู่หน้าอุโมงค์หิน ผมสีดำยาวสยายอยู่ที่พื้นกลมกลืนไปกับความมืดยามราตรี เวลาผ่านไปเนิ่นนานร่างบางที่นอนนิ่งเฉยเริ่มขยับตัว ดวงตาคมสวยกะพริบปรับแสงอยู่สักพักแล้วเริ่มหันมองสำรวจรอบด้าน ฟ้ามืดกลางป่าทึบ สัตว์ร้ายย่อมออกหากิน หญิงสาวตัวคนเดียวกลางป่ากับสัตว์ร้าย ไม่อาจทำให้ไอริสเผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา เธอพยุงร่างที่นั่งอยู่ที่พื้นให้ลุกขึ้นยืน ในตอนนั้นเองก็ได้กลิ่นสาบประหลาดและเสียงหอบหายใจหนักหน่วงดังก้องออกมาจากถ้ำ ภายในถ้ำที่มืดมิดเริ่มปรากฏจุดแสงสีแดงฉานเต็มไปด้วยความกระหายอันป่าเถื่อน เจ้าของดวงตาสีแดงนั้นเดินออกมาจากถ้ำปรากฏตัวที่เต็มไปด้วยขนสีดำราวกับหมาป่าแต่ร่างสูงใหญ่กว่าคนสามสี่เท่า มันเดินสองขาเหมือนกับคนส่วนมือสองข้างเต็มไปด้วยเล็บคมที่สามารถกระชากร่างคนให้ขาดออกเป็นสองส่วนในพริบตา ส่วนหัวของมันเหมือนกับหมาป่ารูปแบบที่ตัวใหญ่ขึ้นกว่าเดิม เจ้าสัตว์ประหลาดค่อย ๆ ย่างกรายตรงมาที่ร่างบาง เสียงฝีเท้ากระทบพื้นสร้างแรงสั่นไหว ยิ่งเข้ามาใกล้ กลิ่นสาบก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น หญิงสาวยืนเผชิญหน้ากับเจ้าสัตว์ร้าย ดวงตาสีดำไร้ซึ่งแววความหวาดกลัว มันว่างเปล่าขณะที่ใบหน้างามเริ่มยกยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก เป็นรอยยิ้มเยาะเย้ยยั่วยุฝ่ายตรงข้าม ทำให้เจ้าสัตว์หน้าขนอารมณ์พลุ่งพล่านวิ่งพุ่งตัวออกมาหา แสงจันทร์ฉายชัดลงมาที่ร่างอันแสนจะน่าหวาดเกรง มันไม่มีสติและพร้อมที่จะฆ่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดตรงหน้า นอกเหนือจากพรรคพวกโดยไม่ลังเล เล็บคมฟาดฟันลงมาที่ร่างบาง หญิงสาวเบี่ยงตัวหลบเพียงนิดเดียวก็หลุดพ้นจากเงื้อมมือมัจจุราชไปได้อย่างฉิวเฉียด ฝ่ายเจ้าอสุรกายเห็นว่าเหยื่อหลุดมือตัวเองไปได้ ก็ทวีความบ้าคลั่งออกมา มันเงยหน้าขึ้นคำรามกึกก้องไปทั่วผืนป่า พยายามแยกเขี้ยวข่มขู่แล้วเริ่มการโจมตีใหม่อีกครั้งที่รุนแรงกว่าครั้งก่อน มือใหญ่ทั้งสองข้างพยายามจะตะปบร่างเล็กที่ยืนอยู่ แต่กลับจับได้เพียงอากาศที่ว่างเปล่า ฝ่ายคนที่เป็นเหยื่อเคลื่อนไหวในพริบตามายืนอยู่หลังร่างของอสูรยักษ์ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เจ้าอสูรร่างขนไม่ทันได้ตั้งสติ ร่างของมันก็เลื่อนขาดออกจากกันเป็นสองท่อน เลือดสีแดงพุ่งออกจากร่างราวกับน้ำพุส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งชวนให้อาเจียน หญิงสาวเหลือบมองดาบน้ำแข็งในมือ ความหนาวเย็นแผ่นกระจายออกมาจากด้ามจับ เหยียบเย็นเหมือนกับใบหน้าขาวซีดที่จ้องมองอยู่ เหน็บหนาวจนมือแทบจะด้านชา แต่เธอกลับรู้สึกร้อนรุ่มจนอยากจะปาดาบในมือทิ้งไปให้ไกล แต่ก็ทำแบบนั้นไม่ได้ ร่างบางค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองไปยังท้องฟ้าในคืนพระจันทร์เต็มดวงรายล้อมไปด้วยดวงดารา ใบหน้าที่เฉยเมยก็พลันเหยียดยิ้มเย้ยหยันในโชคชะตาตัวเอง “ยินดีต้อนรับ... โอลิเวีย แกรนไรซ์” สวบ! เสียงเท้าเหยียบหญ้าดังเข้าหูของหญิงสาวที่เรียกตัวเองว่าโอลิเวีย เจ้าตัวดึงสติกลับมาอยู่กับตัวอีกครั้งขณะที่หันมองรอบด้านหาต้นตอของเสียง นัยน์ตาสีดำสนิทดั่งเช่นราตรีขณะนี้เฉียบคมดุจดั่งดวงตาของเหยี่ยว ต่อให้มืดมิดแค่ไหนก็ยังสามารถมองได้ทะลุปรุโปร่ง ใบหน้างามราวกับชนชั้นสูงศักดิ์สงบนิ่ง ค่อย ๆ ลดดาบในมือลงเมื่อพบกับผู้มาเยือน “บางทีนายก็ควรจะฉลาดในการเลือกสถานที่เปิดประตูมิติมากกว่านี้ ไม่ใช่เปิดสุ่มสี่สุ่มห้าแล้วไปตรงกับดินแดนของพวกอสูร” เสียงหวานละมุนเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทีเยือกเย็น ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบงัน ฝ่ายคนที่ถูกเจอตัวเดินออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่อย่างยอมจำนน ใบหน้าคุ้นเคยเดินเข้ามาในรัศมีของแสงจันทร์ เผยให้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มเจ้าของผมสั้นระต้นคอสีขาวราวหิมะ ผิวขาวซีดตัดกับดวงตาสีแดงเลือด ใบหน้าหล่อเหลาคมคายได้รูปทุกสัดส่วน เขาคือโอลิเวอร์ แกรนไรซ์ พี่ชายฝาแฝดของโอลิเวีย แกรนไรซ์ ไม่เจอกันนานแต่โอลิเวอร์ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ต่างจากเธอที่อดีตเป็นถึงเจ้าหญิงแห่งบลีกฟิก แต่ในตอนนี้กลับสวมบทเป็นหญิงสาวธรรมดา ที่ชื่อว่าไอริส แกรน “ใครมันจะไปรู้จักสถานที่แห่งนี้ดีเท่าเธอล่ะ และถ้าไม่วางข่ายเวทเอาไว้หลาย ๆ จุด คูลก็ไม่มีทางทำลายเกราะเวทของเธอลงได้หรอก จริงไหมล่ะ... ไอริส” โอลิเวอร์ผู้มีสีหน้าแห่งบุรุษเจ้าเล่ห์เผยยิ้มมุมปากออกมา เขาทำท่าราวกับถือไพ่เหนือกว่าจากการที่สามารถทำลายคาถาต้องห้ามลงได้ และยังท้าทายน้องสาวฝาแฝดของตนเองเพิ่มด้วยการพูดอีกชื่อหนึ่งขึ้นมา ทว่านั้นก็เป็นเรื่องธรรมดาที่คนอย่างโอลิเวอร์จะรู้ทุกอย่างของเธอ ในเมื่อการเป็นฝาแฝดลูกครึ่งเทพมาร ทำให้มีความสามารถพิเศษที่ไม่ธรรมดาอย่างการเชื่อมผสานความรู้สึกนึกคิด จนทำให้เหมือนกับว่าความทรงจำของทั้งสองร่างเป็นหนึ่งเดียว โอลิเวียในร่างไอริสยักไหล่ ไม่สนใจว่าโอลิเวอร์จะทำอะไร ตราบใดที่เขาไม่เปิดโปงตัวตนของเธอในตอนนี้กับใครก็พอ โอลิเวอร์เห็นหญิงสาวไม่พูดอะไรก็เป็นฝ่ายที่เปิดการสนทนาต่อเอง “เธอจะกลับไปกับฉันไหม” เมื่อจบคำถาม แววตาที่กล้าแกร่งของไอริสไหววูบชั่วครู่ คำถามของโอลิเวอร์ทำให้เธอนึกถึงคำถามที่เอริสถามเมื่อตอนเช้า ‘จะกลับไปหรือปิดบังตัวตน?’ รอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้าขาวซีดเริ่มแข็งค้าง ก่อนจะค่อย ๆ ขยายมันกว้างมากขึ้น รอยยิ้มชั่วร้ายช่วยแต่งแต้มให้หญิงสาวมีท่าทีน่าเกรงขามเปี่ยมไปด้วยอำนาจที่แผ่กระจายออกมา การแสดงออกในตอนนี้ไม่ต้องพูดอะไรออกมา โอลิเวอร์ก็เข้าใจทุกอย่าง “โอลิเวีย แกรนไรซ์ตายไปนานแล้ว” ท่ามกลางความเงียบ นั่นคือสิ่งที่ไอริสพูดขึ้นมา ดวงตาของเธอว่างเปล่า อดีตไม่สามารถฉุดรั้งให้เธอกลับไปได้อีก การตัดสินใจในตอนนั้นคือการตัดสินใจถาวรที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง “เธอคิดว่าฉันไม่รู้ความจริงเหรอ โอลิน” “เพราะนายเป็นพี่ ฉันถึงต้องพูดแบบนั้นไงล่ะ” โอลิเวียหัวเราะเบา ๆ คำโกหกไม่มีผลกับโอลิเวอร์ ทางที่จะหลีกเลี่ยงมีแค่เลือกที่จะไม่ตอบคำถามเท่านั้น “ว่าแต่มาที่นี้ได้ยังไงกัน” “ก็หลังจากที่ใครบางคนเลือกที่จะหนีปัญหา แม่มดฟีโอน่าก็ออกคำสั่งให้ตามล่าค่าหัวเธอกลับไปลงโทษที่บลีกฟิก กว่าจะจะหาทางมาแบบที่ไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อได้ก็ใช้เวลาไปปีกว่า แต่ก็ดีกว่าคนบางคนที่ทำให้ตัวเองเจ็บตัวแทบตาย” “เจ็บตรงไหนกัน พูดเหมือนเคยโดน” “ไม่ต้องโดน แต่แค่เห็นสภาพพื้นศิลานองเต็มไปด้วยเลือดก็พอจะพูดได้” ไอริสหรี่ตาลงขณะมองพี่ชายฝาแฝดอย่างไม่พอใจ คนตรงหน้ารู้สึกถึงความคิดเธอดีกว่าใคร บางทีเรื่องบ้าระห่ำในตอนนั้น เขาอาจจะรู้มันตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอตัดสินใจแล้วด้วยซ้ำ พอคิดถึงช่วงเวลาในตอนนั้นก็ชวนให้รู้สึกปั่นป่วน ร่างบางทิ้งตัวลงนั่งกับก้อนหินใหญ่แล้วแบมือขาวออกที่หน้าตัก เพียงชั่ววูบที่ลมพัดผ่าน กลางฝ่ามือขาวซีดก็ได้ปรากฏพายุหิมะขนาดเล็กขึ้นมา เวทมนตร์ยังคงใช้ได้แม้จะอยู่ในต่างที่ ทว่าเธอไม่อาจกลับไปเป็นโอลิเวียได้อีก ในเมื่อการกระทำสิ้นคิดตอนนั้นไม่ต่างจากการละเมิดสิทธิ์ของคนอื่น... ช่างน่ารังเกียจ “เธอแค่อยากช่วยพวกเขา” โอลิเวอร์พึมพำขึ้นมา ไอริสยังคงนิ่งงัน ขณะที่ค่อยกำฝ่ามือเข้าหากันทำลายเวทมนตร์อันแสนงดงามให้สลายไป “จะกลับไปยังไง” “มีสองวิธี หนึ่งคือใช้พรของเจ้าชายภูต สองใช้โลหิตของบุปผาทั้งสี่ในการบูชายัญหน้าถ้ำแห่งนี้” “ถ้ำนี้? พวกนายบ้าไปแล้วเหรอโอลิฟ อีกฟากฝั่งของถ้ำนี้มันเป็นรังของพวกอสูรนะ ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถสู้กับพวกอสูรได้เหมือนพวกเรานะ” “พลังของคูลตอนนี้อ่อนแรงลงไปมากจากการร่ายข่ายเวท ถ้าพวกเขาไม่สู้ก็ต้องตาย นี่เป็นเรื่องปกติในอาณาจักรของเราไม่ใช่เหรอ และอย่าบอกฉันว่าเธอไม่ได้รักกลิ่นของเลือด” คำพูดของโอลิเวอร์จี้จุดหญิงสาวเข้าอย่างจัง สงคราม... เธอทำเป็นเหมือนเกลียดมันหนักหนา ทั้งที่แท้จริงแล้วกับหลงใหลในการฆ่าฟัน ทว่าแทนที่จะปล่อยให้ตัวเองถลำเข้าไปในวังวนแห่งความดำมืดมากกว่านั้น หญิงสาวเลือกที่จะเดินหนีออกมา ทว่าถนนทุกหนทางที่เลือกเดิน สุดท้ายก็ย้อนกลับไปที่จุดหมายเดิม ไอริสลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไปกับความมืดมิด ทิ้งไว้เพียงคำพูดที่เยือกเย็นไว้ให้แก่โอลิเวอร์และเขาคนนั้น... “จะทำอะไรก็ทำไป สุดท้ายแล้วฉันก็จะเห็นแก่ตัวเหมือนเคย” เมื่อถึงบ้าน ไอริสพลันวิ่งขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเองอย่างรวดเร็ว เธอวิ่งมาจนถึงหน้ากระจกบานใหญ่เท่าความสูง พลางจ้องมองไปยังเงาสะท้อนด้วยแววตาที่สั่นไหวไปด้วยความกลัว หากกลับไปแล้วควบคุมตัวเองไม่ได้ล่ะ? ใบหน้าเรียวมีเค้าโครงสวยคมถอดแบบออกมาจากอดีตไม่มีผิดเพี้ยนชวนให้เจ้าของร่างใจเต้นสั่นไหว ผิวขาวซีด ริมฝีปากสีแดงสด... คิ้วบางขมวดเข้าหากัน ดวงตาสีดำยามนี้ปรากฏแววตาสั่นไหว ขณะที่ผมยาวสีดำราวกับรัตติกาลกระจายอยู่รอบตัว เปลี่ยนทั้งสีผมและสีตาแบบนี้ถ้าไม่เพ่งมองดี ๆ คงจะไม่มีใครรู้ว่าเธอคือโอลิเวีย นอกจากว่า... หญิงสาวหลับตาและปล่อยไอเย็นออกมาล้อมรอบตัวพร้อมกับนับหนึ่งถึงสามภายในใจ เมื่อลืมตาขึ้นมาห้องทั้งห้องก็ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง เธอมองภาพตัวเองในกระจกอีกครั้ง คราวนี้ผมสีดำได้เปลี่ยนเป็นสีขาวราวหิมะ และมีดวงตาสีแดงเข้มดุจดั่งเลือด... เพียงเท่านี้ไอริสก็พลันเหงื่อตก เธอค่อย ๆ คลายเวทน้ำแข็งออกจนมันสลายหมดสิ้น ร่างที่สง่างามก็กลับคืนสู่สภาพคนธรรมดาอีกครั้ง เมื่อลองพลังน้ำแข็งแล้วทำให้ร่างเปลี่ยน เช่นนั้นก็ต้องลองการเรียกดาบประจำตัวออกมาแทน ดาบสีใสกระจ่างปรากฏในมือเพียงแค่นึกคิด เจ้าตัวก็แกว่งมันไปมาอย่างคุ้นเคย แม้ดาบน้ำแข็งจะถูกอัญเชิญออกมาแล้ว แต่สภาพร่างกายก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเหมือนรอบที่แล้ว นับเป็นก้าวแรกที่น่าพอใจ ไอริสเริ่มขยับไปอีกขั้นด้วยการปล่อยพลังเวทหิมะเข้าไปในตัวดาบจากสีใสก็กลายเป็นขาวโพลนเหมือนดาบที่ถูกหิมะเกาะ ในตอนนั้นเองร่างของเธอก็กลายเป็นโอลิเวียอีกครั้ง ไอริสปล่อยพลังออกจากดาบแล้วเก็บมันเข้าไปในมิติเดิม ร่างในโทนสีดำก็กลับมาอีกครั้ง เธอจ้องมองตัวเองในกระจกด้วยแววตาดุดัน จากการพยายามสองครั้งแสดงให้เห็นว่าร่างโอลิเวียจะปรากฏก็เฉพาะเวลาที่ใช้พลังที่มีมาตั้งแต่กำเนิดเท่านั้น มีเพียงดาบน้ำแข็งเท่านั้นที่ใช้ได้โดยที่ไม่ทำให้ร่างกายเปลี่ยนไป น่าเจ็บใจ... ความไม่พอใจถ่ายทอดออกมาข้างนอกทำให้กระจกบานใหญ่ที่สะท้อนรูปของเธอแตกร้าว ทว่าก่อนที่มันจะพังทลายลงไป ในตอนนั้นเองที่ดวงตาสีดำก็ได้พบกับภาพนัยน์ตาสีแดงของที่สะท้อนกลับออกมา เป็นแค่เพียงชั่ววูบแต่ก็ไม่สามารถรอดพ้นการสังเกตไปได้ จิตวิญญาณที่ถูกกักขัง... ‘โอลิน’ ‘บางทีนายก็ควรจะทำความเข้าใจกับคำว่า พื้นที่ส่วนตัว ให้มากกว่านี้นะ โอลิฟ’ เสียงในใจสองเสียงเริ่มสื่อสารกัน ด้วยความพิเศษของฝาแฝดผู้มีสายเลือดเทพและปีศาจอันบริสุทธิ์ ทำให้โอลิเวียและโอลิเวอร์สามารถติดต่อกันผ่านทางจิต และมากไปกว่านั้นพวกเขาสามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายราวกับมานั่งอยู่ในใจ ทว่าในยามปกติหากมีจิตใจที่แข็งแกร่งไม่หวั่นไหวก็จะสามารถกีดกันความอยากรู้ของอีกคนเอาไว้ได้ ในเมื่อกี้ไอริสเผลอตกใจไป โอลิเวอร์จึงรับรู้ความรู้สึกในตอนนั้น ‘เกิดอะไรขึ้น’ เสียงที่ดังขึ้นในใจถามอย่างเป็นห่วง ‘เปล่า’ ไอริสตอบกลับ เรื่องของจิตวิญญาณนั้น ในตอนนี้ยังไม่มีใครควรรับรู้ ไม่แม้แต่โอลิเวอร์หรือจะเป็นเขาคนนั้นก็ตาม ‘เธอรู้ใช่ไหมว่าห้ามมีความลับ’ ‘นายเข้าใจคำว่าเรื่องส่วนตัวไหม’ ไอริสตอบกลับไปด้วยเสียงที่แข็งกร้าว ท่าทางอารมณ์ไม่ดีของเธอทำให้โอลิเวอร์เลิกเซ้าซี้และตัดขาดการติดต่อของทั้งคู่ในทันที ทางฝั่งชายหนุ่มที่ตัดการติดต่อกับน้องสาวฝาแฝดไป เขาก็หันกลับมาสนใจสภาพรอบข้าง ร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีข้าวนั่งลงบนโซฟาผ้ากำมะหยี่ยาวสีดำ ดวงตาสีแดงจ้องมองไปยังฝั่งตรงข้าม มองไปยังร่างสูงเด่นสะดุดตา คนที่ถูกผู้หญิงคนหนึ่งหลบหน้า คูล เวราเน่ เจ้าชายและรัชทายาทแห่งดินแดนภูต ผู้ที่กำเนิดมาพร้อมก็พรวิเศษสามข้อ ร่างสูงศักดิ์ตอนนี้สวมใส่เพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวธรรมดากับกางเกงสีดำสนิท เขายืนพิงกับขอบหน้าต่างสูงใหญ่ด้วยท่าทีสบาย ๆ มือข้างหนึ่งถือแก้วไวน์องุ่นสีเข้มเอาไว้ ขณะที่สายตาจ้องมองออกไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนด้วยแววตาลุ่มลึก “ผู้หญิงคนนั้นเป็นยังไงบ้าง” น้ำเสียงทุ้มนุ่มลึกเอ่ยขึ้นมาด้วยโทนเสียงเย็นชา แต่ภายใต้ความเย็นชานั้นกลับแฝงความเป็นห่วง โอลิเวอร์มองคนที่เป็นสหายปากไม่ตรงกับใจแล้วก็นึกถึงน้องสาวฝาแฝดของตัวเองขึ้นมา คนสองคนที่นิสัยเหมือนกันแบบนี้ ไม่แปลกใจที่จะเกิดมาคู่กัน “ยัยนั่นบอกแค่ว่าจะทำอะไรก็ทำไป ส่วนตัวเองจะไม่เกี่ยว” “นึกว่าจะตายไปแล้วซะอีก” คูลยิ้มเยาะที่มุมปากขณะยกแก้วไวน์ขึ้นมาจิบ ปากของเขาพูดคล้ายไม่สนใจ แต่ดวงตากลับประกายความรู้สึกโล่งอกออกมา “แล้วรูปลักษณ์ในโลกนี้เป็นยังไง” “เรื่องนั้นยังไม่รู้ เราคุยกันแค่ทางจิต” “อ้อ” “แล้วมีอีกเรื่องที่ฉันต้องบอก... ถ้าหากเรากลับไปทางถ้ำนั้น มันจะเป็นประตูเชื่อมไปที่ดินแดนอสูรนะ” คำบอกเล่าของโอลิเวอร์ทำให้ดวงตาสีเทาคมกริบละสายตาจากท้องฟ้า แล้วหันไปมองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวยาว “รู้ได้ยังไง” “ตอนที่ไปตรวจสอบมีอสูรหลุดออกมาหนึ่งตัว” “ถ้าประตูมิติรั่ว คงต้องผลัดเวรกันดูแล” คูลพึมพำ “ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมายุ่งยาก ฉันเฝ้าให้ได้ นายตามหาพวกสี่บุปผานั้นให้เจอก็พอ เราจะได้รีบกลับ” โอลิเวอร์ว่า ในฐานะที่เติบโตในดินแดนของปีศาจ ทำให้เขาคุ้นชินกับการอยู่คนในสถานการณ์ที่ลำบากมากกว่าคนอื่นที่ใช้ชีวิตอยู่ในปราสาท “ได้” คูลตอบรับสั้น ๆ ในเมื่อเขาเองก็ไม่ได้สนใจจะเฝ้าถ้ำนั้นตั้งแต่แรก ในเมื่อสิ่งเดียวที่ชายหนุ่มต้องการมากที่สุดมีเพียงการตามหาผู้หญิงคนนั้น...
已经是最新一章了
加载中