บทที่ 3 - ภูตแมวสาว   1/    
已经是第一章了
บทที่ 3 - ภูตแมวสาว
บทที่ 3 ภูตแมวสาว พิพิธภัณฑ์...สถานที่ที่รวบรวมสิ่งของในอดีตที่เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายนานนับหลายร้อยพันปี ห้องมืดในปราสาทไร้แสงไฟ มีเพียงแสงจากพระจันทร์ที่สาดส่องสลัวเข้ามาภายใน อากาศภายนอกยามนี้นั้นแปรปรวน ด้วยฝนตกหนักรุนแรงรวมกับพายุที่ซัดกระหน่ำ มีเสียงอัสนีกึกก้องร้องไปทั่ว เกิดแสงวูบไหวของสายฟ้าสว่างขึ้นเป็นระยะ ฉายให้เห็นถึงร่างบางของหญิงสาวในชุดยูนิฟอร์มโรงเรียนยืนแน่นิ่งอยู่กลางห้อง ผมสีดำยาวกลมกลืนไปกับความมืด แขนข้างหนึ่งกำมีดที่ทำจากน้ำแข็งสลักลวดลายงดงามชวนให้หลงใหล ส่วนดวงตาสีรัตติกาลก็จับจ้องไปยังรูปปั้นหินสิงโตเพศเมียท่วงท่าขู่คำรามขนาดใหญ่กว่าตัวถึงสามเท่า แม้จะเป็นเพศเมียแต่ก็ไม่อาจทิ้งกลิ่นอายความน่ายำเกรงออกไปได้ “ด้วยนามแห่งข้า โอลิเวีย แกรนไรซ์ องค์หญิงอันดับที่สามแห่งอาณาจักรบลีกฟิก ข้าขออัญเชิญเจ้า... ภูตรับใช้ที่ซื่อสัตย์นาม แบล็กเคน ไวท์ ภูตผู้เหนือภูต จงคืนร่างเดิมของเจ้าและกลับมาอยู่ข้างกายข้าตามหน้าที่แห่งความภักดี” จบคำพูด สายฟ้าก็พลันได้ผ่าลงมาสร้างเสียงก้องกังวานหนึ่งครั้งราวกับตอบรับคำขอ ฝ่ายรูปปั้นสิงโตหินที่แน่นิ่งมาตลอดระยะเวลาสิบกว่าปี บัดนี้ได้เริ่มขยับราวกับมีชีวิต ร่างที่ยังเป็นหินกระโดดลงจากแท่นลงสู่พื้นเบื้องหน้าของหญิงสาวผู้มีร่างเล็กกว่ามันหลายเท่า เจ้าสิงโตหินคำรามลั่นห้องแข่งกับเสียงคำรามของท้องฟ้า ในขณะที่หินค่อย ๆ แตกสลายออกเหมือนกับไข่ที่กะเทาะเปลือก เหลือไว้เพียงร่างแมวตัวเล็กสีขาว “ยัยบ้า” นี่คือคำแรกของเสียงเล็กแหล่มเอยขึ้น น้ำเสียงของมันแฝงความสะอื้นไว้ในส่วนลึก ดวงตาสีดำพลันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน รอยยิ้มแสนอบอุ่นฉายชัดบนใบหน้างาม “ยินดีต้อนรับ...ไบท์” แสงอาทิตย์อัสดงสาดส่องไปทั่วทุกทิศ บนเนินใหญ่ริมฝั่งป่าลึกได้มีร่างของหญิงสาวและแมวขาว นั่งทอดมองพระอาทิตย์ยามเช้าตรู่ เจ้าแมวดูเหมือนว่าจะไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หลังจากที่ถูกแช่แข็งนานนับสิบกว่าปี ในตอนนี้มันเอาแต่กลิ้งไปมาบนพื้นหญ้าอย่างสนุกสนาน แต่ฝ่ายหญิงสาวกลับมีท่าทีตรงกันข้าม เจ้าหล่อนมีสีหน้าเคร่งเครียดขณะที่นึกถึงถ้ำที่ถูกเปิดอยู่ในป่าลึก เจ้าพวกบ้านั่น... “ไอริส” จู่ ๆ เจ้าแมวที่นอนกลิ้งเล่นอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียวชอุ่มก็ลุกขึ้นมายืนตั้งขนชันหันหน้าไปทางป่าท้ายเมือง ฝ่ายคนถูกเรียกกลับไม่รีบร้อนไปกับอาการของมัน เธอทำเพียงแต่เหลือบหางตาไปมองอย่างไม่แยแส ก่อนที่จะทิ้งตัวเองลงนอนราบไปกับพื้น ปากก็พูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “เรื่องนี้ปล่อยให้พวกราชวงศ์จัดการไปเหอะ” “ไม่มีคนอยู่แถวนี้เลยนะ! แล้วมันก็ออกมาเยอะมากด้วย” เจ้าแมวเริ่มโวยวายไม่หยุด “กี่ตัว” “ไม่ต่ำกว่ายี่สิบ” เสียงเล็กเอ่ยขึ้นมา คำตอบที่ได้จากแมวภูตทำเอาคนที่นอนสบาย ๆ ถึงกับเด้งตัวขึ้นมาอย่างลืมตัว พลางหันหน้าไปมองเจ้าแมวอย่างไม่เชื่อหู “ว่าไงนะ!!!” ไอริสตะโกนถามอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เวลาแค่ไม่นานพวกมันยังหลุดกันมาได้ขนาดนี้ แล้วถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้ อสูรพวกนั้นคงได้ออกมาทำร้ายผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับโลกนั้นเป็นแน่ อสูร... คือเผ่าพันธุ์ของสัตว์ร้ายที่น่าหวาดเกรง อดีตของพวกมันคือพวกเราเหล่ามนุษย์ เทพและปีศาจ แต่ได้ก่อการจลาจล แล้วเลือกที่เป็นผู้กบฏหลบหนีไปตั้งรากฐานที่ดินแดนอื่น พร้อมทั้งยังเรียนวิชาศาสตร์ต้องห้ามที่ไม่มีใครรู้ต้นตอจนกลายพันธุ์ไปเป็นสัตว์ร้ายไร้การควบคุม พวกมันไม่มีสมองสิ่งเดียวที่รับรู้คือการฆ่า ฆ่าทุกอย่างที่พวกมันฆ่าได้เพื่อสนองความต้องการ การจะกำจัดมันคือการดิ่งตรงไปที่หัวใจและทำลายให้สิ้นซาก ไม่อย่างนั้นร่างกายของมันจะสามารถรักษาได้อย่างรวดเร็ว ทว่าการจะฆ่ามันไม่ได้ง่ายเหมือนคำพูด เพราะหากไม่คุ้นเคยกับการปะทะกับเจ้าพวกนั้น จะไม่มีทางรู้เลยว่าหัวใจของเจ้าอสูรร้ายอยู่ส่วนไหนของร่างกาย บางทีมันอาจจะเป็นแขน ขา ลูกตาหรือแม้แต่เครื่องในส่วนประหลาด อสูรอยู่แยกกันไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าอยู่รวมกัน พูดง่าย ๆ ได้ว่า ‘ซวย’ ‘โอลิฟ มีอสูรบุกเข้ามายี่สิบกว่าตัว นายช่วยไปจัดการหน่อยสิ’ คนที่บอกว่าจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกราชวงศ์เริ่มส่งเสียงเรียกไปหาพี่ชายฝาแฝด ผู้มีตำแหน่งเป็นเจ้าลำดับที่สองแห่งบลีกฟิก ‘เดี๋ยวฉันถามคูลดูก่อน’ อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ‘นายเป็นคนรับใช้ของไอ้เจ้าชายบ้านั่นตั้งแต่เมื่อไร เรื่องแค่นี้จำเป็นต้องถามด้วยเหรอ’ ไอริสโวยวายกลับไป ใบหน้าคมสวยยามนี้ตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากบางเม้มแน่นเป็นเส้นตรง มือทั้งสองข้างที่แนบข้างลำตัวกำแน่นจนเล็บแทบจะจิกเข้าไปในฝ่ามือ ฝ่ายภูตแมวมองเห็นอาการคู่หูข้างตัวก็เริ่มรู้สึกถึงลางไม่ดี ถ้าหากพวกราชวงศ์ที่ไอริสพูดถึงไม่มา คนที่จะจัดการฝูงอสุรกายคงไม่พ้นเด็กสาวมัธยมปลายคนนี้เป็นแน่ อีกด้าน... ที่โรงเรียน “คูล... ยัยเจ้าหญิงบ้าเลือดของนายส่งข้อความมาบอกว่า มีอสูรบุกมาทางประตูมิติที่นายเปิดประมาณยี่สิบกว่า เลยอยากจะขอกำลังไปจัดการมันหน่อย” เสียงที่เย็นชาเอ่ยขึ้นมาจากเจ้าของใบหน้านิ่งดุจน้ำแข็ง ถึงมันจะเย็นชาแต่ทุกคำพูดที่กล่าวออกมาคล้ายว่าเจ้าตัวต้องการจะกวนประสาทคนฟังในทุกถ้อยคำ เช่น ‘เจ้าหญิงบ้าเลือดของเขา’ ‘ประตูมิติที่เขาเปิด’ เป็นต้น ทุก ๆ คำจงใจพูดให้เจ้าชายภูตเกิดความรู้สึกเห็นใจและรู้สึกผิดทั้งสิ้น แต่ขอโทษนะ... ทำไมเขาต้องเชื่อฟังคำขอจากคนที่ดื้อรั้นด้วยล่ะ? คูลที่ยืนมองพระจันทร์กำลังลาลับขอบฟ้า เบนหน้าหันไปมองคนที่เป็นเพื่อนสนิทบนโซฟาตัวยาว รอยยิ้มมุมปากที่ประดับบนใบหน้ากำลังสื่อคำตอบทุกคำไปให้คนถาม และนั่นก็คือ... “ถ้าอยากได้ความช่วยเหลือนัก ก็มาขอร้องกันตรง ๆ สิ คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้ามาออกคำสั่งกัน ถ้าไม่โผล่หัว ออกมาก็จัดการปัญหาไปเอง ในเมื่อเรื่องนี้มันก็เกิดมาจากยัยนั่นอยู่แล้วนี่ ออกคำสั่งไปให้อรินกับอริสด้วย ห้ามไปช่วยผู้หญิงคนนั้นเด็ดขาด” คำสั่งที่หนักแน่น ออกมาจากใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย โอลิเวอร์มองหน้าที่ชั่วร้ายราวกับปีศาจของคนที่เป็นเพื่อนแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างเอือมระอา หนทางการคืนดีของสองคนนี้ดูท่าจะเป็นไปได้ยาก... ก็ดูสิต่างฝ่ายต่างทิฐิเยอะขนาดนี้ ไม่มีฝ่ายไหนยอมลงและเข้าหากันง่าย ๆ เป็นแน่ ทั้งที่รู้ตัวตนของอีกฝ่ายแล้วแท้ ๆ “เข้าใจแล้ว” โอลิเวอร์รับคำอย่างว่าง่ายและไม่คิดเซ้าซี้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ห่วงน้องสาวตัวเองหรอกนะ แต่อย่างคนอย่างโอลิเวีย กับแค่อสูรจำนวนนั้นเพียงแค่กะพริบตาเจ้าหล่อนก็สามารถจัดการได้หมดภายในเวลาอันสั้น และยิ่งเจ้าตัวใช้พลังเวทมาก การที่จะติดตามและเผยตัวตนที่แท้จริงต่อหน้าทุกคนก็จะยิ่งง่ายขึ้น ถ้ามีหลักฐานมากพอโอลิเวียก็จะกลับไปเป็นไอริสไม่ได้อีก ทว่า...คนดื้อรั้นแบบนั้นไม่มีทางคืนสภาพเดิมแน่นอน หวังว่าเจ้าตัวปัญหาจะไม่คิดสู้กับพวกอสูรทั้ง ๆ ที่ตัวเองมีความสามารถแค่ระดับคนธรรมดาหรอกนะ โอลิเวอร์เลือกเดินออกมาจากห้องนั่งเล่นภายในปราสาทใหญ่ของเจ้าชายภูตที่สร้างขึ้นมาด้วยเวทมนตร์ มันงดงามสมดั่งฐานะของเจ้าตัว ในตอนแรกพวกเขาอยู่ในบ้านหลังใหญ่ธรรมดา แต่หลังจากพายุเมื่อคืนบ้านหลังใหญ่ก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นปราสาทอย่างฉับพลัน โอลิเวอร์เดินผ่านบันไดวนขึ้นไปยังหอคอยทางทิศตะวันออกที่มีพระอาทิตย์แรกของวันสาดส่องเข้ามา เขามองไปยังป่นอันมืดมิดเต็มไปด้วยไอหมอกแห่งความตาย รอยยิ้มบาง ๆ ก็ปรากฏบนใบหน้าคมคายราวกับน้ำแข็งแกะสลัก ‘ช่วยตัวเองแล้วกันนะ น้องรัก’ “ไอ้บ้า โอลิฟ!” ริมฝีปากบางโวยวายออกมา คิ้วโก่งเล็กน้อยขมวดเข้าหากันเผยอารมณ์หงุดหงิดออกมาไม่ปิดบัง ร่างสูงโปร่งในชุดนักเรียนเสื้อเชิ้ตสีขาวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพลางตวัดสายตาดุร้ายไปยังป่าต้นตอของเรื่อง จากนั้นก็กระโดดลงจากหินแล้ววิ่งไปยังภายในป่าอย่างรวดเร็วโดยที่มีเจ้าแมวสีขาววิ่งตามไปติด ๆ ทว่าถึงจะวิ่งเร็วมากเพียงใด แต่ร่างกายของมนุษย์ธรรมดาย่อมมีขีดจำกัด กว่าจะมาถึงที่เกิดเหตุ เจ้าพวกอสูรต่างก็รวมตัวกันด้วยท่าทีกระจ่างในสถานการณ์มากขึ้น ความหิวโหยฉายชัดอยู่ในดวงตาสีแดงก่ำ พวกมันมองร่างของหญิงสาวด้วยแววตาพึงพอใจจากการที่มีเหยื่อตรงเข้ามาหาในกำมือ เขี้ยวคมกริบที่เรียงรายในป่าแยกขึ้นมาข่มขู่ ไอริสเบ้ปากแสดงความรังเกียจพวกมันอย่างไม่ปิดบัง ในครั้งที่เจอตัวเดียวเธอยังพอเก็บอารมณ์ได้ แต่เมื่อเห็นเจ้าอสูรกว่ายี่สิบตัวมองมาที่เธอด้วยสายตาหิวกระหายก็อดให้รู้สึกขยะแขยงไม่ได้ บางตัวสูงใหญ่ บางตัวเตี้ยม่อต้อ บางตัวมีขนเต็มตัว ในขณะที่บางตัวมีแต่หนังย่น ๆ ราวกับถูกไฟคลอก และนอกจากนั้นปากของมันนอกจากเขี้ยววาววับแล้วยังมีน้ำลายเหลืองเหม็นเน่าฟูมฟักไปทั่วปาก ค่อย ๆ หยดลงพื้นเป็ดหย่อม ๆ หาความดูดีจากร่างเจ้าพวกนี้ไม่ได้เลย ‘นายเห็นมันใช่ไหม’ ไอริสส่งเสียงถามคนอีกคนที่มาอาศัยอยู่ในจิตของเธอ ‘อืม’ โอลิเวอร์ตอบรับเสียงต่ำ เขายังคงมีท่าทีไม่เดือดร้อนอยู่เช่นเคย ‘ถ้าฉันตาย...’ ‘เดี๋ยวฉันเป็นคนเก็บศพให้’ ‘จำไว้เลยนะ โอลิฟ’ ไอริสคบกล้ามแน่นขณะที่ตอบกลับเสียงในใจเธอ ยามนี้ดวงตาสีแดงเข้มราวกับโลหิตทวีความโกรธและไอสังหารออกมารอบตัว ความโกรธคือบ่อเพลิงชั้นดีในการดึงเอาพลังที่แท้จริงภายในออกมา เรื่องนี้โอลิเวอร์ย่อมรู้ดีจึงจงใจพูดยั่วยุให้น้องสาวฝาแฝดของตัวเองของขึ้น “จะเอายังไงก็รีบ ๆ ว่า ไม่มีเวลาให้เธอมาคิดเยอะหรอกนะ ไอริส” เสียงหวานแหลมของเจ้าแมวสีขาวเอ่ยขึ้นข้างตัว เมื่อยังเห็นหญิงสาวยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว เจ้าแมวไบท์จากขนสีขาวของมันพลันเปลี่ยนเป็นสีดำ และดวงตากลายเป็นสีขาวสลับกับรูปร่างก่อนหน้าจากขาวเป็นดำ รูปร่างของมันในตอนนี้ล้วนแล้วแต่เป็นพิษ ไม่ว่าจะส่วนไหนหากแตะต้องมั่วซั่วย่อมถึงแก่ชีวิตกันทั้งนั้น ในร่างแมวไบท์มีความพิเศษคือร่างกายเป็นพิษ ร่างสิงโตคือความแข็งแกร่ง ร่างนกฮูกคือการลอบสังเกตการณ์ ส่วนร่างสุดท้ายคือร่างมนุษย์ผู้ยั่วยวน ผลจากการเป็นภูตชั้นสูงทำให้เธอนั้นสามารถแปลงร่างได้ถึงสี่สายพันธุ์ แต่ที่เจ้าตัวชอบมากที่สุดคือร่างแมว “คิดซะว่าเป็นออกแรงหลังจากหลับใหลมานานสิบกว่าปีสิ” นั่ง ๆ นอน ๆ มาตั้งนาน ขอออกแรงก่อนที่จะตายด้านก็คงไม่เป็นไรหรอก ไอริสเชิดหน้าขึ้นมองตรงไปยังเหล่าอสูรร้ายอย่างไม่มีความเกรงกลัวอยู่ในสายตา ยิ้มหวานระบายออกมาเพื่อเยาะเย้ยและท้าทายพวกอสูร มือบางที่เคยกำหมัดแน่นข้างตัว ในยามนี้ได้ถือดาบใสราวกับแก้วอยู่ในมือ ถึงแม้ดาบจะถูกสร้างขึ้นจากน้ำแข็งเวทแต่ก็ถูกปกปิดความสามารถที่แท้จริงไว้ ตอนนี้จึงไม่ต่างอะไรจากดาบธรรมดาทั่วไปที่มีดีแค่ความคม “เอาล่ะ” ไอริสควบคุมสติก่อนจะพุ่งตรงไปยังเจ้าอสูรที่รูปร่างคล้ายหมาป่ายืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ดาบแรกพุ่งตรงเข้าไปยังอกข้างขวาของอสูรตัวแรก แต่ด้วยแรงของมนุษย์ที่มีขีดจำกัดทำให้เจ้าอสูรจับดาบไว้มั่นได้ทันก่อนที่จะพุ่งเสียบเข้าไปยังร่างกายของมัน จากท่าทางในตอนนี้ทำให้พอจะรู้ได้ว่าจุดตายของเจ้าตัวนี้อยู่ที่หน้าอก ส่วนมากแล้วการสุ่มโจมตีอสูรมักจะเริ่มจากตรงส่วนนี้กันทั้งนั้น เพราะ50%ของจุดตายมักอยู่ที่หน้าอก แต่ว่านะ... ต้องเป็นอสูรที่กล้าขนาดไหนที่กล้าจับดาบน้ำแข็งตรง ๆ แบบนี้ เจ้าอสูรที่คิดจะเหวี่ยงร่างบางให้กระแทกลงที่พื้นกลับไม่ได้ทำดั่งที่ใจอยาก เพราะมือของมันที่เต็มไปด้วยกำลังมหาศาล ในตอนนี้กลับไร้ความรู้สึก แขนทั้งแขนเริ่มชาแล้วเริ่มลามไปทั้งตัวของอย่างรวดเร็ว ให้ความรู้สึกราวกับน้ำในกายแข็งตัว โดยมีสาเหตุมาจากความเย็นที่ปล่อยออกมาจากดาบใสดุจดั่งคริสทัล ขณะที่มันตกใจ ความเย็นที่เป็นความร้ายกาจของดาบน้ำแข็งก็ได้ลามไปทั้งตัว ไอริสก็ได้สะบัดดาบออกจากมือเต็มไปด้วยเล็บแหลมโดยใช้ความแรงเพียงนิดเดียว ร่างของอสูรใหญ่ทั้งร่างก็ได้แตกสลายออกเป็นก้อนน้ำแข็ง ก้อนชิ้นเนื้อสาดกระเด็นไปทั่วทุกทิศ ดาบนี้น่ะจับต้องได้ แต่ว่าถ้าหากจับแน่นขนาดนั้น นานขนาดนั้น... คงไม่รอดจากการถูกความเย็นคุกคาม ทว่าหากจะกำจัดพวกมันทั้งหมดยี่สิบกว่าตัวด้วยดาบที่ต้องใช้เวลาในการแช่แข็งนานขนาดนี้ละก็ กว่าจะจัดการได้ทีละตัวก็คงถูกพวกอื่นรุมใส่ก่อน “มีวิธีอะไรแนะนำไหม ที่ไม่ต้องใช้พลังเยอะน่ะ” ไอริสถามกับเจ้าแมวข้างตัว ในฐานะภูตผู้ติดตาม ไบท์มีหน้าที่หลัก ๆ เลยคือการปกป้องเธอ ไบท์ใช้สายตาคมกริบหันมามองคนในชุดยูนิฟอร์ม ดวงตาสีขาวเปล่งแสงของมันแฝงแววตาไม่พอใจ ในขณะที่ร่างสีดำกำลังหลอมละลายหินที่มันยืนอยู่ นอกจากจะเป็นพิษแล้ว ร่างกายของมันยังเป็นกรดอีกด้วย “อันที่จริง ฉันมีอยู่วิธีหนึ่ง” “อะไรละ” “อย่างที่รู้ว่าในเมื่อตัวของฉันเป็นพิษ ขนพวกนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากพิษ แล้วประกอบกับความสามารถในการแปลงกาย ฉันเลยคิดว่าจะหลอมตัวเองเข้ากับเจ้าดาบนั่น” “ก็ดี” ไอริสตกลง พอเธออนุญาตเสร็จ แมวสาวก็กระโดดตัวใส่ดาบใส ร่างของมันยามกระทบดาบได้แตกสลายออกเป็นปุยขนและควันสีดำ ล้อมรอบไปทั้งตัวดาบด้วยไอแห่งพิษร้าย ขนของไบท์ถ้าหากได้แทรกซึมเข้าไปในร่างไม่ว่าเป็นการสูดดม หรือการสัมผัส ขนที่คมราวกับใบมีดและยังอาบไปด้วยพิษจะทำการแทรกซึมเข้าไปข้างในร่างของศัตรู ตรงเข้าไปกระจายพิษทั่วร่าง เพราะฉะนั้นไม่ว่าหัวใจของเจ้าอสูรร้ายจะอยู่ส่วนไหน สุดท้ายพวกมันก็ต้องตายสถานเดียว เพียงแค่บาดแผลเดียวเท่านั้น... ไอริสตวัดดาบไปในอากาศก่อให้เกิดเสียงวูบของลมที่ถูกตัด ใบหน้าสวยฉีกยิ้มร้ายออกมา ดวงตาสีดำประกายไออำนาจน่าหวั่นเกรงออกมาเพื่อข่มขวัญอสูร ฉายาเจ้าหญิงบ้าเลือดของ โอลิเวีย แกรนไรซ์ ไม่ได้มาเพราะมีคนหาเรื่องหรอกนะ ในเมื่อชื่อนี้มีที่มาจากตัวเธอนั้นที่คลั่งไคล้การฆ่าฟัน เธอมีนิสัยที่ชอบฆ่าอสูรอย่างช้า ๆ และเลือดเย็น ในบางครั้งการกำจัดอสูรสำหรับพวกชั้นสูงไม่จำเป็นต้องทำให้สภาพรอบข้างเลอะเทอะ แต่สำหรับเจ้าหญิงบ้าเลือดแล้ว พื้นหิมะมักจะย้อมไปด้วยสีแดงเสมอ อสูรเริ่มเดินถอยหลังไปทีละก้าวอย่างเสียขวัญ แต่ก็ยังไม่หวาดกลัวมากพอที่จะวิ่งหนี ช่างกล้าหาญกันเสียจริง... ไอริสส่งรอยยิ้มหวานไปให้พวกมันเห็นเป็นครั้งสุดท้าย ขณะที่มองพวกที่ไม่รู้ชะตาชีวิตของตัวเอง คนที่เลือกเดินทางเข้าสู่ความชั่วร้ายไม่มีวันที่จะกลับมาเป็นคนเดิมได้อีกแบบพวกนี้ ไม่สมควรที่จะยืนหายใจอยู่ด้วยซ้ำ ดาบถูกฟันออกไปอย่างชำนาญผ่านอสูรตัวแล้วตัวเล่าล้มตายอย่างไม่ลดละ แม้มีแรงไม่มากแต่ไอริสก็ยังเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ทำให้อสูรทุกตัวล้วนบาดเจ็บทุรนทุราย ประกอบกับพิษของไบท์ได้เริ่มทำงานอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ดาบของเธอสัมผัสกับร่างของอสูร เจ้าอสูรที่โดนพิษเข้าแทรก แรกเริ่มจะมีอาการขาดอากาศหายใจ หลังจากนั้นเลือดจะเริ่มไหลทะลักออกมาตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย จากนั้นร่างของพวกมันก็จะระเบิดออกทำให้เศษเนื้อเป็นชิ้น ๆ กระจายไปทั่วบริเวณกว้าง เมื่อตัวสุดท้ายได้ถูกฟันลงในลักษณะครึ่งท่อน ไอริสก็ทรุดตัวลงจนต้องเอาดาบมาค้ำยันกับพื้นเอาไว้ไม่ให้ตัวเองล้มลงไปทั้งร่าง เสื้อนักเรียนยามนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงเหนอะหนะ แขนเสื้อข้างขวามีเลือดสด ๆ ไหลทะลักออกมาไม่หยุด รอยขาดกว้างเป็นแนวยาวถูกทำโดยเล็บของอสูรตนหนึ่งโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกที่หายไปเริ่มกลับมา ความเจ็บปวดแผลขยายออกไปทั่วร่าง อีกทั้งร่างกายเองก็เหนื่อยล้าจนฝืนทนต่อไปไม่ไหว “นี่เธอได้รับบาดเจ็บเหรอ” ไบท์กลับคืนร่างแมวดั้งเดิมร้องถาม มันมองไปที่บาดแผลที่มีเลือดไหลทะลักออกมาด้วยแววตาตื่นตระหนก “แค่รอยข่วน” ไอริสตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา ในตอนนี้ความเจ็บทำให้ไม่อยากสนทนาอะไรกับใครทั้งนั้น “รอยข่วน?” เจ้าแมวสาวในร่างสีขาวทวนคำเสียงสูง “คิดว่าสภาพตัวเองตอนนี้เป็นใครกัน เจ้าหญิงโอลิเวียผู้แข็งแกร่งแห่งอาณาจักรบลีกฟิกงั้นเหรอ ถ้ายังไม่อยากตายก็กลับสภาพเดิมของตัวเองเดี๋ยวนี้เลยนะ” มันต่อว่าออกมาอย่างเหลืออด กับอีกแค่หนีผู้ชายคนหนึ่งมันจำเป็นที่จะต้องฝืนตัวเองขนาดนี้ด้วยเหรอ ทั้งที่เจ็บก็แค่บอกไปว่าเจ็บ คนนั้น ๆ ก็ไม่ปล่อยให้ทรมานหรอก ไอริสทำเป็นหูทวนลมกับคำโวยวายผสมความเป็นห่วงของไบท์ เธอใช้มือเช็ดคราบเลือดกับกระโปรงส่วนที่ยังสะอาดอยู่ แล้วหยิบมือถือกดเบอร์โทรหาเพื่อนสาวคนสนิท “แพส... วันนี้ฉันลาป่วยอีกวันนะ” ไอริสพูดกับปลายสายด้วยน้ำเสียงปกติ “เธอยังไม่หายดีอีกเหรอ เมื่อวานฉันเป็นห่วงมากเลยนะ” เสียงปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอบอุ่น สภาพของไอริสเมื่อวานไม่ว่าใครเห็นต่างก็ต้องเป็นห่วง แต่ในตอนนั้นกลับมีบางอย่างรั้งร่างเธอไม่ให้เคลื่อนไหว ทำได้แค่มองดูเพื่อนสนิทเดินจากไป “ไม่เป็นอะไรมากหรอกน่า แค่ปวดหัวตัวร้อนนิดหน่อยเอง” เจ้าของร่างที่เปื้อนเลือดพูดออกมาด้วยน้ำเสียงกวนหัวเราะ “ให้ตายสิไอริส... เอาเป็นว่าดูแลตัวเองดี ๆ ก็แล้วกัน อีกไม่นานพวกเราก็ต้องกลับไปที่โลกเดิมแล้วนะ” แพสชั่นสั่งพูดกับไอริส คำสนทนาที่ทำให้ปลายสายรับรู้ว่าเพื่อนสนิทตัวเองในตอนนี้ได้คืนความทรงจำทุกอย่างไปแล้ว ไอริสมีสีหน้าหมองลงในทันตา หากแพสชั่นรับรู้เรื่องราวทั้งหมด แล้วรู้ความจริงอีกว่าความจริงแล้วเธอคือโอลิเวียหาใช่ไอริส ถึงเวลานั้นคำว่าเพื่อนคงจะใช่เรียกเรื่องของเราทั้งสองไม่ได้อีกต่อไป “รู้แล้วน่า” ไอริสชิงว่าสายทิ้งหลังจากที่ตอบกลับไป หลังจากสายในมือตัดไป สายภายในจิตก็ดังขึ้นมาแทน ‘เธอบาดเจ็บ’ ‘แค่นิดหน่อย ไม่ต้องไปรายงานหมอนั่นล่ะ’ ‘เอายาไหม’ โอลิเวอร์ถามต่อ เขาทำเป็นเมินคำสั่งของโอลิเวีย เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็ต้องรายงานกับคูลเรื่องที่หญิงสาวบาดเจ็บอยู่ดี ‘ไม่จำเป็น’ ไอริสปฏิเสธไปอย่างไร้เยื่อใย ‘งั้นฉันต้องรายงานคูล’ เจ้าตัวข่มขู่ ‘ยังไงนายก็บอกเขาอยู่ดี’ นี่มันพี่ชายฝาแฝดเธอเอง จะไม่รู้ได้ยังไงว่าเขาจะทำอะไรน่ะ ‘หยุดเรียนสินะแบบนี้’ โอลิเวอร์เริ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเมื่อรู้ว่ายังไงคนที่มีนิสัยดื้อรั้นสุดท้ายแล้วก็จะยืนยันคำเดิมอยู่วันยังค่ำ ยังไงซะเขาก็ต้องรายงานคูล ส่วนไอริสก็ต้องยอมรับยารักษาอยู่ดี ‘อืม’ ‘วันนี้คูลจะออกเยี่ยมคนที่ไม่ได้มาโรงเรียน ถ้าจะให้พูดอีกอย่างก็คือทำลายข่ายเวทเธอแล้วทำให้ความทรงจำกลับมา’ ‘ฉันบอกแล้วนี่ จะทำอะไรก็ทำไป’ น้ำเสียงเย็นชาที่ไม่ใส่ใจถูกส่งผ่านออกไป แต่ทว่าคำพูดถัดไปของคนเป็นพี่ก็ทำให้น้ำแข็งที่เกาะกุมหัวใจเริ่มสั่นไหว... ‘ก็แค่เผื่อเธอจะตกใจที่เห็นหมอนั่นไปอยู่หน้าบ้านไงล่ะ อ้อ...อีกเรื่องหนึ่ง ท่านแม่จะให้อริสหมั้นกับเจ้านั่นหลังจากกลับไปบลีกฟิกนะ’
已经是最新一章了
加载中