บทที่ 6 - หญิงสาวเร่ร่อน   1/    
已经是第一章了
บทที่ 6 - หญิงสาวเร่ร่อน
บทที่ 6 หญิงสาวเร่ร่อน ในเช้าวันใหม่ ไอริสตื่นนอนขึ้นมาทันทีที่เจ้าตัวได้ยินนาฬิกาปลุกแผดเสียงร้องดังลั่นที่หัวเตียง เธอตัวลุกขึ้นมา สิ่งแรกที่ทำก็คือการสังเกตบาดแผลที่ได้รับมาเมื่อวาน แต่ก็พบว่าบัดนี้มันเลือนรางหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น บาดแผลที่ใหญ่เหวอะหวะได้รับการรักษาจากยาชั้นดี อีกทั้งร่างกายเองก็รักษาตัวเองไวเป็นทุนเดิม ทำให้การรักษาตัวเองเป็นไปได้ราวกับใช้พลังวิเศษ ความเป็นไปไม่ได้มักเกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดาในดินแดนบลีกฟิก เมื่อตรวจสอบแผลเสร็จ เธอลุกขึ้นจากเตียงอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเดินไปอาบน้ำแต่งตัวด้วยท่าทางไม่เร่งรีบ คราวนี้เธอลุกจากเตียงอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเดินไปอาบน้ำแต่งตัวด้วยท่าทางไม่เร่งรีบ พอเสร็จทุกอย่างก็เดินลงไปชั้นล่างเตรียมที่จะออกไปจากบ้าน แต่แล้วเธอก็ได้ปะทะเข้ากันกับเจ้าแมวสาวสีขาวที่วิ่งมาตัดหน้าที่โถงทางเดิน “ฉันจะไปโรงเรียน เธออยู่บ้านนี้แหละ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงรู้ทัน แค่เห็นสีหน้าและแวตาของเจ้าภูตแมวสาวที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง ไอริสก็อ่านมันได้ทะลุปรุโปร่ง และเพียงแค่คำพูดประโยคเดียวของเธอ ก็สามารถทำให้มันแสดงสีหน้าสลดใจออกมาได้ในทันที ไบท์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนย่อตัวเองให้กลายเป็นลูกแมวน้อยแล้วกระโดดขึ้นมาเกาะไหล่ไอริส พลางทำเสียงออดอ้อน “ฉันนอนในกระเป๋าก็ได้ ตัวฉันไม่หนักหรอกน่า” มันว่า แต่คนที่ถูกคลอเคลียกับทำหน้าเย็นชา อันเป็นลางบอกให้มันเชื่อฟังไม่เช่นนั้น อาจได้กลับร่าง กลายเป็นแมวหินก็เป็นได้ “ยังไงก็ไม่ได้ วันนี้โอลิเวอร์บอกกับฉันว่าจะมีการสัมภาษณ์ข้อมูล ถ้าเกิดเธอไปโรงเรียน ตัวตนฉันต้องถูกเปิดโปงแน่ ๆ” พอสิ้นคำอธิบาย เจ้าแมวน้อยก็ทำหน้างอไม่พอใจ กระโดดลงจากร่างบางแล้วกลับไปอยู่ในร่างตัวเต็มวัย ก่อนจะเดินเข้าไปนอนบนโซฟานุ่มนิ่มในห้องรับแขกดั้งเดิม ไอริสถอนหายใจกับนิสัยของไบท์ เจ้าแมวสาวเวลาขัดใจมักจะงอนนานเสมอ ดูเหมือนตอนกลับบ้านเธอคงต้องหาซื้อเนื้อชั้นดีมาง้อสักหน่อย ตัวเธอกับไบท์ที่อยู่กันมาเพราะพันธสัญญาหลอมรวมชีวิต ที่บังเอิญไปทำร่วมกันสมัยยังเด็ก ตอนนั้นเท่าที่จำความได้คล้ายว่าจะเป็นตอนที่ยังอาศัยอยู่ในวัง สัญญานั้นทำให้เธอได้รับความสามารถของไบท์มาด้วย นั่นคือการทนพิษทุกชนิด รวมไปถึงการตายแล้วเกิดใหม่ร่วมกันได้ถึงเก้าครั้ง ไบท์เป็นภูตที่ไม่รู้รูปร่างที่แท้จริง แต่ทว่าไอริสได้พบกับเจ้าตัวมาแล้วหลายร่างทั้งแมว จิ้งจอกหรือแม้กระทั่งสิงโต มันทำให้เธอคิดว่าไบท์คือเผ่าพันธุ์ที่เป็นจำพวกแมวตัวเล็กจนถึงใหญ่ แต่ยังไม่หมดแค่นั้นเมื่อมันสามารถกลายเป็นเป็นคนได้ด้วย โดยที่ร่างคนนั้นจะมีเสน่ห์เย้ายวนใจอย่างบ้าคลั่ง ไม่ว่าใครที่พบเห็นก็ต่างหลงใหลราวกับตกอยู่ในมนต์สะกด ทว่าไบท์กลับไม่ชอบอยู่ในร่างคนสักเท่าไหร่ โดยให้เหตุผลว่ามันไม่สะดวก “ไอริส! นี่เธอหายดีหรือยัง” เสียงใสนุ่มอันเป็นเอกลักษณ์ของแพสชั่นแผดเสียงลั่นทันทีที่ไอริสเดินก้าวเท้าเข้ามายังห้องเรียน ร่างสูงบางของหญิงสาวผมดำขลับถูกจดจ้องด้วยสายตานับสิบของเพื่อนในห้องที่รุมกันมาเป็นตาเดียว เจ้าตัวปรายตามองรอบ ๆ อย่างรวดเร็ว ก่อนที่ดวงตาสีดำทะมึนจะประกายแสงสดใสออกมา พร้อมรอยยิ้มร่าเริง “อือ” คนถูกถามตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริง เธอยิ้มจนตาหยี และนี่ก็คือไอริสที่คนเหล่านี้รู้จัก ไอริสที่ร่าเริง...ไม่ใช่เจ้าหญิงโอลิเวียผู้เย็นชาโหดเหี้ยม หญิงสาวมองเลยไหล่ของเพื่อนสาวคนสนิทไปทางด้านหลังห้อง ก็ได้พบกับร่างสูงของชายหนุ่มผมขาวกำลังก้มหัวนอนหลับลงไปกับโต๊ะบริเวณที่นั่งข้าง ๆ เธอ ที่เคยว่างเปล่ามาเป็นเวลานาน คราวนี้สายตาเจ้าตัวกลับมาสนใจเพื่อนตรงหน้าอีกครั้งพลางขมวดคิ้วงุนงง “ผู้ชายผมขาวนั้นเป็นใครนะ” เสียงใสถามอย่างสงสัย พร้อมกับเอียงคอเล็กน้อย มันดูน่ารัก...คนอื่นคิดแบบนั้น แต่แพสชั่นกลับแทบเดือด “ตายแล้ว ไอริส!” สาวผมแดงร้อนลั่นราวกับมีเรื่องขัดใจ “เธอเรียกเจ้าชายโอลิเวอร์ แกรนไรซ์ว่าผู้ชายผมขาวได้ไงกัน เขาเป็นถึงเจ้าชายอันดับที่สองแห่งบลีกฟิกเลยนะ เฮ้! ฟังฉันอยู่ไหมเนี่ย” แพสชั่นอ้าปากค้างเมื่อเห็นคนที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวเดินผ่านตนเองไปยังโต๊ะหน้าห้อง...ซึ่งก็คือที่นั่งของแพสชั่น ก่อนจะนั่งลงไปหน้าตาเฉย “แหะ ๆ ฉันเป็นแค่คนเร่ร่อนนะ จะให้ไปรู้จักคนในราชวงศ์ได้ไงกัน” เจ้าตัวที่นั่งลงไปตรงที่นั่งของคนอื่น หันมาหัวเราะแห้ง ๆ ให้คนที่กำลังจะวีนแตกในไม่ช้า ซึ่งไอริสไม่ค่อยสนใจเรื่องนั้นสักเท่าไร ในเมื่อจุดประสงค์ที่แท้จริงก็คือประกาศให้ทุกคนได้ยินว่าตัวเธอเป็นแค่คนเร่ร่อน ฝ่ายคนควรจะวีนในยามนี้กลับถอนหายใจเฮือกใหญ่ราวกับหนักใจ เจ้าหญิงผมแดงแสนสวยเดินย่างกรายมาหาไอริสด้วยท่าทีเซ็ง ๆ ก่อนจะนั่งลงโต๊ะข้าง ๆ ที่เป็นของใครก็ไม่รู้ “งั้นฉันเล่าให้ฟังก็ได้” ใบหน้าสวยคมพูดออกมาอย่างยอมแพ้ หลังจากที่หยุดมองหน้าไอริสสักพักเจ้าตัวก็เริ่มเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “คืองี้นะ พวกเราถูกเจ้าหญิงบ้าเลือดคนหนึ่ง ชื่อว่าโอลิเวียเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกับเรา หน้าตาคล้าย ๆ โอลิเวอร์เนี่ยแหละเพราะเป็นฝาแฝด เธอพาพวกเราทั้งหมดมาอยู่โลกที่ไร้สงครามด้วยการใช้พรต้องห้าม พร้อมทั้งย้อนอายุและลบความทรงจำของทุกคน แต่โชคดีของพวกเราที่ได้คนอย่าง เจ้าชายคูล เวราเน่ แห่งดินแดนภูตมาช่วยเหลือ และจะเป็นผู้พาเรากลับไปยังบ้านเกิด เจ้าชายคนนี้มีหน้าตาที่หล่อเหลาราวกับปั้นออกมาจากฝีมือจิตรกรชั้นเอก เสียดายก็แต่มีคู่หมั้นแล้ว คู่หมั้นของเขาตอนนี้คือ เจ้าหญิงอริส แกรนไรซ์ แห่งบลีกฟิกเจ้าหล่อนเป็นคนที่มีความงามสยบทุกสตรีเลยนะ แถมมีพี่ชายที่หน้าตาหล่อค่อนไปทางหวานตราตรึงใจ นิสัยรักสันโดษ ถ้าให้ว่ากันตามตรง ...ตระกูลแกรนไรซ์ ช่างเป็นตระกูลที่มีแต่หนุ่มหล่อสาวสวยจริง ๆ” แพสชั่นเล่าเรื่องราวพร้อมทั้งชื่นชมพวกเจ้าหญิงเจ้าชายออกมาด้วยใบหน้าเคลิบเคลิ้มฝันหวาน ในขณะที่คนฟังกลับซ่อนใบหน้าเบื่อหน่ายไว้ภายใต้รอยยิ้มอันสดใส ในแผ่นดินกว้างใหญ่ พี่ชายและพี่สาวต่างถูกชมต่าง ๆ นานา ในขณะที่พวกเธออีกสี่คนกลับเป็นเหมือนอากาศธาตุไร้ตัวตนราวกับไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน แต่ถ้าหากจะให้พูดถึง... โอลิเวีย เจ้าหญิงบ้าเลือด รีนีน่า เจ้าหญิงพายุ เปรเรเซ่ เจ้าหญิงไฮเปอร์ เปรเนเซ่ เจ้าหญิงบ้าพลัง ในขณะที่อรินพี่ชายใหญ่สุด เป็นถึงชายหนุ่มรูปงามบาดตาบาดใจสาว ๆ อริสพี่สาวคนโต ก็เป็นถึงสาวงามสยบหล้า โอลิเวอร์เจ้าชายคนรองก็เก่งการเชี่ยวชาญการต่อสู้อีกทั้งปัญญาเป็นเลิศ แต่ใครจะรู้เล่า หนุ่มงามกลับมีปัญหาด้านการเข้าสังคม ฝ่ายสาวงามแท้จริงคือจอมราชินีขี้วีน ส่วนพ่อคนเก่งก็เป็นพวกกวนบาทา พูดไปก็คงไม่มีใครเชื่อ “เธอไม่ชอบเจ้าหญิงโอลิเวียเหรอ” ไอริสถามคนข้างพร้อมกับสบสายตา คำกล่าวข้างต้นของแพสชั่นมันสื่อออกมาให้เห็นชัดว่าเจ้าตัวไม่ชอบตัวจริงของเธอสักเท่าไหร่ “เธอนิไม่รู้จักโอลิเวอร์ แต่ดันไปรู้จักยัยเจ้าหญิงปีศาจเสียอย่างนั้น แต่ก็ช่างเถอะ เรื่องที่ว่าไม่ชอบ... แน่นอนว่าใช่ ฉันไม่ชอบเจ้าหญิงคนนั้น ใครมันจะไปชอบคนที่พรากเราออกจากตัวตนเดิมโดยที่ไม่ถามความเห็นละ แบบนี้มันเผด็จการชัด ๆ” สาวสวยบ่นออกมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ ไอริสยิ้มกว้างกว่าเดิม ในขณะที่จิตใจหดหู่และรวดร้าว ขนาดคนที่เธอไว้ใจยังไม่ชอบตัวเธอเองและแบบนี้เธอจะมีหน้ากลับไปในฐานะโอลิเวียได้ไงกัน แค่คิดถึงวันที่คนตรงหน้าล่วงรู้ความจริง เธอคงไม่แคล้วถูกตัดความสัมพันธ์ทิ้งอย่างไม่ไยดีเป็นแน่ แต่ยัยบ้าไบท์ไปประกาศอะไรไวนะ ทำไมคนที่ไม่รู้เรื่องราวถึงได้มาด้วย แล้วเธอกลายเป็นมารร้ายไปเสียอย่างนั้น ‘ถ้าเป็นเมื่อก่อน เดาว่าเธอคงล้มโต๊ะไปแล้ว’ เสียงทุ้มอันคุ้นเคยดังขึ้นในจิตใจอย่างเคยชิน คนที่ได้รับสารแอบเก็บความไม่พอใจไม่ให้แสดงออกทางสีหน้า ก่อนจะแสร้งฟุบหน้าลงกับโต๊ะราวกับนอนหลับ ‘สิบแปดปี จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยก็คงไม่ใช่’ เธอตอบกลับไปอย่างเย็นชาต่ออดีตที่กลับเข้ามาในความทรงจำเมื่อไม่กี่วันก่อน ...อดีตที่รู้สึกราวกับว่าเป็นเพียงแค่เมื่อวันวาน ‘ก็เป็นซะแบบนี้ หมอนั่นมันถึงได้คลั่ง’ ‘อ้อเหรอ... คลั่งแบบแก้วไวน์อยู่ในมือจู่ ๆ ก็แตกแบบไม่มีเหตุผลไรงี้สินะ’ หญิงสาวทำเสียงล้อเลียน ถ้าหากคุยกันอยู่ตรงหน้าเจ้าหล่อนคนเบ้ปากใส่ไปแล้ว ‘หึ! เอาเป็นว่าวันนี้หมอนั้นอารมณ์เสียมาก ไม่รู้ว่าจะเล่นอะไรระวังตัวไว้ละ’ ไอริสที่ก้มหน้าอยู่ พอได้ยินแบบนั้นเจ้าหล่อนก็ฉีกยิ้มหวานออกมา ก่อนจะเอาหัวลุกขึ้นจากโต๊ะ แล้วหันไปหาแพสชั่นพร้อมกับถามคำถามที่คนทั้งโรงเรียนต่างรู้ดีว่า “วันนี้มีสัมภาษณ์เก็บประวัติพวกเราจากบลีกฟิกใช่ไหม” “ใช่” แพสชั่นตอบสั้น ๆ ได้ใจความ ก่อนที่เจ้าหล่อนจะหันไปสนใจอยู่กับสมุดในมือต่อ ไอริสหันหลังไปมองคนที่อยู่ทางด้านหลังห้อง ก็พบว่าพี่ชายฝาแฝดของตัวเองนั้นในตอนนี้ไม่ได้นอนเหมือนก่อนหน้าแล้ว แต่เขากำลังจ้องมาที่เธออย่างครุ่นคิด พอเห็นแบบนั้นคนที่ถูกมองก็ยิ้มหวานให้ก่อนที่รอยยิ้มหวานจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นแสยะยิ้มใส่ โดยที่ไม่มีคนเห็นเพราะทุกคนต่างแอบชำเลืองมองเจ้าชายผมขาวอยู่ ฝ่ายนั้นถอนหายใจออกมาก่อนจะลุกและเดินออกไปจากห้องอย่างเงียบ ๆ เอาล่ะ...คูล เวราเน่ มาดูกันหน่อยซิ ว่าคนอย่างนายจะทำให้คนอย่างไอริสมีแผลได้สักกี่แผลกัน “ต่อไปห้องบี เป็นห้องที่นายอยู่สินะโอลิว พอจะมีคนที่สนิทในห้องนั้นบ้างไหมล่ะ” หญิงสาวผมสีฟ้างดงามดั่งน้ำทะเลทอแสงต้องดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวันเอ่ยเสียงหวานออกมา โดยที่เจ้าหล่อนไม่เงยหน้าขึ้นมาจากเอกสารปึกหนาในมือแม้แต่น้อย จวบจนสายตาคมหวานเลื่อนไปจนจบบรรทัด เธอก็โยนมันลงกล่องกระดาษข้างตัวอย่างไม่แยแส พอภารกิจในมือเสร็จ เจ้าตัวก็เริ่มให้ความสนใจกับคนมาใหม่ที่มีรัศมีเย็นชาจนน่าขนลุก คล้าย ๆ กับคนที่เธอเพิ่งไปเจอมาเมื่อคืน ในยามนี้ห้องรับแขกของผู้อำนวยการได้แปรสภาพเป็นห้องสัมภาษณ์ขอเหล่าเจ้าหญิงเจ้าชายไปแล้ว โต๊ะยาวตรงกลางมีเจ้าชายภูตที่ทำสีหน้าเบื่อหน่าย แต่ยังคงแผ่รังสีแห่งอำนาจออกมาข่มขวัญคนรอบข้างอยู่ตลอดเวลา ส่วนที่นั่งด้านข้างก็ขนาบไปด้วยพี่น้องธรรมชาติเช่นเดิม ถัดไปทางประตูหลังเป็นเงามืด แต่ก็ไม่อาจบดบังร่างสูงโปร่งที่มีผมขาวและดวงตาสีแดงไปได้ บรรยากาศมาคุมีแต่ความเงียบทำให้คนพูดมากอย่างเอริสถอนหายใจไปไม่ต่ำกว่าสิบรอบ คำถามของเธอได้คำตอบเป็นความเงียบทุก ๆ ครั้ง ยิ่งเหลือบมองไปข้างตัวของเธอก็เห็นเป็นยัยขนก้อนกลม ๆ สีเหลืองทองนั่งขดตัวเงียบเชียบแข่งกับพวกบ้าตำแหน่งบนโต๊ะนั้น ทั้งที่เธอเป็นถึงประธานนักเรียน ได้รับหน้าที่รองมาจากผู้อำนวยการ กลับต้องมาทำงานรับใช้ไอ้พวกคนบ้าอำนาจคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าชายเจ้าหญิงในถิ่นที่ไม่มีเมืองตัวเองซะได้ และงานที่เธอทำก็เป็นงานที่เจ็บปวดจิตใจนักแสดงคนงามอย่างเธอเป็นอย่างมาก ...งานอ่านรายชื่อนักเรียน ส่วนสองสาวแฝดนรกผู้ได้รับหน้าที่เป็นลูกสมุนของเธอ ในยามนี้ได้แบ่งหน้าที่เป็นสองอย่าง คนหนึ่งคอยเป็นคนฟังข้อมูลที่เธอเรียกในห้องแล้วสื่อสารไปถึงอีกคน ส่วนอีกคนก็จะประกาศเรียก ด้วยความออริสไม่ค่อยพูดจึงทำหน้าที่คอยรับสาร ขณะที่แอริสที่ไม่ค่อยอยู่สุข รับหน้าที่ขานเรียกคน “หน้าเป็นรูปปั้นยักษ์อย่างหมอนั้นน่ะเหรอ จะมีเพื่อน...” เจ้าของร่างบางที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทางด้านซ้ายมือของคูลพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน พลางส่งสายตาดูถูกไปให้คนที่นั่งอยู่ด้านหลัง เอริสมองสาวสวยที่กำลังแสดงธาตุแท้ตัวเองออกมา เจ้าหล่อนก็รู้สึกคิดผิดที่เริ่มต้นหัวข้อสนทนา เพราะจะว่าไปแล้วทุก ๆ ครั้งที่เธอเริ่ม ก็ไม่แคล้วที่จะไม่พ้นถูกยัยคนสวยนั้นแขวะอยู่ร่ำไป แม้แต่เสือสองตัวยังอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ นับประสาอะไรกับผู้หญิงที่มีหน้าตากินกันไม่ลงแบบนี้จะหายใจร่วมกันได้ “ห้องนี้...” แต่แล้วจู่ ๆ คนที่ไม่น่าพูดมากที่สุดในห้องก็เปิดปากพูดขึ้นมา น้ำเสียงเรียบ ๆ แต่ทรงอำนาจ พอเอ่ยขึ้นมาก็ทำเอาทุกคนเงียบและหันไปมองเป็นตาเดียว “ช่วยเรียกเฉพาะคนที่น่าสนใจมากก่อน ที่เหลือพวกเธอก็จัดการต่อก็แล้วกัน ...ฉันเบื่อแล้ว” คำพูดที่ไม่ยี่หระของคูล ทำเอาคนที่ยืนทำงานมาตั้งแต่เช้าได้อย่างเอริสได้แต่อ้าปากค้าง มองหน้าหล่อ ๆ ของหมอนั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อหู จะเบื่อก็เบื่อง่ายขนาดหนักทั้งที่เขาเพิ่งเข้ามานั่งในห้องนี้ได้ไม่ถึงยี่สิบนาทีแท้ ๆ นิสัยเอาแต่ใจนี่...เหมือนกันราวกับแกะเลยสินะ ไอริส คูล “ได้” เอริสฝืนยิ้ม แต่สายตากลับจ้องมองคนที่นั่งอยู่ตรงกลางอย่างกินเลือดกินเนื้อ ขอแค่มีโอกาสเธอจะขอล้างแค้นอย่างสาสมเลย ...คอยดูสิ “นายอยากจะเจอกี่คนละ” “สอง” เสียงทุ้มพูดขึ้น ก่อนจะทำหน้าครุ่นคิดแล้วพูดต่อ “ที่สำคัญ...ไอริส แกรน ฉันอยากเจอผู้หญิงคนนั้น” เพียงความต้องการธรรมดา แต่กลับทำให้เอริส ออริสและโอลิเวอร์หายใจติดขัด เพราะชื่อที่เจ้าตัวจงใจเรียกนั้นคือใครพวกเขาต่างรู้กันดี แต่ทว่าเรื่องนี้กลับมีคนสองคนที่ซื่อบื้อนั่งตีหน้านิ่งไม่รู้เรื่องรู้ราวกันอยู่ อรินและอริส ช่างสมกับที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี อยู่แต่ในวังคงไม่รู้สึกสงสัยเรื่องอะไรเลยสินะ “ได้ เอาเป็นว่าคนแรก... แพสชั่น เนปเชียน” เพียงแค่เอริสขานชื่อคนออกมา ออริสที่นั่งตัวก้มอยู่ข้าง ๆ ก็สื่อสารไปหาคนที่เป็นพี่สาวตัวเองอย่างรวดเร็ว ฝ่ายคนที่อยู่ข้างนอกพอได้ยินชื่อถูกส่งมา ก็ตะโกนถามออกไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้คนที่เตรียมตัวพร้อมตลอดเวลาอย่างแพสชั่น ลุกขึ้นและก้าวเท้าเข้าไปในห้องที่มีสายเลือดราชวงศ์นั่งรออยู่อย่างรวดเร็ว เรือนผมสีแดงที่โดดเด่นก้าวเข้ามายืนอยู่กลางห้อง ทุกย่างก้าวที่หนักแน่นและเต็มไปด้วยความมั่นใจ รังสีความเป็นผู้นำฉายชัดออกมา ขับเน้นให้ใบหน้าสวยคมดูแข็งแกร่งแต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยน ดวงตาสีทับทิมขุ่นจ้องมองที่เจ้าชายภูตอย่างไม่เกรงกลัว โดยไม่รอให้ถาม แพสชั่นก็รายงานตัวเองออกมาเสียก่อน “ฉันมีชื่อว่าแพสชั่น มาจากตระกูลเนปเชียนเป็นขุนนางชั้นหนึ่งที่อาณาจักรเดนชิว ตัวฉันเป็นลูกสาวคนโตของบ้าน ได้ทราบข่าวการสมัครเรียนที่โพลาเดียทำให้เดินทางไป แต่ไม่คาดคิดว่าจะถูกส่งมาอีกโลกหนึ่ง เรื่องตระกูลของฉันเอง...เจ้าชายโอลิเวอร์ก็น่าจะรู้ดี” คราวนี้นัยน์ตาคมเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ชายหนุ่มในมุมมืด เอริสประเมินหญิงสาวผมแดงจากทางด้านหลัง ดูจากลักษณะแล้วเจ้าหล่อนสมเป็นพวกสายเลือดปีศาจ ดวงตาที่เฉียบคมและมองเห็นได้ดีในที่มืด ไม่มีใครเหนือไปกว่าพวกนี้อีกแล้ว แต่...ความสามารถทางการต่อสู้จะมีแค่ไหนกันถึงได้คิดที่จะมาเรียนที่โพลาเดีย โรงเรียนศาสตร์แห่งการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่ที่มีการต่อสู้ทุกรูปแบบรวมอยู่ในโรงเรียนเดียว “ว่าไงโอลิว” คูลถามคนที่ยืนนิ่งอยู่ด้านหลัง “อืม” ชายหนุ่มตอบอย่างขอไปที “งั้น...” เสียงหวานแหลมลากยาวขึ้นมา “เธอเคยเห็นผู้หญิงผมยาวสีขาว ตาสีแดงบางไหม” เป็นอริสเองที่ถามคำถามนี้ ดูเหมือนเจ้าหล่อนจะอยากรีบ ๆ จบเรื่องนี้เหมือนกัน ทว่าคำตอบที่ได้รับมาเป็นเพียงการส่ายหน้าช้า ๆ คนทั้งห้องต่างทำหน้านิ่งไม่แสดงการผิดหวังหรือดีใจออกมาสักนิด ราวกับพวกเขารู้อยู่แล้วว่าจะเจอคำตอบแบบนี้ นัยน์ตาสีแดงคมของโอลิเวอร์จับจ้องไปที่แพสชั่นอย่างไม่วางตา ตอนอยู่ในห้องผู้หญิงคนนั้นไม่ได้มีอาการที่มั่นใจแบบนี้อยู่เลยแม้แต่นิด แต่ทว่าพอมาเผชิญหน้าในสถานการณ์ที่กดดันแบบนี้ ทำไมความมั่นใจถึงแสดงออกได้มากถึงขนาดนั้น อันที่จริงเนปเชียนเชี่ยวชาญทักษะด้านการควบคุมมังกรเป็นที่สุด คนในตระกูลนั้นสามารถเปลี่ยนมังกรดุร้ายให้กลายเป็นเพียงสัตว์เลี้ยงเชื่อง ๆ ตัวหนึ่ง ดังนั้นความสามารถด้านการมองของผู้หญิงคนนี้ต้องมีที่มาที่ไปไม่ปกติแน่ ‘ได้ยินใช่ไหม’ เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นกับคู่สนทนาในใจเพียงหนึ่งเดียวในจิตของตัวเอง ‘อือ’ เสียงใสตอบกลับ ก่อนจะพูดต่อขึ้นมาโดยเว้นช่วงไปสักพัก ‘แต่ฉันอยากได้ข้อมูลของนักเรียนใหม่โพลาเดียมากกว่า’ ‘งั้นก็ไปเปิดประตูมิติเองอีกรอบสิ จะได้กลับไปไว ๆ’ เสียงทุ้มเอ่ยล้อเลียน เล่นเอาเจ้าตัวคนฟังนั่งหน้างออยู่ข้างนอกโดยไม่สนใจสายตาคนรอบข้างอีก ‘ถึงกลับไป จะได้กลับแบบครบสามสิบสองกันรึเปล่าเถอะ’ ไอริสตอบกลับเสียงห้วน บ่งบอกชัดว่าเจ้าหล่อนเริ่มไม่สบอารมณ์เข้าให้แล้ว ‘ทำไม’ ‘แหม่ ทำเป็นลืม...ก็ไอ้ทางที่จะกลับไปมันถิ่นใคร อย่าลืมสิพี่ชาย ...ไม่เข้าใจจริง ๆ จะกลับทำไมถึงต้องเลือกทางที่เป็นของเจ้าพวกป่าเถื่อนนั้นด้วย’ ‘ที่ป่าเถื่อนมันเธอกับคูลต่างหากละ’ น้ำเสียงทะเล้นหาฟังได้ยากจากโอลิเวอร์ดังขึ้น ทำเอาคนฟังแทบนั่งไม่ติดเก้าอี้ แต่ถ้าหากเธอลุกต้องกลายเป็นจุดสนใจแน่ เพราะงั้นที่เธอทำได้คือการโวยวายในใจ ‘ไอ้เจ้าชายน้ำแข็ง นายจะทำตัวเย็นชากับฉันตลอดไปเลยก็ไม่ว่ากันหรอกนะ ไม่ต้องมาทำน้ำเสียงกวนประสาทเลย ฟังแล้วหงุดหงิด’ ‘ต่อไปตาเธอแล้ว’ เสียงทุ้มเปลี่ยนหัวข้อเรื่อง ‘อะไร’ เสียงหวานถามกลับอย่างไม่พอใจเนื่องจากอารมณ์หงุดหงิดยังค้างอยู่ แต่ไม่ทันที่โอลิเวอร์จะได้ตอบอะไรเธอไปมากกว่านั้น เสียงใสที่แฝงแววเบื่อหน่ายของหญิงสาวตัวเล็กผมสั้นสีเหลืองทองนามว่าแอริสที่นั่งยอง ๆ อยู่ข้าง ๆ ประตูก็เรียกชื่อเธอขึ้นอย่างรวดเร็ว “ไอริส แกรน” เด็กสาวที่ก้มหน้าจู่ ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมามองคนที่เดินมาถึงประตู ฉับพลันดวงตาส้มเพลิงก็พลันลุกวาวเป็นประกาย ความเบื่อหน่ายที่เคยรุมเร้าก็พลันหายไป เพียงแค่เจอกับ... “พี่หญิง..” แค่เพียงคำพูดเบา ๆ ราวสายลมของแอริสหลุดออกมาจากปากไม่ทันจบคำก็ถูกสายตาสีดำเย็นเหยียบตวัดมองไปอย่างไม่พอใจ แอริสที่ได้รับมันก็พลันหนาวสะท้านไปทั้งร่าง พลางคิดไปว่าขนาดมันสีดำไร้สีสันเฉกเช่นสีแดงดั่งเลือดเหมือนเมื่อก่อนมันยังน่ากลัวได้ขนาดนี้ ถ้าเป็นแบบเมื่อก่อน ตอนนี้เธอคงจะแข็งไปทั้งร่างแล้ว ไฟร้อนของตัวเองหรือจะสู้กับความหนาวเย็นที่ออกมาจากหัวใจของพี่สาวคนนี้ได้ “ถ้าเรียกฉันแบบเมื่อกี้อีกรอบละก็ ปากน้อย ๆ ของเธอจะถูกแช่แข็งแน่ ...แอริส” น้ำเสียงเย็นชาเปล่งออกมาจากริมฝีปากบางสีแดงสด ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าพร้อมกับคำขู่เหล่านั้นทำเอาเด็กน้อยนามว่าแอริสไม่กล้าคิดจะหือแม้แต่น้อย ต่อให้เป็นอาจารย์ฟีโอน่าผู้แข็งแกร่งสั่งอะไร เจ้าหล่อนยังไม่คิดกลัวเท่ากับคำพูดของพี่คนนี้เลยสักนิด ไอริสพอสั่งเสียน้องสาวข้างประตูจบ เจ้าตัวก็ผลักบานประตูไม้หรูหราเข้าไปข้างใน เพียงแค่ก้าวผ่านมาดวงตาสีดำเย็นเยียบก็แปรเปลี่ยนเป็นสดใสดุจดั่งดวงอาทิตย์ ทำเอาเจ้าชายน้ำแข็งที่รอดูเหตุการณ์หรรษาอยู่ในมุมมืดยกยิ้มที่มุมปากขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ จะมาไม้ไหนกันละหนอ คุณน้องสาว เมื่อเข้ามาถึงไอริสก็ออกอาการแปลกใจเล็กน้อยต่อสภาพที่เห็น เพราะมันต่างจากที่เธอคิดเป็นอีกด้าน เธอคิดว่าเข้ามาจะเจอกับบรรยากาศมาคุ แต่ที่ไหนกัน...นี้มันสภาพคนตายซากชัด ๆ คูล เวราเน่นั่งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงกลาง ในยามนี้กลับเหยียดขาพาดกับโต๊ะ ตัวยืดพิงกับเบาะเก้าอี้เต็มที่ อริสสาวงามมาดนางพญาที่ควรนั่งตัวตรงคางเชิดในยามนี้กลับเท้าคางม้วนปลายผมเล่น ฝ่ายอรินกลับเอาเอกสารมาปิดหน้านั่งหลับหน้าตาเฉย เอริสที่อยู่ข้างประตูด้วยความที่ยืนนานเจ้าหล่อนจึงนั่งลงพื้นอย่างไม่ห่วงภาพพจน์ ฝ่ายออริสก็ยังคงเป็นก้อนกลม ๆ เหมือนเดิมไปเปลี่ยนแปลง จะมีก็แต่โอลิเวอร์ที่ยิ้มมุมปากบาง ๆ พลางส่งสายตายียวนมาให้ไอริสอยู่เป็นระยะ ๆ ซึ่งแตกต่างจากคนอื่นในยามนี้ ไอริสแอบถอนหายใจก่อนจะเริ่มแนะนำตัวเองอย่างรู้งาน “ฉันมีชื่อว่าไอริส แกรน อย่างที่ฉันบอกไปเมื่อวาน ฉันเป็นเพียงแค่เด็กกำพร้าเร่ร่อนเท่านั้น” ไอริสอธิบายด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ ติดเบื่อนิด ๆ ทว่าสัมผัสของร่างกายก็ได้รู้สึกได้ถึงไอมุ่งร้ายจากด้านหลังเพียงแค่เธอพูดจบ เป็นผลให้เธอต้องเอียงหัวหลบเจ้าสิ่งที่พุ่งตรงมาหาหัวของเธอ มันคือธนูสีขาวนวลผู้ที่ยิงออกมาก็คือเอริสที่ยืนอยู่ด้านหลังพร้อมกับธนูทำจากปะการังเป็นของกลางที่อยู่ในมีเรียวคู่นั้น ทว่าลูกธนูที่เพิ่งผ่านเฉียดใบหน้าของเธอไปนั้น ในตอนนี้ได้อันตรธานหายไปแล้ว โดยคนที่สลายมันก็คือเจ้าชายภูตเอง แสงประกายเป็นผงทองของธนูที่ค่อย ๆ จางหายไป ยังคงงดงามดังวันวานไม่เคยเปลี่ยน ทั้งที่มีพลังมากถึงขั้นทำได้ทุกอย่างแต่เขากลับไม่คิดจะใช้มัน เอาตามตรงสำหรับไอริสแล้ว ตัวเธอนั้นอิจฉาคูลมากในเรื่องความสามารถ เขาทำในสิ่งที่ยากให้เป็นเรื่องง่ายได้เพียงแค่ปลายนิ้ว ส่วนเธอนั้นต้องฝึก แต่สำหรับคูลแล้วทุกอย่างมันเป็นดั่งพรสวรรค์ที่ไม่ต้องทำอะไรก็ได้มันมา ทั้งพลังเวทไร้ขีดจำกัด หรือแม้จะเป็นการย่อยสลายอาวุธแบบในตอนนี้ “ทำไม... เด็กกำพร้าเร่ร่อนถึงได้มีทักษะการหลบหลีกดีแบบนี้” เสียงทุ้มทรงอำนาจเอ่ยขึ้นมา ดวงตาสีเทาคอยจ้องมองนิ่งไปยังร่างของหญิงสาว ใบหน้านั้นยังคงไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้ คนที่ถูกถามพอรู้ว่าเผลอตัวไป ก็ทำได้แค่แต่งเรื่องแก้ตัวขึ้นมา “ก็เพราะว่าเร่ร่อน เวลาไปที่ต่าง ๆ ก็มักจะมีพวกโจรไม่ก็พวกนักเลงเขามาหาเรื่องอยู่บ่อย ๆ ฉันเลยพอจะมีฝีมืออยู่บ้าง ไม่งั้นคงไม่มาสมัครเรียนที่โพลาเดียหรอก จริงมั้ย” เธอยิ้มร่าขณะตอบ ดวงตาคมใสในยามนี้ประกายระยิบระยับออกมาบดบังความจริงเสียจนมิด รอยยิ้มสดใสประดับบนใบหน้าสวย ทดแทนสีหน้าเย็นชาเมื่อไม่กี่วันไปจนหมด เพราะในตอนนี้เธอคือไอริส ไม่ใช่โอลิเวียอีกต่อไปแล้ว ท่าทางเย็นชาที่พาคนมองเห็นแล้วหนาวจนถึงหัวใจ...เธอต้องทิ้งมันไปให้หมด ในเมื่อไอริส แกรน ตรงกันข้ามกับที่เคยเป็น... “ฮึ” เสียงหลุดขำดังขึ้นมาจากมุมมืด เรียกให้คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทั้งสามชีวิตกันกลับไปมองเป็นตาเดียว เนื่องจากคนที่หลุดหัวเราะออกมาดันเป็นคนที่หัวเราะยากที่สุดในกลุ่ม ฉายาของหมอนั้นก็คือเจ้าชายน้ำแข็งไร้อารมณ์ สีหน้าของทุกคนในห้องยกเว้นไอริส ยามที่มองโอลิเวอร์ในยามนี้ต่างพากันเบิกกว้างเต็มไปด้วยความตกใจ เมื่อไอ้คนที่แม้แต่ยิ้มดี ๆ ยังทำยาก แต่ในตอนนี้กลับกำลังเอามือข้างหนึ่งกุมท้อง ส่วนอีกข้างปิดปากกลั้นเสียงของตัวเองเอาไว้ ในตอนนี้ทุกคนมีความคิดไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็นตรงหน้าเหมือน ๆ กันหมด แต่ก็ยกเว้นหญิงสาวผมยาวสีดำที่ยืนนิ่งส่งสายตาขุ่นเคืองไปให้คนที่ขำอยู่ ไอริสมักได้ยินพี่ชายกวนประสาทตัวเองมาจนชินชา แต่พอมาโดนขำเอาต่อหน้าแบบนี้ก็เริ่มจะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา โอลิเวอร์พยายามอย่างหนักที่จะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แต่เจ้าตัวก็ทนไม่ไว้ถึงกลับข้อตัวออกไปจากห้อง “โทษที ๆ พอดีฉันเผลอนึกเรื่องน่าอายมาก ๆ ขึ้นมาได้นะ มันขำมากจริง ๆ” คนตัวสูงแก้ตัวก่อนจะเดินออกไปทางประตูด้านหลัง คูลมองตามร่างสูงของคนที่เป็นเพื่อนสนิทไปจนกระทั่งประตูถูกปิดลง คราวนี้เขาก็หันกลับไปมองหญิงสาวที่ยืนยิ้มร่าอยู่กลางห้อง ดวงตาคมราวกับเหยี่ยวหรี่ลงพร้อมแผ่รังสีมุ่งร้ายออกมา ฉับพลันไอริสก็รู้สึกถึงความร้อนเสียดแทงจนเจ็บแปลบที่นิ้วนางข้างซ้าย ความร้อนที่สามารถเผาผลาญผิวหนังและกระดูกได้ไม่เหลือซาก ทว่าที่เธอโดนกลับเป็นเพียงแค่ความรู้สึก ไม่มีบาดแผลหรือการโจมตีจากภายนอก คูลกำลังใช้วิธีบีบบังคับให้เธอเผยตัวออกมา สาเหตุของความเจ็บที่เกินคำว่าทนนี้มาจาก แหวนเพชรล้วนไร้ลวดลายที่ถูกทำให้ล่องหนอยู่นี้ได้แผลงฤทธิ์ขึ้นมา ที่ไอริสได้มันมาก็เพราะเธอคือคู่หมั้นของคูล แหวนนี้เป็นแหวนประจำตำแหน่งของว่าที่ราชินีแห่งเวโรเน่เมืองแห่งภูต ซึ่งมันก็คือเธอเนี่ยแหละ แต่ปัญหาคือเจ้าแหวนนี้จะฟังแต่นายของมันก็คือคูล คนที่จะถอดได้ก็มีแต่คนตรงหน้า คนที่จะสั่งให้มันร้ายหรือดีก็มีแต่คนตรงหน้านี้แหละ ซึ่งแหวนที่ถูกสร้างด้วยเวทบริสุทธิ์ของภูตชั้นสูงอานุภาพไม่ใช่เล่น ๆ นานนับนาทีที่ความเจ็บปวดราวกับความร้อนของลาวาไฟลนอยู่ที่นิ้วเพียงที่เดียว แต่กลับเสียดแทงไปทั่วทั้งร่างกาย จนคนที่โดนแทบจะล้มทั้งยืน แต่ไอริสก็ยังคงยิ้มแม้เหงื่อจะไหล ฟันจะขบกันแน่นกลั้นเสียงร้องจนปวดไปทั้งปาก มือทั้งสองข้างเอามาจับไว้ข้างหน้าในยามนี้แทบจะจิกกันเองอยู่แล้ว แล้วในที่สุดต้นตอความเจ็บปวดก็หายไป เหลือไว้เพียงความร้อนที่ค่อย ๆ จางไปตามเวลา ชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยรังสีอำนาจชั่วร้ายถอนหายใจยาว ก่อนจะหลับตาเพียงแค่สามวิ เขาก็หันเก้าอี้นวมสีดำตัวใหญ่ไปทางด้านหลัง ก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยไม่บอกกล่าว ท่ามกลางสีหน้างุนงงของอรินและอริส คราวนี้สองพี่น้องเริ่มสติกลับมา และกำลังจะอ้าปากถามคำถามเดิม ๆ ไอริสเลยชิงตอบเสียก่อนที่พวกเขาทั้งสองจะได้ถามเธอ “ถ้าจะถามถึงผู้หญิงที่มีผมสีขาวตาสีแดง ฉันก็ขอบอกเลยละกันว่าไม่เคยเห็นค่ะ” ไอริสยิ้มตอบดักทางคนทั้งสอง ฝ่ายคนที่ได้รับคำตอบก่อนคำถามก็ชะงักไปไม่คาดคิดว่าคนธรรมดาตรงหน้าจะล่วงรู้ในสิ่งที่ตัวเองถามได้ แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ถามอะไรออกไป หญิงสาวตรงหน้าที่ยืนอยู่กลางห้องก็โค้งตัวทำความเคารพก่อนจะเดินหันหลังออกไปจากห้อง ...พร้อมกับรอยยิ้ม
已经是最新一章了
加载中