บทที่ 7 - เมื่อเจ้าชายโกรธ
1/
บทที่ 7 - เมื่อเจ้าชายโกรธ
Breekfic: Fate Return บลีกฟิก สงครามชิงอาณาจักร ภาค โชคชะตาที่ไม่อาจหลีกหนี
(
)
已经是第一章了
บทที่ 7 - เมื่อเจ้าชายโกรธ
บทที่ 7 เมื่อเจ้าชายโกรธ ปัง! เสียงประตูไม้สลักบานใหญ่ถูกปิดลงด้วยแรงมหาศาล ทำเอาขอบประตูสั่นไหวราวกับจะพังลงมา คนที่เพิ่งเข้ามามีสีหน้าบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธ อีกทั้งรังสีความน่ากลัวในยามนี้ยิ่งแผ่ขยายออกมาทั่วห้อง ชวนให้คนที่นอนหลับอยู่บนโซฟาต้องลุกขึ้นมามองด้วยความสนใจ ด้วยความที่โอลิเวอร์หลับไปทำให้ตัวเขาไม่รู้ว่าวีรกรรมที่น้องสาวฝาแฝดบ้าเลือดกับเจ้าชายภูตปากหนัก ได้เล่นอะไรกันไป ถึงขนาดที่ทำให้คนที่มักควบคุมอารมณ์ได้อย่างดีถึงกับสติแทบแตก ตอนนี้เขามีสีหน้าอาฆาต แต่ยังคงประดับด้วยรอยยิ้มที่พิศวง ยามมองช่างชวนให้รู้สึกหวาดกลัวแปลก ๆ “เป็นอะไรไปละ” น้ำเสียงเย็นชาแฝงความอ่อนโยนเอ่ยทักขึ้นอย่างรู้งาน โอลิเวอร์ลุกขึ้นจากท่านอนมาเป็นท่านั่งอย่างช้า ๆ ในขณะที่ใช้สายตามองตามไปยังร่างสูงของคนที่เป็นเพื่อนเดินไปเดินมารอบห้องก่อนที่เจ้าตัวจะเดินไปหยุดที่หน้าต่างและกำผ้าม่านสีขาวนวลไว้แน่น คูล เวราเน่ในยามนี้ ดวงตาสีเทาได้เข้มขึ้น ยิ่งอยู่ในที่มืด มันยิ่งเข้ม ราวกับว่ามันกลายเป็นสีดำที่มืดสนิท ดวงตาคู่คมชวนลุ่มหลงเผยความโกรธที่แฝงไว้ภายใต้ใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มอาฆาต เขาเหม่อมองไปยังท้องฟ้าครามที่สดใสในเวลาเที่ยง อากาศและแดดไม่ร้อนจนเกินไป ดูสงบจนน่าใจหาย แต่แล้วจู่ ๆ อากาศที่แสนสวยงามก็พลันถูกเมฆดำเคลื่อนตัวมาปกคลุมด้วยความรวดเร็ว ก่อนที่พวกมันจะพากันหลั่งสายฝนลงมาไม่ขาดสาย ความรุนแรงทวีหนักขึ้นราวกับพายุอันบ้าคลั่ง คนที่สร้างผลงานพายุยามเที่ยงได้แต่ยืนนิ่ง มองสายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างไม่รู้สึกรู้สา ความโกรธที่มีพอจะทลายลงไปได้บ้าง ...หลังจากที่ระบายอารมณ์ลงไปกันดินฟ้าอากาศ และแล้วมือที่กำผ้าม่านอยู่ก็เลื่อนมันปิดบังหน้าต่าง ใบหน้าหล่อเหลาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเดินไปนั่งยังเก้าอี้นวมสีแดงเข้มและเอามือปิดตาปล่อยตัวอย่างเหนื่อยหน่าย “ฝากให้เอริสจัดการหน่อยก็แล้วกัน” ชายหนุ่มปัดความรับผิดชอบไปให้เจ้าหญิงแห่งน้ำ โอลิเวอร์พยักหน้ารับ ก่อนจะถามทวนถึงเรื่องก่อนหน้า “ตกลงนายเป็นอะไร” “มนุษย์...จะทนความร้อนที่แผดเผาราวกับลาวาได้แค่ไหนกัน” เสียงทุ้มพึมพำขึ้นอย่างเลื่อนลอย “ไม่มีทางที่จะทนได้หรอก” โอลิเวอร์ปฏิเสธ ความร้อนที่เหนือความร้อนอย่างนั้น ไม่มีทางที่มนุษย์คนใดจะทนรับไหวได้ แม้แต่พวกที่มีพลังเหนือธรรมชาติเองก็ยังไม่อาจต้านทาน “ยัยน้องสาวดื้อด้านของนาย... จะอดทนเก่งเกินไปหรือเปล่า โอลิเวอร์” พอคูลพูดจบโอลิเวอร์ก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ที่แท้น้องสาวของเขาก็ถูกคนตรงหน้าใช้วิธีบีบบังคับโดยกำลังมานี่เอง แต่ดูเหมือนเจ้าหล่อนจะอดทนยืนหยัดต่อความเจ็บปวด จนเป็นเหตุให้คนที่เริ่มเรื่องเป็นฝ่ายถอยออกมาเสียเอง ดู ๆ แล้ว ต่อไปนี้นี้ไอริสก็คงจะระวังตัวกว่าเก่า จะเอาตัวเจ้าหญิงอย่างยัยนั่นกลับมาคงไม่ใช่ง่าย ๆ แล้วละ “คิดว่าโอลิเวียคงไม่ยอมกลับมาง่าย ๆ แน่” คูลพยักหน้าเห็นด้วยกับความเห็นของโอลิเวอร์ “ยัยนั่นได้พูดอะไรกับนายบ้างไหม” คนถูกถามยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก รอยยิ้มที่นึกเอ็นดูคนปากแข็งตรงหน้า ทั้งที่เป็นห่วงอยู่ตลอดแต่กลับใช้กำลังบังคับ ทั้งที่เพียงแค่เอ่ยปากตรง ๆ ไอริสก็สามารถยอมกลับมาแล้วแท้ ๆ “ไม่เลย ดูเหมือนยัยนั้นจะกำลังฟื้นฟูตัวเองอยู่ ฐานเวทบางเบาแบบนั้น ทำอะไรไม่ได้มากหรอก” คำตอบของโอลิเวอร์ทำเอาคนฟังสีหน้ามืดลง ดูท่าการเอาตัวไอริสกลับมา เหมือนจะยากขึ้นเรื่อย ๆ กว่าเดิมแล้วสิ “เจ้าชายนั่นถึงกับใช้กำลังเลยงั้นเรอะ!” เสียงหวานใสเจือแววหงุดหงิด ดังออกมาจากร่างบางสูงเพรียวที่ยืนล้างมืออย่างเอาเป็นเอาตายอยู่หน้ากระจกที่บริเวณข้างสนามบาส ใบหน้าหวานคมแฝงความดุดันในยามนี้มืดครึ้มไปด้วยความโกรธ นัยน์ตาสีดำยามนี้เต็มไปด้วยโทสะ แหวนเวทนั้นถูกซ่อนไปพร้อมกับร่างกายเก่า แต่ทว่าความสามารถไม่อาจลบเลือน เหมือนคูลเองก็จะรู้จึงได้ใช้วิธีทารุณแบบนั้นในการบีบบังคับให้เธอเผยตัว ด้วยการใช้สิ่งที่เธอเกลียด ความร้อน! แต่ขอโทษเถอะ ...โอลิเวีย แกรนไรซ์ ยามที่อยู่บลีกฟิกเดินผ่านเส้นความตายมานับครั้งไม่ได้ ถึงเธอจะไม่โหดเหมือนคูล แต่ที่แน่ ๆ คือเธอมีความอดทนด้านความเจ็บปวดเหนือคนปกติไปแล้ว ควรจะเรียกว่าด้านชาเสียด้วยซ้ำ ดูเหมือนแผนของเจ้าชายภูตจะคือการสร้างความเจ็บปวดให้เธอทนไม่ไหว จนร่างกายเกิดการป้องกันตัวเองโดยใช้พลังน้ำแข็ง เมื่อร่างกายของเธอใช้เวทน้ำแข็ง มันจะทำให้เธอกลับสู่ร่างเดิม ส่วนแผนจับตัวต่อจากนั้น ...บางทีเขาอาจใช้กำไลราชวงศ์ หยุดการเคลื่อนไหวเวทมนตร์ในร่างเธอเป็นแน่ “เฮ้! ไอริส นี่เธอจะล้างมือจนให้หนังมันหลุดออกมาเลยรึไงกัน” จู่ ๆ ก็มีเสียงทุ้มที่คุ้นหูเอ่ยทักขึ้นมาจากทางด้านหลัง ไอริสเงยหน้าขึ้นมองผ่านกระจกไปทางด้านหลัง นัยน์ตาหงุดหงิดพอได้เห็นคนที่มาหาก็พลันเปลี่ยนเป็นตกใจจนมือที่ล้างอยู่หยุดชะงัก ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับคนที่มาหาด้วยสีหน้าราวกับมองเห็นผี เดนนิส เรนโนวา ชายหนุ่มผมดำ ใบหน้าอ่อนโยนและงดงามมีส่วนคล้ายผู้หญิง เขาเป็นเจ้าของดวงตาสีฟ้าแสนหวานทรงเสน่ห์ มีไฝที่ใต้ตาซ้ายเพิ่มความน่าหลงใหล เดนนิสมีนิสัยสงบนิ่งดุจดั่งผืนน้ำยามไร้คลื่นลม ยามที่คนมองก็ชวนให้รู้สึกผ่อนคลายและสงบใจ รูปร่างสูงแข็งแกร่งแต่ไม่ถึงขั้นบึกบึนดั่งชายชาตินักรบขับให้เขาดูเหมือนกับคุณชายเจ้าสำอางคนหนึ่ง แต่ถึงจะมีคนมากมายหลงใหลอยากจะมองใบหน้าหล่อตลอดเวลา แต่ไอริสกลับร้อนรนจนอยากจะวิ่งออกไปจากที่ตรงนี้ “นะ..นาย” คนที่ไม่เคยติดอ่าง อยู่ดี ๆ ก็จนคำพูด สมองที่ปราดเปรื่องไม่สามารถผลิตคำออกมาพูดโต้ตอบอะไรได้ชั่วขณะ ความสามารถในการควบคุมตัวเองที่แสนภาคภูมิใจ พังทลายลงไม่มีชิ้นดี เหตุผลที่เธอเป็นแบบนี้ เพราะในช่วงเวลาที่ผ่านมาของ ไอริส แกรน เธอคือหญิงสาววัยแรกรุ่นที่มีความรู้สึกของวัยรุ่นสาวธรรมดาอยู่ในตัว เธอในตอนที่ความทรงจำหายไป ก็ได้เกิดความทรงจำใหม่ และข้อผิดพลาดที่สุด คือการที่เธอดันไปคบกับนักบาสดาวเด่นของโรงเรียน ถึงแม้ความทรงจำของการเป็นโอลิเวียจะกลับมา ทว่าความรู้สึกตกค้างต่อเดนนิสยังคงเหลืออยู่ และแม้เราทั้งคู่จะเลิกกันไปแล้วก็ตาม แต่ตัวเธอเองกลับเข้าหน้าชายหนุ่มไม่ติด ทั้งที่เรื่องราวผ่านมานานนับสามปี ในช่วงเวลานั้นเธอได้หลบหน้าเขามาโดยตลอด การกลับมาเจอหน้ากันครั้งนี้จึงทำให้เธอรู้สึกลนลาน แต่ถ้าให้เทียบเดนนิสกับคูล เดนนิสอาจเป็นเพียงแค่คนที่สร้างความรู้สึกดีชั่วขณะ แต่กับคูลเขาคนนั้นคือคนที่ไอริสมั่นใจที่จะเดินไปด้วยกัน พร้อมที่จะผ่านอุปสรรคทุกอย่าง แต่เธอคิดว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่จะพบกับตอนจบแสนสุข ตัวตนอีกด้านหนึ่งของเธอจึงคอยปฏิเสธเขาอยู่เงียบ ๆ บางทีอาจเป็นทั้งรักและทั้งเกลียด “ไม่เจอกันนาน ไหงกลายเป็นคนพูดน้อยไปได้” เดนนิสถามยิ้ม ๆ รอยยิ้มของเขายังคงเหมือนเดิม คำว่าไม่เจอกันนานของเขามันก็คือสามปีที่แล้ว แม้จะอยู่ข้างห้องกันแต่ก็ไม่เคยเจอหน้ากันเลย จะว่าไป สนามบาสก็เป็นที่ของเดนนิส ซึ่งเธอพยายามเลี่ยงมาโดยตลอด แต่คงเป็นเพราะอารมณ์หงุดหงิดทำให้ไม่ทันได้สังเกต แล้วเผลอตัวมาที่นี่เป็นแน่ “ฉันแค่ไม่มีอะไรจะพูดกับนาย” ไอริสตอบเสียงห้วน บ่งบอกชัดว่าไม่อยากจะสนทนาด้วย ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวด้วย แม้แต่ความเป็นเพื่อนก็ไม่ต้องการ เพราะเธอเบื่อแล้วกับการกลั่นแกล้งราวกับพวกเด็กน้อยของแฟนคลับของเดนนิส “แต่ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอนะ” เดนนิสพยายามสื่อความรู้สึกออกมาผ่านนัยน์ตาสีฟ้าที่ซ่อนความโศกเศร้า “ว่า” “ไปคุยกันในห้องพักนักกีฬาไหม ฉันว่าเธอคงไม่อยากถูกเจอตัวเข้าที่ตรงนี้หรอก ใช่มั้ย?” เดนนิสเอียงคอถามพร้อมผายมือเชิญเธอให้เดินนำหน้า ไอริสตีหน้านิ่งก่อนจะออกเดินนำหน้าไปยังห้องพักอย่างคุ้นเคย เธอจำได้ดีกับเส้นทาง ด้วยความที่เดนนิสเป็นกัปตันทีมบาสทำให้เขาได้รับสิทธิพิเศษโดยการเป็นเจ้าของห้องพักนักกีฬาแห่งนี้ ความจริงผู้ไม่มีสิทธิ์เกี่ยวข้องอย่างเธอถูกสั่งห้ามให้เข้าไปยุ่มย่าม แต่เดนนิสกลับเคยพาเธอมานั่งคุยเล่นด้วยกันบ่อยมาก และที่นี่ก็เป็นที่ที่ปลอดภัยจากการพบเจอกับคนที่ไม่ต้องประสงค์ “มีอะไรว่ามา” ไอริสเริ่มประเด็น “ฉันแค่อยากรู้จักตัวตนของเธอในบลีกฟิก” สีหน้าซื่อ ๆ ของเดนนิสตอนถามถูกสื่อออกมาอย่างชัดเจน จากท่าทางของเขาตอนนี้ อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ได้มีแผนอะไรแอบแฝงไว้ ทว่าก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ไอริสจะต้องตอบเขา “ทำไมฉันต้องบอกนาย บอกไปก็ไม่ได้อะไร” อาจจะเสียผลประโยชน์ด้วยซ้ำ “ไม่เอาน่า เราแลกกันบอกเป็นไง” ข้อเสนอของเดนนิสก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย แต่ว่าถ้าหากเธออยากรู้เรื่องของเขาละก็ เพียงแค่ถามโอลิเวอร์ก็คงได้ข้อมูลมาแล้ว แต่ช่างเถอะ ยังไงซะก็ไม่มีใครรู้จักไอริสหรอก “ฉันเป็นคนเร่ร่อน” ไอริสเอ่ยเสียงเรียบเช่นเดียวกันกับใบหน้าในยามนี้ ไร้อารมณ์ความรู้สึกเมื่อตอนที่เอ่ยคำว่าเร่ร่อนออกมา คนตัวสูงพลันแสดงสีหน้าแปลกใจออกมาเพราะคำพูดของไอริส เขากำลังคิดจะตั้งคำถามด้วยความสงสัย แต่ไอริสกลับเป็นฝ่ายถามกลับมาก่อน “นายสงสัยอะไร” “เปล่า ๆ ฉันแค่รู้สึกว่าเธอเหมือนกับเด็กสาวที่อยู่กับแม่มดฟีโอน่าที่เมืองเนสจิว” ไอริสเงียบไปทันทีที่เขาพูดจบ ในตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนถูกต้อนให้เข้าไปในทางตัน เมืองเนสจิวคือเมืองแห่งกาลเวลา เป็นเมืองที่อยู่ภายในถ้ำขนาดใหญ่ วันเวลารวมทั้งฤดูกาลคือสิ่งที่สร้างขึ้นด้วยเวทมนตร์ มันเป็นสถานที่ที่เธอและพี่น้องอีกสามคนถูกแม่มดฟีโอน่าแห่งโพลาเดียนำตัวไปฝึกฝนการต่อสู้ตั้งแต่ยังเด็ก พวกเธอเรียกแม่มดว่าอาจารย์ ท่านเลี้ยงดูพวกเธอแทนพ่อแม่ และตัวไอริสเอง ในตอนนั้นเธอมีลักษณะเด่นเป็นปีศาจ ด้วยดวงตาที่แดงจนน่ากลัว อาจารย์เกรงว่าเธอจะเจอกับพวกต่อต้านเทพและปีศาจ จึงได้เปลี่ยนให้เธอมีผมและตาเป็นสีดำเหมือนกับมนุษย์ธรรมดาทั่วไป อีกทั้งชื่อไอริส เอริส แอริส ออริส ก็เป็นชื่อที่อาจารย์ตั้งให้ เมืองเนสจิวแม้จะเป็นเมืองเล็ก แต่ก็มีคนแวะท่องเที่ยวอยู่ไม่น้อย แต่แค่อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญเกินไปหน่อยที่คนอย่างเดสนิสจะไปเผลอเจอเธอเข้า “เหรอ คนแบบฉันก็มีอยู่ทั่วไปนั่นแหละ แล้วอีกอย่าง คนไร้หัวนอนปลายเท้าอย่างฉันจะไปรู้จักแม่มดฟีโอน่าได้ยังไงกัน” “แต่มันเหมือนมาก ผิวที่ขาว...จนซีดแบบนี้” คราวนี้ไอริสเริ่มนั่งไม่ติด เธอลุกขึ้นยืนโดยฉับพลันและตั้งท่าจะเดินออกไป เธอจะปล่อยให้ใครมาสงสัยเรื่องของเธอไม่ได้ ความสงสัยเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่ความจริงที่ยิ่งใหญ่ และถ้าเกิดมีคนตามสืบเมื่อนั้นเธอคงอยู่ไม่สุขแน่ ไอริสส่งสายตาไม่พอใจไปให้เดนนิสตรง ๆ และดูเหมือนเจ้าตัวจะรู้ก็เลยหัวเราะออกมาแก้เก้อ “ฮ่ะ ๆ คงไม่ใช่หรอกเนอะ” “แล้วแต่นายจะคิดเถอะ” ไอริสตอบปัดอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเดินไปที่ประตู เธอไม่อยากจะคุยกับคนคนนี้อีกแล้ว ทว่าความคิดที่จะออกไปก็พลันพังทลายลงเมื่อเจอกับสายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่ง ห้องนี้อยู่ในสนามบาส ส่วนสนามบาสก็ตั้งโดดเด่นไม่ได้เชื่อมต่อกับอาคารไหน ถ้าหากออกไปก็มีทางเดียวคือต้องฝ่าพายุคลั่งนี้ไปเท่านั้น “โชคไม่เข้าข้างเธอเลยนะ” เดนนิสมีน้ำเสียงดีใจ รอยยิ้มดีใจปนกวนประสาทปรากฏบนใบหน้าของเขา “ฉันไม่จำเป็นต้องพึ่งโชค” “จะว่าไป ฉันยังไม่บอกเธอเลยนิว่าฉันเป็นใคร” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกความสนใจจากด้านหลัง ส่งผลให้ร่างบางที่ยืนจับราวประตูแน่นหันกลับไปเผชิญหน้า สีหน้าหงุดหงิดของไอริสในยามนี้บอกชัดว่าไม่อยากเสวนาแต่ดูเหมือนว่าเดนนิสจะไม่เข้าใจ “ฉันไม่ได้อยากจะรู้” “แต่ฉันอยากบอก” ดื้อด้าน! ไอริสคิด นี้ถ้าเกิดเขาสงสัยเธอมากกว่านี้ รับรองเรื่องวุ่นแน่ ๆ คนอย่างเดนนิสยิ่งเกลียดคำว่า ‘ทำไม่ได้’ อยู่เป็นทุนเดิม “ฉันเป็นลูกชายคนที่สองขององครักษ์ประจำตัวท่านเทพชิวเน่น่ะ” ชิวเน่...คำคำเดียวที่มีผลต่อความรู้สึกของไอริส แค่พอได้ยินชื่อเธอก็รู้สึกเหมือนมีก้อนแข็ง ๆ มาจุกอยู่ที่คอ ทำให้เธอนั้นไร้คำพูด ท่านเทพชิวเน่ คือราชินีแห่งอาณาจักรเฮฟเวน เป็นหนึ่งในผู้ปกครองบลีกฟิก ดินแดนที่เธอปกครองคือดินแดนที่มากไปด้วยเหล่าเทพอันชาญฉลาด หากเดนนิสคือลูกชายขององครักษ์นั้นหมายความว่าเขาต้องมีเชื่อสายของเทพอยู่แน่นอน และที่สำคัญต้องมีฝีมือที่น่าสนใจซ่อนอยู่ ท่านเทพนั้นมากไปด้วยอำนาจ มีอายุที่ยาวนานนับตั้งแต่ต้นของการก่อตั้งอาณาจักรบลีกฟิก แต่ที่สำคัญ ...คน ๆ นี้คือแม่แท้ ๆ ของเธอเอง ไอริสตกอยู่ในห้วงความคิดจนลืมเดนนิสไปเสียสนิท ฝ่ายชายหนุ่มที่พอเห็นว่าหญิงสาวนิ่งเงียบไปก็เริ่มใจคอไม่ดี เขาเดินมาใกล้เธอพร้อมกับถามอย่างเป็นห่วง “ไอริส เป็นอะไรไป” มือหนากำลังจะเอื้อมมาจับไหล่ขอเธอ หญิงสาวก็เบี่ยงตัวหลบอีกทั้งยังหันหน้าหนี ยามนี้ดวงตาสีดำกำลังสับสนอย่างถึงที่สุด มันสั่นไหวเพราะความอ่อนแอเกินกว่าจะควบคุม ร่างทั้งร่างรู้สึกอ่อนแรงไปหมดจนแทบยืนไม่ไหว อีกทั้งยังปวดหนึบที่หัวใจ “เฮ้ ไอ...” ไม่ทันที่เดนนิสจะเรียกชื่อไอริสจบ เจ้าของชื่อก็พลันหมุนตัวเปิดประตูออกไปตากสายฝนจากพายุที่บ้าคลั่งจากอารมณ์ของใครบางคน... ประตูไม้ถูกเลื่อนออกจนเกิดเสียงดัง เรียกความสนใจของคนในห้องส่วนหนึ่งให้หันมามองผู้ที่เข้ามาใหม่ บุคคลที่เข้ามานั้นได้พาร่างบางที่ผมยาวเปียกชื้น เข้ามาในห้องด้วยสีหน้าไม่รับมิตร ชุดนักเรียนที่เคยใส่ได้ถูกเปลี่ยนเป็นเสื้อพละสีขาวกับกางเกงวอร์มสีดำ ส่วนตรงบ่าด้านขวาก็ได้มีผ้าขนหนูสีขาวพาดเอาไว้ อากาศที่หนาวรวมถึงอุณหภูมิห้องที่ลดลง สภาพของไอริสในยามนี้ชวนให้คนมองรู้สึกหนาวแทนเจ้าตัวกันไปตาม ๆ กัน โดยเฉพาะผิวขาวที่ซีดของเธอที่ซีดอยู่แล้ว กลับซีดลงขับให้ปากแดงยิ่งเด่นชัดไปกว่าเดิม “ให้ตายสิ... ไอริส! ทำไมถึงไปตากฝนแบบนั้นกัน จากตึกผู้อำนวยการมาที่อาคารเรียนมันก็มีทางเชื่อมบังฝนไม่ใช่รึไง ทำตัวเป็นเด็กไปได้ ห่วงสุขภาพตัวเองหน่อยเถอะ” แพสชั่นเป็นคนแรกที่ตรงเขามาบ่นใส่หญิงสาวอย่างไม่หยุดหายใจ เพราะทันทีที่เห็นสภาพของเพื่อนที่หายไป กลับมาพร้อมกับสภาพเปียกปอนเจ้าหล่อนก็เป็นห่วงจนนั่งไม่ติด ฝ่ายคนถูกบ่นเดินไปนั่งที่อย่างเชื่องช้าและไม่ใส่ใจคำบ่นของเพื่อนสาว เจ้าหล่อนนั่งเอาหน้าฟุบโต๊ะลงไปอย่างไม่สนใจรอบข้างอีก ที่ไอริสทำแบบนี้เพราะเธอไม่อยากจะตอบคำถามกับเพื่อนสาวผมแดงว่าเธอไปไหนมา แต่อย่างว่าแพสชั่นก็คือแพสชั่น นิสัยดื้อด้านไม่แพ้ใครหรอก “ตอบมาดี ๆ ว่าแกไปไหนมา” เสียงหวานใสเหี้ยมเอ่ยขึ้นมาอย่างช้า ๆ ทำให้คนที่ฟุบอยู่เอาหน้าขึ้นมามอง “ฉันไปล้างมือที่สนามบาสมา” เธอตอบไม่เต็มเสียง อีกทั้งยังระวังไม่ให้มันดังเกินไป แต่ทว่าคู่สนทนากลับไม่เงียบอย่างที่เธอทำ “งั้นแกก็เจอเดนนิสอะดิ!” แพสชั่นอุทานออกมาอย่างตกใจ ชื่อของเดนนิสต่างเรียกความสนใจจากคนในห้องให้หันมามองเป็นส่วนใหญ่ แพสชั่นเป็นอีกคนที่รู้ดีเรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับเดนนิส เจ้าตัวเป็นคนที่ช่วยกันเธอออกมาจากคนคนนั้น และช่วยเธอมาโดยตลอดในเวลาที่ถูกกลั่นแกล้ง อีกทั้งเธอก็ไม่เคยคิดเห็นดีเห็นงามที่จะให้ไอริสกลับไปหาผู้ชายคนนั้นอีก “อือ” “ให้ตายสิ หมอนั้นคงไม่ได้ขอคืนดีกับแกหรอกใช่มั้ย” แพสชั่นถามอย่างเป็นกังวล ยิ่งนึกถึงสิ่งที่ไอริสต้องเจอก็พาลให้รู้สึกมีน้ำโห การกลั่นแกล้งที่ราวกับเด็กน้อยพรรคนั้น สักวันเธอจะต้องเอาคืนแทนเพื่อนเธออย่างสาสม “ไม่มีวันหรอกน่า” “งั้นคุยอะไรกัน แล้วทำไมถึงได้ตากฝนกลับมา” ไอริสมองหน้าเพื่อนสาวที่แสดงอาการห่วงตัวเองเกินขนาด ถึงจะรู้รู้สึกดีใจแต่ลึก ๆ ก็รู้สึกผิด แต่ความรู้สึกทั้งหมดก็ต้องถูกเก็บซ่อนไว้ เธอเอามือทั้งสองข้างของตัวเองไปจับแก้มเพื่อนสาวสองข้าง ก่อนจะอธิบายด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ “เดนนิสแค่ถามฉันว่าเป็นใคร และเขาก็แค่เล่าเรื่องให้เขาฟังก็เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรแอบแฝงแน่นอน อ้อ! อีกอย่างนะ ตอนนี้ฉันอยากนอนมาก ๆ เลย ขอร้องละปล่อยฉันไปก่อนเถอะ” พอพูดจบไอริสก็ปล่อยมือออกจากใบหน้าของแพสชั่น และก้มลงฟุบหน้าไปกับโต๊ะ “โถ่ ฉันอุตส่าห์กำลังจะบอกว่าวันนี้เราจะได้กลับบลีกฟิกแล้วแท้ ๆ” เสียงพึมพำของแพสชั่นดังผ่านเข้าหู มันทำให้คนที่นอนอยู่เด้งพรวดขึ้นมาจากเก้าอี้ ก่อนจะตะโกนถามทวนอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “อะไรนะ!!!” ไอริสตะโกนลั่นห้อง ดวงตาสีดำคู่สวยเบิกกว้างอย่างตื่นตะลึง ถ้าสิ่งที่แพสชั่นพูดคือความจริง หมายความว่าคูลกำลังจะพาเราทุกคนกลับไปยังบลีกฟิกงั้นเหรอ กลับไปทางรังอสูรเนี่ยนะ! “เราจะได้กลับบ้านแล้ว คืนนี้พวกราชวงศ์จะทำพิธีเปิดประตู เธอจะรออยู่นี้หรือจะไปอยู่ที่ปากถ้ำก็ได้นะ แต่ฉันจะไปดูที่ถ้ำแหละ” ไอริสฟังคำของเพื่อนสาวด้วยสีหน้าที่ไม่สามารถคาดเดาได้ เธอกำลังคิดบางอย่าง ในขณะเดียวกันก็มองไปนอกหน้าต่าง ที่บัดนี้ฝนได้เริ่มห่างหายไปแล้ว “ฉันกลับบ้านก่อนนะ” ไอริสพูดขึ้น ก่อนจะเดินออกจากห้องเรียนไปอย่างรวดเร็ว แพสชั่นมองเพื่อนที่ออกไปจากห้องด้วยความสงสัย แต่ไอริสกลับไม่สนใจใคร ในเมื่อสิ่งที่เธอคิดตอนนี้มีแค่ว่า ...หากเธอไม่เตรียมตัว และมีคนตายละก็ คนที่รับผิดชอบก็คือเธอ! เสียงโครมครามดังมาอย่างต่อเนื่องจากชั้นล่างของตัวบ้าน เจ้าแมวขนสีขาวเงางามลุกขึ้นจากที่นอนแสนนุ่มแล้วบิดขี้เกียจอย่างเฉื่อยชา มันกระโดดลงจากที่นอนสู่พื้นพลางหรี่ตามองไปยังบานประตูที่เปิดทิ้งไว้ พอจับตำแหน่งต้นเสียงได้ ก็เดินลงไปที่ชั้นล่างอย่างระมัดระวัง ห้องใต้บันไดมีชั้นใต้ดินที่เปิดไฟอยู่เลือนราง ตรงกลางห้องมีเก้าอี้สีดำกำมะหยี่ตั้งอยู่ดูโดดเดี่ยว ด้านข้างมีกรอบรูปห้องสีดำว่างเปล่านอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น ส่วนด้านหลังได้มีร่างบางของไอริสในชุดพละสีขาวกำลังเปิดกล่องไม้เก็บของอันเก่าแก่ หยิบเอาดาบน้ำแข็งสีใสส่งกลิ่นอายไอเย็นออกมา ด้วยความเย็นของมัน คนธรรมดาไม่มีทางจับต้องได้นอกจากจะพร้อมถูกความเย็นกัดกินจนกล้ามเนื้อตาย แต่กับไอริส เธอแทบจะกอดดาบนั้นในขณะที่ถือเอาไว้ด้วยท่าทีทะนุถนอม ส่วนมืออีกข้างก็ลูบคมดาบไปมาอย่างอ่อนโยน ไอริสหันหลังกลับมาเผชิญหน้ากับไบท์ แต่เหมือนสายตาของเธอจะยังคงจดจ่ออยู่ที่ดาบน้ำแข็ง เธอเดินมานั่งไขว่ห้างที่เก้าอี้สีดำ โดยที่มือยังลูบไล้ที่คมดาบโดยที่ไม่หวาดกลัวความแหลมคมของมัน ดาบน้ำแข็งพันปี มีอายุยาวนานมาพอ ๆ กับอาณาจักรบลีกฟิก เป็นอาวุธร้ายกาจที่มีความเย็นเป็นอาวุธ คนที่จับต้องมันได้นอกจากคนที่สร้างก็ไม่มีใครแตะต้องมันได้อีก จนกระทั่งไอริสที่เป็นผู้ครอบครองคนปัจจุบัน “มันอยู่ที่นี่เองงั้นเหรอ” ไบท์พึมพำขณะที่พินิจมองอาวุธในตำนาน อันที่จริงเจ้าแมวขาวก็แอบสงสัยมาตั้งแต่ตอนที่สู้กับอสูรคราวนั้นแล้ว ว่าไอริสเอาอาวุธไปเก็บไว้ที่ไหน ตอนแรกมันคิดว่าเจ้าหล่อนคงฝังไว้ในสุสาน สถานที่ที่น้อยคนนักจะไป แต่ที่ไหนได้เธอกลับเอามาเก็บไว้ในหีบชั้นใต้ดินซะอย่างนั้น “ถ้าเธอใช้ดาบน้ำแข็ง ใคร ๆ ก็รู้แน่ ว่าเธอคือโอลิเวีย” “ไม่ได้จะใช้สักหน่อย” โอลิเวียแสยะยิ้มมุมปากบาง ๆ ไอริสไม่อาจใช้ดาบที่มีเพียงแค่เจ้าหญิงบ้าเลือดเท่านั้นที่ใช้ได้ ดาบเล่มนี้นอกจากไอเย็นรอบตัวดาบแล้ว ข้างในยังมีลักษณะโปร่งใส รูปงามงดงามเป็นเอกลักษณ์ ทั่วอาณาจักรต่างรู้จักกันเป็นอย่างดี ถึงขั้นมีประวัติของดาบอยู่ในหนังสือเรียนด้วยซ้ำไป ถ้าไอริสไม่สิ้นคิด เธอก็ไม่มีทางถือดาบเล่มนี้เดินเล่นไปมาในบลีกฟิกแน่ ดูเหมือนอาวุธคู่ใจที่เคียงข้างกันมานานนับสิบปีจะต้องพักผ่อนไปก่อน มือเรียวหยุดชะงักที่ปลายดาบอันแหลมคม ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนลงมาจับที่ด้ามดาบทั้งสองมือ พร้อมทั้งหันปลายดาบแหลมมาที่จ่อที่ท้องของตนเองอย่างคล่องแคล่ว ดาบใสที่ผ่านสมรภูมิการสู้รบมามาก ในยามนี้ได้ผลิตไอความเย็นออกมาจาง ๆ ควันสีขาวที่แผ่กระจายไปทางพื้นค่อยสร้างหิมะสีขาวขึ้นมาบางเบา ไอริสเงื้อมดาบในมือขึ้น เจ้าตัวหลับตาลงปากก็พึมพำคาถาโบราณที่เคยอ่านมา พอเธอเริ่ม ผมยาวสลวยสีดำก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวนวลราวกับหิมะ และพอลืมตาขึ้นอีกครั้งจากนัยน์ตาดำสนิทก็กลายเป็นสีแดงฉานดุจดั่งโลหิต ใบหน้าหวานคมแน่นิ่งแฝงความดุดัน ทุกการตัดสินใจที่แน่วแน่ฉายชัดออกมาจากรังสีรอบกาย และแล้วดาบที่ทำจากน้ำแข็งพันปีก็พลันพุ่งตรงลงยังกลางท้องของร่างบาง ถ้าหากทฤษฎีที่เธออ่านใช้ไม่ได้ผล ดาบใสนี้จะแทงทะลุร่างเธอ และอาจทำให้ตัวเองกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งได้ แต่ถ้าหากได้ ผลดาบนี้จะถูกร่างกายของเธอดูดกลืนเก็บมันไว้ภายใน นี่คือหนึ่งในวิธีที่นักต่อสู้ขั้นสูงใช้ในการพกพาอาวุธ ในฐานะที่เป็นสายเลือดเทพกับมาร ที่ถูกเลี้ยงดูโดยแม่มดมากพลัง ไอริสร่ายเวทครั้งแรกก็สำเร็จได้โดยง่าย เมื่อดาบใสแทงเข้ามามันก็ได้หายเข้าไปราวกับมีอีกมิติหนึ่งรองรับ พอแทงเข้าไปจนหมดทั้งเล่มเจ้าหล่อนก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “ถอนหายใจทำไม” เจ้าแมวถาม พลางหรี่ตามองอย่างจับผิด “ฉันแค่กลัวว่ามันจะทำไม่สำเร็จน่ะสิ ถ้าพลาดขึ้นมาฉันได้กลายร่างเป็นรูปปั้นน้ำแข็งหญิงสาวเอาดาบแทงตัวเองแน่ ๆ” “นี่เธอลองครั้งแรกงั้นเหรอ!” ไบท์มีสีหน้าตกใจ ถึงมันจะรู้อยู่แล้วว่าไอริสเป็นพวกชอบลองเวทจากตำราเก่า ๆ ของอาจารย์ฟีโอน่า แต่ส่วนใหญ่มักจะมีหนทางแก้เตรียมพร้อมเอาไว้อยู่เสมอ เพราะถึงจะเก่งแค่ไหน ก็มีหลายครั้งที่การร่ายเวทยังมีข้อผิดพลาด การกระทำสิ้นคิดแบบนี้ ถ้าอาจารย์ฟีโอน่ารู้เข้า แน่นอนว่าหญิงสาวต้องโดนลงโทษ “เคยเห็นฉันทำแบบนี้หรือไงกัน” ไอริสย้อนถามอย่างไม่รู้สึกผิด “ทำเป็นเก่งไปเถอะ... เอาละ กำจัดหลักฐานออกไปแล้ว เวทก็เลิกใช้ ต่อไปเธอคิดจะทำอะไรต่อละ” ไบท์เริ่มถามหาแผนการทันทีที่ไอริสเสร็จธุระ หญิงสาวยักไหล่ให้ พลางทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “ยังไม่ได้คิด แต่ว่าจะไปที่ทางเข้าถ้ำนั้นสักหน่อย” เธอพูด ก่อนจะหรี่ตามองแมวสีขาวตรงหน้า ฉับพลันเธอก็นึกอะไรบางอย่างออก มือเรียวยกขึ้นกระดิกเรียกแมวตรงหน้าพร้อมทั้งออกเสียงเรียก “มานี่หน่อยสิ” “จะทำอะไร” ไบท์ถามอย่างระวังตัว มันยังไม่คิดอยากจะเป็นหนูทดลองให้นักเวทฝึกหัดอย่างคนตรงหน้าหรอกนะ ไอริสจิ๊ปากไม่พอใจ ก่อนจะเร่งเร้าด้วยความรู้สึกเริ่มรำคาญ “มาเหอะน่า” เจ้าแมวค่อย ๆ เดินเข้าไปหาอย่างหวานระแวง ไอริสที่ยังอยู่ในสภาพของเจ้าหญิงบ้าเลือด เอื้อมมือลงไปแตะที่หัวเจ้าแมวตัวจ้อย กระแสความเย็นผสมความอบอุ่นแล่นไปทั่วทั้งร่างของไบท์ เมื่อมือเรียวได้แตะลงที่ศีรษะ กระแสเวทย์น้ำแข็งของผู้ที่มีศักดิ์เป็นถึงเจ้าหญิงเลือดผสมผู้แข็งแกร่งโอบอุ้มมันไปทั้งร่าง และในตอนนั้นเองที่ไบท์เริ่มเข้าใจว่าไอริสทำอะไร ที่แท้เจ้าหล่อนก็แค่ใช้ความเย็นปกปิดความเป็นภูตของมันนี้เอง “ที่ฉันทำแบบนี้...” เธอลากเสียงยาว ในขณะที่ดวงตาน่ากลัวจับจ้องไปที่ดวงตาสีดำอันอาจหาญของแมวตัวจ้อย จากที่เว้นจังหวะไปนาน เธอก็เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่ง แต่ชัดทุกถ้อยคำ ราวกับจะสลักลงใจของคนฟัง “เพราะฉันต้องการเธอ”
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
บทที่ 7 - เมื่อเจ้าชายโกรธ
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A