บทที่ 8 - ถ้ำอสูร
1/
บทที่ 8 - ถ้ำอสูร
Breekfic: Fate Return บลีกฟิก สงครามชิงอาณาจักร ภาค โชคชะตาที่ไม่อาจหลีกหนี
(
)
已经是第一章了
บทที่ 8 - ถ้ำอสูร
บทที่ 8 ถ้ำอสูร “เฮ้” เสียงใสเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากในความมืดของป่า ส่งผลให้ผู้คนราวสิบกว่าชีวิต ที่นั่งล้อมรอบกองไฟอยู่ต่างหันไปหาต้นเสียงกันเป็นตาเดียว ฝ่ายคนในมุมมืดค่อย ๆ เดินเข้ามาในแสงสว่าง ปรากฏให้เห็นร่างบอบบางดูคล่องแคล่วของหญิงสาวผมยาวสีดำสนิทมืดมิดไปกับราตรี เธอเดินเข้ามาพร้อมกับแหวกพุ่มไม้ที่ขวางทางอยู่ออกเป็นสองข้าง ดวงตาสีดำของเธอดูไร้พิษสง มันดูใสซื่อไร้ซึ่งความกังวลทั้งที่อีกไม่กี่นาทีเธอจะต้องไปโผล่ในดินแดนของเหล่าอสูรกระหายเลือด แพสชั่นคือหนึ่งในคนที่นั่งล้อมกองไฟนี้อยู่ ผมแดงของเธอเป็นจุดเด่นมากกว่าเดิมเมื่อถูกแสงไฟสะท้อนใส่ ใบหน้าที่เคยนิ่งสงบ พลันเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มเมื่อเห็นคนที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่ ตัวเธอเองนั้นไม่คิดว่าไอริสจะมาหาเธอถึงที่แบบนี้ “เพราะเธออยู่ที่นี่ ฉันก็เลยอยากมาอยู่ด้วยน่ะ” ไอริสพูดขึ้นเมื่อเดินมาหยุดหน้าเพื่อนสนิท แพสชั่นหุบยิ้มทำหน้างอ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนตัวดีของเธอจู่ ๆ ก็หนีกลับบ้านไปโดยไม่บอกเหตุผล เจ้าตัวเลยพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงน้อยใจ “เหอะ แล้วไอ้ที่รีบแจ้นกลับบ้าน รีบไปทำอะไรมาละ” ไอริสยืนตัวตรงเอามือกอดอกและทำหน้าครุ่นคิด เธอแกล้งตีหน้าเครียดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเผยรอยยิ้มซุกซน แล้วหันกลับไปมองยังทางที่เพิ่งเดินจากมา ในความมืดก็พลันมีร่างสีขาวนวลพุ่งออกมาด้วยความรวดเร็ว มันพุ่งตรงมาหยุดอยู่ที่ตรงกลางระหว่างไอริสและแพสชั่น การมาของไบท์ทำเอาเอริสและน้องสาวฝาแฝดที่นั่งอยู่คนละฟากฝั่ง พากันสะดุ้งเฮือกโดยไม่ได้นัดหมาย นอกจากไอริสแล้วก็ไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติของพี่น้องตระกูลแกรนเลย “แมวน้อยน่ารักตัวนี้มาจากไหนเนี่ย” แพสชั่นพึมพำขณะที่มองแมวสีขาวตัวน้อยไม่วางตา “ฉันเจอมันเมื่อหลายวันก่อน เลยเก็บมาเลี้ยงน่ะ พอได้ข่าวว่าเราจะกลับบลีกฟิกกัน เลยไม่อยากจะทิ้งมันไว้ที่บ้านตัวเดียว เลยตัดสินพามาด้วยกัน” เธออธิบายพร้อมทั้งอุ้มเจ้าแมวน้อยตัวสีขาวขึ้นมาไว้ในอ้อมกอด อีกทั้งยังลูบหัวไปมาอย่างเอ็นดู “น่ารักดีนิ มีชื่อหรือยัง” สาวผมแดงด้วยตาเป็นประกายเมื่อมองเจ้าหน้าขนสีขาว ภายใต้บุคลิกมาดมั่นดูเป็นผู้นำ มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าแพสชั่นเป็นพวกชอบของน่ารัก “ไบท์” “ไบท์ที่แปลว่าแสงสว่างงั้นเหรอ” “คงจะเป็นอย่างนั้น” ไอริสตอบแบบขอไปที ทว่าจริง ๆ แล้วชื่อของไบท์ไม่ได้มีความหมายว่าแสงสว่าง แต่มันคือการผสมคำระหว่างแบล็กกับไวท์ สำหรับไอริสแล้ว ไบท์มีความหมายว่า สีดำที่ซ่อนอยู่ในสีขาว เหมือนตัวตนของไบท์ที่ปกปิดความดำมืดที่อันตรายไว้ภายใต้ร่างสีขาวอันบริสุทธิ์ ซึ่งก็คือพิษร้ายที่ซ่อนอยู่ในร่างกายอันเป็นนิรันดร์ ปกติแล้วคนที่รู้ชื่อของไบท์มีอยู่ไม่มากนัก อีกทั้งเจ้าแมวเองก็ไม่เคยบอกชื่อของตัวเองให้กับใคร มีเพียงแค่พี่น้องตระกูลแกรนเท่านั้นที่รู้ชื่อจริงของเจ้าแมวตัวนี้ ผู้คนที่รู้จักมันต่างเรียกมันว่าภูตองครักษ์หรือไม่ก็ไบเทน ดังนั้นตราบใดที่ไบท์ไม่ได้หลุดปากมาว่ามันคือภูต ก็ไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของมันได้ “น่ารักที่สุด” เสียงหวานของแพสชั่นพูดขึ้นพร้อมกับเอาเจ้าแมวที่อยู่ในอ้อมกอดของไอริสมากอดเอง “แค่ก แค่ก” เสียงไอหรือเสียงสำลักดังมาจากหน้าปากถ้ำเรียกให้คนหันไปสนใจ มันดังออกมาจากหญิงสาวแสนสวยนามว่าเอริส ท่าทางแปลก ๆ ของเจ้าหล่อน พาให้ทุกคนทำหน้าแปลกใจว่าเจ้าตัวเป็นอะไรไป เอริสพอเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดีจึงหาเรื่องมาพูดเปลี่ยนความสนใจ “โทษทีที่ทำให้ตกใจ แต่ฉันว่าเราน่าจะเริ่มกันได้แล้วนะ” เอริสเสนอความเห็น ข้อเสนอของหญิงสาวมีหลายคนที่พยักหน้าเห็นด้วย “นั่นสิ ยิ่งเรากลับไปเร็วเท่าไหร่ เรื่องวุ่น ๆ นี้จะได้จบไปสักที ใช่ไหมคูล” เสียงหวานใสของอริสเอ่ยเสริมขึ้นมา ถามคนที่ตีหน้าตายอยู่เงียบ ๆ ถึงแม้อริสกับเอริสจะกินเส้นกันเพราะเรื่องหน้าตา แต่ทั้งสองมีนิสัยที่เหมือนกันอยู่หลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือการไม่ชอบความลำบาก พอได้ยินเสียงของอริส ไอริสเลยหันไปมองสภาพของคนเหล่านั้น เมื่อเห็นชุดที่พวกเขาใส่ เธอก็อยากจะขำออกมาดัง ๆ แต่ก็ทำได้เพียงแค่กลั้นเอาไว้ พวกชนชั้นสูงที่มาช่วยเหลือคน ในตอนนี้ได้สวมใส่ชุดประจำตำแหน่งเต็มยศ ซึ่งเสื้อผ้าของผู้ชายยังพอรับได้ แต่กับอริสคนงาม เจ้าหล่อนอยู่ในชุดเดรสเกราะอกกระโปรงยาวสีชมพูอ่อนฟูฟ่อง ใบหน้าสวยแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางเบาไม่ให้บดบังความงามที่มีเป็นทุนเดิม ส่วนผมยาวหลอนสีชมพูราวกับดอกไม้ก็ปล่อยสยายลงมาเป็นทางยาว สภาพของเจ้าหล่อนเรียกได้ว่าสวยอลังการในป่าทึบ ถ้าให้เปรียบง่าย ๆ ก็คือดอกไม้ป่าดอกใหญ่เลยก็ว่าได้ ชุดของอริสในตอนนี้ นับเป็นชุดธรรมดาที่เจ้าตัวชอบใส่ในสมัยที่อยู่บลีกฟิก แต่พอไม่ได้เห็นนานเข้า แล้วยังมาให้ในป่าแบบนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขำ “โอลิว เริ่มได้เลย” คูลสั่งคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ตน โอลิเวอร์พยักหน้ารับคำสั่งนั้นอย่างว่าง่าย เจ้าชายหนุ่มและพวกหญิงสาวตระกูลแกรน รวมทั้งสิ้นสี่คน เดินไปยังใจกลางของพื้นดินที่มีกองไฟตั้งอยู่ กองไฟที่ลุกโชนนั้นได้ถูกหิมะพัดดับวูบลงไป พร้อมกับพื้นดินที่ถูกน้ำแข็งกัดกินและสลายหายไป เหลือไว้เพียงพื้นศิลาเป็นลายอักขระโบราณแบบที่ไอริสเคยเห็นเมื่อนานมาแล้ว ในยามนี้ไฟจากกองไฟดับมืดไป เหลือเพียงแค่แสงไฟสลัว ๆ จากดวงจันทรา ส่องลงมาตรงลานกว้างให้เห็นว่าคนทั้งสี่กำลังกรีดข้อมือของตัวเองเพื่อเอาเลือดออกมาสังเวย เลือดสีแดงสดของพวกเขาไหลลงสู่พื้นหิน สีแดงของเลือดที่กระทบสู่พื้นก็พลันเปล่งประกายเป็นแสงไหลเป็นทางตามร่องลายอักขระของพื้น ทั้งขาว ทอง ฟ้า และส้ม ไอริสถูกฝึกมามากมาย ในตอนนี้เธอจึงได้มีสายตาดีกว่าคนอื่น ๆ เธอมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน พื้นที่เธอเหยียบอยู่ก็เป็นหนึ่งในตราอักขระนั้น เธอสังเกตเห็นอีกว่าโอลิเวอร์ในยามนี้ใบหน้าที่ขาวซีดอยู่แล้วได้ซีดลงอย่างมากเพราะการเสียเลือด ...เขาไม่มีทางทนเสียเลือดได้นานจนประตูมิติเปิดแน่ และถ้าเลือดของตัวแทนบุปผาสังเวยเวทต้องห้ามได้ไม่พอ ทุกอย่างที่ทำก็จะสูญเปล่า โอลิเวอร์ถูกฝึกมาเพื่อฆ่า ไม่ได้ฝึกให้มาทนต่อความตาย ความรู้สึกกดดันเริ่มครอบคลุมจิตใจของไอริส เธอมองข้ามไหล่ของแพสชั่นไปที่คูล เธอถึงได้รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยผละสายตาออกไปจากเธอเลย แม้โอลิเวอร์กับพวกเด็กสาวสี่คนที่แม่มดฟีโอน่าฝึกมาจะเป็นพี่น้องกันแท้ ๆ ตามสายเลือด แต่ก็ใช่ว่าเขาจะทนเสียเลือดจำนวนมากได้แบบพวกเธอ โดยเฉพาะไอริส ในตอนที่อยู่กับอาจารย์ที่เมืองแห่งกาลเวลา เธอดันบ้าไปกินสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีความสามารถพิเศษในการแตกตัวเม็ดเลือดอย่างรวดเร็ว ทว่ายาตัวนี้เป็นหนึ่งในยาพิษร้ายกาจ การจะเอาความสามารถของมันมาใช้ต้องแลกกับการเสี่ยงสังเวยชีวิตจากการทนความเจ็บปวดไม่ไหว แต่ไอริสไม่รู้เรื่องผลข้างเคียง เธอจึงกินไปแบบไม่รู้จักคิด เพราะนึกว่ามันจะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น ในตอนนั้น หลังจากที่กินไปหนึ่งชั่วโมงยาได้เริ่มออกฤทธิ์โดยการเอาเลือดเก่าเธอออกมาจากร่างกาย ตามจุดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นตา หู จมูก ปาก เล็บหรือแม้แต่ผิวหนัง เลือดที่ขับออกมานั้นแสบร้อนแทบจะเผาไปทั่วร่าง นานกว่าหนึ่งชั่วโมงในที่สุดความทรมานก็เริ่มหยุดลง ไอริสไม่ตายแต่กลับได้พลังพิเศษที่มีคนต้องการมานานนับพันปี ซึ่งเธอมารู้ที่หลังจากอาจารย์ว่า ไม่เคยมีใครทนพิษของยาตัวนี้มาได้แม้แต่คนเดียว ดังนั้นถ้าจะให้คนอย่างไอริสมาตายเพราะเสียเลือดก็ลืมไปได้เลย ส่วนสามสาวที่เหลือ แม้จะไม่ได้กินยาแบบไอริส แต่ก็ถูกฝึกให้เสียเลือดมาหลายครั้ง พวกนั้นสามารถควบคุมการเสียเลือดของตัวเองได้ และต่อให้เสียเลือดมาแค่ไหนก็สามารถฝืนให้ตัวเองไม่สลบไปก่อนได้ และหลังจากที่แผลสมานตัว ร่างกายของสามคนนั้นก็จะมีการฟื้นฟูภายในอย่างรวดเร็ว ...แต่ไม่ใช่กับโอลิเวอร์ ดังนั้นเธอต้องช่วย ไอริสย่อตัวลงไปนั่งอยู่ที่พื้น เธอทำเหมือนกับว่าตัวเองนั้นพัก เธอปล่อยแขนข้างหนึ่งห้อยลงไปที่พื้น ส่วนดวงตาก็กวาดไปรอบ ๆ พอพบว่าไม่มีใครสนใจ ไอริสจึงได้ทำการกรีดแขนตัวเองเป็นทางยาวและปล่อยให้เลือดไหลไปบรรจบกับเลือดของทั้งสี่คนนั้น เป็นผลทำให้พื้นอักขระนี้เต็มไปด้วยตราหลากสีที่ค่อยเปลี่ยนรวมกันเป็นสีแดงสว่างอย่างรวดเร็ว จวบจนทุกอย่างบนพื้นถูกล้อมรอบไปด้วยเลือดเรืองแสง แสงนั้นก็ได้เปล่งสว่างเพิ่มมากขึ้นจนแสบตา จนไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อีกต่อไป แสงนั้นสว่างขาวบริสุทธิ์ล้อมรอบทุก ๆ อย่างทั่วทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นทิศทางใด ในขณะที่รู้สึกว่าร่างกายนี้กำลังห่อหุ้มด้วยแสงอย่างอ่อนโยน จู่ ๆ มันก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นมืดสนิทพร้อมกับสติที่ดับไป กลิ่นของดินที่เปียกชื้นอันเป็นเอกลักษณ์ของป่าดิบโชยฟุ้งเข้าจมูก เสียงของนกน้อยที่ร้องขับขานคล้ายบทเพลงบางเบาขับกล่อม ร่างบางที่มีเรือนผมยาวตรงสีขาวราวกับหิมะนอนหลับตาพิงต้นไม้ใหญ่ในด้านที่มืดทึบอย่างสงบ เมื่อรู้สึกตัว แพขนตาหนาก็ค่อย ๆ ขยับเปิดขึ้น ดวงตาคมใสสีแดงสดกวาดไปทั่วบริเวณรอบด้าน ฉับพลันก็มีหยดน้ำหยดหนึ่งตกผ่านใบหน้าไป เพียงแค่แวบเดียวที่เห็นเงาตัวเองในนั้น เธอก็รู้ดีว่าร่างในตอนนี้เป็นอย่างไร มือเรียวหยิบผมของตัวเองมามองกำมือหนึ่ง ใบหน้าสวยก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน แต่แล้วสักพักผมสีขาวก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นสีดำรวมไปถึงดวงตาที่เคยเป็นสีแดงฉาน เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังจากที่ทุกอย่างเริ่มลงตัว คราวนี้ร่างบางในชุดนักเรียนลุกขึ้นจากพื้นดินที่เปียกชื้น เธอหันไปดูอีกฟากของต้นไม้ ก็พบกับพื้นที่มีรอยอักขระแบบที่เพิ่งจากมาก บริเวณนั้นมีผู้คนส่วนหนึ่งนอนสลบอยู่ โดยในจุดที่เธอยืนมีต้นไม้บดบังทำให้ร่มและมืด ส่วนบริเวณที่มีอักขระนั้นไม่ได้มีต้นไม้ใด ๆ อยู่ ทำให้มีแสงสว่างส่งลงมาเต็มที่ ไอริสเห็นทุกคนสลบอยู่ที่เดิม ทว่าไม่มีเงาของคูลอยู่ และดูเหมือนเธอเองก็ไม่ได้อยู่ในจุดเดิมที่เคยอยู่ก่อนจะข้ามมิติมา เดี๋ยวก่อนนะ... ถ้าทุกคนอยู่ที่เดิม แต่เธอไม่อยู่ แถมสภาพเธอก็กลับไปเป็นโอลิเวีย หรือว่าคูลจะช่วยซ่อนตัวเธองั้นเหรอ ไอริสเดินออกมาจากป่า เดินไปไม่ไกลนักก็ออกมาจนสุดทาง พื้นดินและพื้นหญ้าถูกวางแทนที่ด้วยพื้นหินสีดำสนิท เมื่อมองไปบนเพดานก็พบกับร่องหินที่แยกตัวออกจากกัน คล้ายจะมีลาวาอยู่ภายใน ไม่ต้องคิดมากความ ก็รู้ได้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน เพราะในเมื่อที่นี่คือจุดปล่อยพลังของอสูร ดังนั้นที่แห่งนี้คงจะเป็นถ้ำเวทของพวกมัน ซึ่งถ้าหากมองอีกแบบ สถานที่นี้ดูคล้าย ๆ กับห้องโถงใหญ่ในงานเต้นรำ เพียงแต่เต็มไปด้วยพนังหินสีเทา ร้อน แห้ง มีจุดตรงกลางจุดเดียวที่เป็นป่า ในห้องโถงที่เต็มไปด้วยความร้อนนี้ เบื้องหลังคล้ายจะเป็นเกาะขนาดย่อมที่ยังเป็นจุดเดียวที่อุดมสมบูรณ์ และคาดว่าจะเป็นจุดอุดมสมบูรณ์แห่งสุดท้ายของดินแดนแห่งนี้ ไอริสเริ่มมองหาคน และแล้วเธอก็พบคนจำนวนหนึ่งซึ่งเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นเดียวกัน นอนไม่ได้สติอยู่ที่พื้นหลายสิบคน โดยที่มีคูลเดินไปเดินก้ม ๆ เงย ๆ ดูคนเหล่านั้น ทว่าจากคนนับร้อย ทำไมถึงเหลืออยู่แค่นี้ หรือคนอื่นที่ไม่ได้อยู่หน้าถ้ำจะกลับไปโพลาเดียกันหมด “เฮ้ ทุกอย่างโอเคมั้ย” ไอริสปรับน้ำเสียให้สดใส และเดินเข้าไปทักคนที่กำลังตรวจสภาพเหล่านักเรียนอยู่ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมามอง ก่อนจะตอบโดยการพยักหน้ารับ สาวเจ้าพอได้รับคำตอบที่สั้นและคล้ายไม่ใส่ใจก็พลันเกิดอาการหงุดหงิด แต่ก็พยายามท่องไว้ว่าตอนนี้ตัวเองไม่ใช่เจ้าหญิงโอลิเวีย ส่วนคนตรงหน้าก็เป็นถึงเช้าชายภูต “คนอื่นหายไปไหนกันหมดน่ะ” ไอริสพยายามทำให้สีหน้ายิ้มแย้ม ไม่แสดงอาการหงุดหงิดออกมา หญิงสาวพยายามคุยกับคูลด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร แต่กลับถูกร่างสูงตวัดสายตาคมดุดันสีเทากลับมามอง เป็นสายตาท้าทายที่กำลังจะสื่อว่าเขาพร้อมที่จะเล่นตามบทไปด้วยกัน แล้วจะรอดูว่าเธอนั้นจะไปต่อได้อีกไกลสักแค่ไหน “คนส่วนใหญ่ที่อยู่บริเวณโรงเรียนมีอาจารย์ราเชลพากลับโรงเรียนโพลาเดียไปหมดแล้ว ส่วนคนที่อยู่แถวปากถ้ำอยู่ไกลเกินเขตเวทมากไป เลยพาไปด้วยไม่ได้ “อ่อ...” ไอริสพยักหน้ารับ อาจารย์ราเชลเป็นสายเลือดปีศาจ ซึ่งพวกปีศาจมีพลังในการเคลื่อนย้ายคน ดังนั้นตอนนี้ถ้าหากพวกเธอจะกลับไปโพลาเดียได้อย่างปลอดภัยก็คงต้องหวังพึ่งโอลิเวอร์ คนที่อาศัยอยู่ในดินแดนปีศาจมาทั้งชีวิต และเป็นคนที่มีสายเลือดปีศาจกล้าแกร่งมากที่สุด ขณะที่ไอริสยืนกอดอกมองดูคูลเดินไปมา หญิงสาวก็เหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าลืมอะไรไป ในตอนนั้นตัวของเธอแข็งทื่อไปทั้งร่าง ก่อนจะวิ่งกลับเข้าในป่าแล้วหยิบเอาเจ้าแมวสีขาวออกมาด้วย เมื่อกลับออกมาหาคูลอีกครั้ง เธอก็เห็นว่าข้าง ๆ ตัวเขามีควันสีดำพุ่งขึ้นมาเป็นก้อนกลม ๆ เหมือนก้อนหมอกขนาดใหญ่ จนเมื่อควันสลายหายไปก็ปรากฏให้เห็นร่างของเจ้าสัตว์สี่ขา ที่มีคนโทนสีขาว เทา ดำ ยืนแน่นิ่งเหมือนสัตว์คุ้มครองข้างกาย โดยไม่ต้องคิดให้มากความ ไอริสก็รู้ได้ว่าเจ้านี้คือภูตประจำตัวคูล เป็นภูตเผ่าพันธุ์เดียวกันกับไบท์ แต่แข็งแกร่งกว่า “นี่สัตว์เลี้ยงนายเหรอ” ไอริสแสร้งทำเป็นไม่รู้จักคาเรฟ ภูตองครักษ์ผู้แข็งแกร่งเหนือองครักษ์ทั้งปวง ซึ่งหญิงสาวได้พูดลดขั้นเจ้าพญาราชสีห์ในร่างหมาป่า ให้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงธรรมดาด้วยสีหน้าใสซื่อ “อย่าปล่อยให้มันมากัดแมวฉันนะ” เธอพูดพร้อมทั้งกอดไบท์เอาไว้แน่น คำว่าสัตว์เลี้ยง ทำเอาเจ้าตัวที่เป็นถึงจ่าฝูงของภูตชั้นสูงอย่างคาเรฟไม่พอใจ มันใช้สายตาสัตว์ป่าหันมามองไอริสพร้อมทั้งส่งเสียงขู่ในลำคอออกมาเบา ๆ คาเรฟนั้นมีนิสัยเหมือนเจ้าของที่มันทำพันธสัญญาด้วย มันเป็นภูตที่สุขุมและชาญฉลาด อีกทั้งยังแข็งแกร่งจนไม่น่าเชื่อ ซึ่งร่างของคาเรฟตอนที่เป็นสิงโตยังคงงดงามและตราตรึงใจไอริสมาจนถึงวันนี้ แม้เวลาจะผ่านมานาน แต่เธอก็มั่นใจว่าตัวเองไม่มีทางลืมภูตพิเศษอย่างคาเรฟไปได้แน่ ๆ ทว่า แม้คาเรฟจะเปรียบเสมือนจ่าฝูงของไบท์ แต่เจ้าแมวตัวขาวในมือของเธอนั้น ได้ตั้งตัวเป็นศัตรูกับหมาป่าสีเทาอย่างออกนอกหน้า ไบท์กับคาเรฟก็เป็นคู่ปรับกัน อีกทั้งไอริสและคูลในตอนนี้ก็ไม่ถูกกัน ช่างเป็นคู่เจ้านายที่เหมาะสมกันจริง ๆ “นั่น...แมวของเธอ?” เจ้าคาเรฟในร่างหมาป่าถามขึ้นอย่างสงสัย มันหรี่ตาลงและยื่นหน้ามันมาดมที่ไอริสและไบท์อย่างจริงจัง ราวกับจะค้นหาสิ่งแปลกปลอม ไอริสแทบกลั้นหายใจลงไปดื้อ ๆ หัวใจที่เคยสงบก็พลันเริ่มเต้นผิดจังหวะ จนเธอต้องคอยพยายามควบคุมมันให้สงบ ตัวเธอเองไม่อาจมั่นใจได้หมดว่า กลิ่นชาวภูตของไบท์นั้นได้ลบไปจนหมดหรือยัง หรือจมูกของคาเรฟจะดีเกินกว่าที่เธอคาดการ จนสามารถทำให้เธอจนมุมในท้ายที่สุด แต่ดูเหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกซ้ำซ้อน เมื่อเจ้าแมวในมือหญิงสาว จู่ ๆ ก็ตื่นขึ้นมาโดยไม่มีสัญญาณเตือน ร่างเล็กสีขาวในมือของไอริสเริ่มขยับตัวอย่างช้า ๆ ตาของมันปรือขึ้นมาราวกับยังนอนไม่เต็มอิ่ม ลิ้นเล็กเลียรอบปากทำความสะอาดคราบน้ำลาย แต่แล้วดวงตากลมตีดำสนิทก็เบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจเมื่อเห็นหมาป่า \"เมี๊ยว! \" เจ้าแมวร้องเสียงหลง เมื่อเจ้าหมาตรงหน้าเริ่มขยับเข้ามาใกล้ เสียงร้องของไบท์ทำให้เจ้าคาเรฟหยุดเดิน ทว่ามันยังคงมองไปยังเจ้าร่างน้อยที่สั่นระริกในอ้อมกอดของอริสด้วยความสงสัย แต่หลังจากพินิจอยู่พักใหญ่ ในที่สุดคาเรฟก็เลิกสงสัยแล้วหันกลับไปอยู่ข้างผู้เป็นนายต่อ \"มาไวถึงไวดีนิ\" น้ำเสียงแข็งกร้าวของเจ้าชายภูตเอ่ยขึ้น แม้คำพูดของเขาจะสื่อส่งไปให้กับภูตรับใช้ แต่ทว่าดวงตาคมคาย กลับดูคล้ายว่าจ้องมองไปที่ร่างบางไม่วางตา ไอริสหันหน้าหลบสายตาที่จ้องมาไม่หยุด สายตาของเขาชวนให้รู้สึกอึดอัดใจ เธอเลยก้มลงไปนั่งยอง ๆ อยู่ที่พื้นพร้อมกับปล่อยให้แมวในอ้อมแขนเป็นอิสระ จากนั้นก็แสร้งทำเป็นมองไปรอบ ๆ ราวกับว่ากำลังตรวจสอบพื้นที่อยู่ ทั้งที่แท้จริงแล้วเธอตรวจสอบรอบด้านไปตั้งแต่ครั้งแรกที่เดินออกมาแล้ว \"ท่านแม่มดได้ฝากมาบอกกับท่านว่า พวกคนส่วนหนึ่งได้กลับไปถึงโรงเรียนโพลาเดียเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแค่ไม่กี่ชีวิตในที่แห่งนี้ ตอนนี้จึงได้มอบหมายภารกิจท่านกับเจ้าชายโอลิเวอร์ให้พาทุกคนกลับไป\" คาเรฟก้มตัวรายงานสถานการณ์ด้วยท่าทีนอบน้อม แต่ทว่ามันกลับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ความว่างเปล่า... เมื่อมันเงยหน้าขึ้น แทนที่จะได้เจอคูลในท่าทีครุ่นคิดเช่นในวันวาน กลับกลายเป็นว่าชายหนุ่มในตอนนี้เอาแต่จับจ้องมองไปที่หญิงสาวร่างบางที่มีเรือนผมสีดำสนิทนั่งยอง ๆ เหม่อมองไปทางอื่นราวกับไม่รู้ตัวว่าถูกจ้อง เธอช่างเป็นผู้หญิงที่ไร้จุดเด่น... แต่เจ้านายของเขาสนใจงั้นเหรอ คูลเริ่มให้ความสนใจผู้หญิงเนี่ยนะ? ไอริสผู้ไม่รู้เรื่องราวความคิดคนอื่น ค่อย ๆ ยืนขึ้นอย่างช้า ๆ ถ้าหากให้เธอเดา อีกไม่นานคนเหล่านี้ก็จะฟื้นแต่จะเป็นไปตามลำดับขั้นของพลังในตัว เพราะถ้าหากคนแรกที่ฟื้นคือคูล คนต่อมาเป็นเธอ อย่างนั้นคนต่อไปคงไม่พ้นโอลิเวอร์ คูลเองก็เหมือนจะรู้เรื่องนี้ดี แต่เขากลับเลือกที่จะไม่ใช่มันตั้งคำถามกับหญิงสาว เพราะยังไงเธอคงจะหาข้อแก้ตัวมาไม่ได้หรอก ว่าทำไมคนเร่ร่อนอย่างเธอถึงได้ฟื้นพลังกายไวกว่าเจ้าชายโอลิเวอร์ขนาดนั้น ทว่าเพื่อความปลอดภัย ไอริสก็ตัดสินใจที่จะออกไปสูดอากาศข้างนอก พร้อมทั้งคิดจะตรวจสอบบริเวณรอบด้าน เพราะข้างในนี้อากาศมันช่างร้อนแห้งจนเธอแทบจะทนไม่ไหว และต่อให้มีน้องสาวสองคนที่เป็นถึงเจ้าแห่งไฟ เธอก็ไม่เคยชินกับความร้อนสักที แถมนอกจากจะไม่ชินแล้ว ยังเกลียดมันเข้าไส้อีกต่างหาก ทันทีที่ไอริสกำลังออกตัวเดินไปทางประตูหินบานใหญ่ เสียงเข้มก้องกังวานทรงอำนาจดังขึ้นกึกก้องไปทั่วทิศ \"เธอจะไปไหนน่ะ\" คนที่ถูกเรียกเอาไว้ด้วยน้ำเสียงที่น่ากลัวถึงกลับสะดุ้งตัวโยน เจ้าหล่อนค่อย ๆ หันหน้ากลับมาช้า ๆ พร้อมกับยิ้มร่าแบบแห้ง ๆ พร้อมชี้มือไปทางที่อยู่ของประตู \"ฉันจะออกไปข้างนอกน่ะ\" เธออธิบาย ก่อนจะเดินไปต่อโดยไม่สนใจคนข้างหลัง \"ไม่ได้!\" คูลตวาดเสียงแข็ง แต่เสียงของเขากลับเหมือนไม่ได้เข้าหูของหญิงสาวแม้แต่น้อย มีหรือที่ไอริสจะฟัง เธอเดินดุ่ม ๆ ไปที่ประตูรวดเดียว มือเรียวก็สัมผัสกับบานประตูหินใหญ่ยักษ์ อุณหภูมิร้อนอ่อน ๆ ถูกแผ่ขยายผ่านมายังมือบางที่สัมผัสอยู่ ประตูนี้นอกจากจะมีไอร้อนเหมือนอากาศโดยรอบแล้ว ลายของบานประตูยังสลักลวดลายเป็นภาพผู้คนที่ถูกทารุณกรรมอันแสนน่ากลัว คอยข่มขวัญคนมองให้เข่าอ่อน ด้วยความไม่ฟังคำสั่งของคูล ไอริสแง้มประตูเปิดออก ก่อนจะยื่นหัวออกมาส่องซ้ายขวา แต่แล้วเธอก็ต้องรีบชักหัวตัวเองกลับเข้ามาทันใด พร้อมกับผลักปิดประตูบานใหญ่ลงอย่างเบามือ ด้วยความกลัวว่าจะไปรบกวนใครเข้า ใบหน้าหญิงสาวในตอนนี้ขาวซีด ดวงตาเผยความตกใจสุดขีดออกมา เมื่อย้อนไปถึงภาพที่เธอเพิ่งเห็นเมื่อก่อนหน้า ภาพที่น่าสยดสยองที่สุดในรอบปีครานี้ได้คงติดตาเธอไปอีกนาน เมื่อเหล่าอสุรกายรูปร่างแปลกประหลาดและพิสดารกำลังรอบวงกันชำแหละเหยื่ออันโอชะ... เจ้ากวางที่น่าสงสารได้ถูกกินจนไม่เหลือสภาพดี ที่ทำให้เธอรู้ว่าเป็นกวางเพราะเห็นส่วนหัวของมันวางทิ้งอยู่ที่พื้น ซึ่งดูจากลักษณะของเจ้าอสูรพวกนั้น เธอก็พอจะเดาได้ว่าพวกมันคืออสูรระดับที่สาม อสูรมีการแบ่งแยกระดับความอันตรายโดยไล่จากห้าระดับ ระดับที่ห้าคือต่ำสุด มีความสามารถเหมือนสัตว์ร้ายทั่วไป ระดับที่สี่คือพวกที่เธอเคยเจอหน้าถ้ำ พวกนั้นจะร้ายกาจกว่าเพราะความที่เป็นอมนุษย์ แต่มีจุดด้อยตรงที่ไม่มีมันสมองในการคิด ระดับที่สามมีส่วนคล้ายระดับที่สี่คือด้านรูปร่าง แต่พวกนี้จะฉลาดกว่าเพราะมีจิตใต้สำนึกรวมถึงความคิดของมนุษย์หลงเหลืออยู่ ซึ่งมีเพียงสามระดับล่างเหล่านั้น หลังจากที่กลายร่างไปแล้วพวกมันจะไม่มีวันกลับมาเป็นมนุษย์หรือชีวิตแบบเดิมได้อีก พวกนี้มีทางเดียวคือฆ่าทิ้งเพราะไม่มีหนทางอื่นในการช่วยเหลืออีกแล้ว ต่อมาเป็นระดับที่สอง พวกนี้สามารถที่จะกลับมาเป็นคนอีกครั้งได้อยู่ แต่ระดับความชั่วร้ายของพวกมันมีมากกว่าเจ้าสามระดับก่อนหน้ารวมกันเสียอีก ระดับสองพวกนี้มีรูปร่างเป็นมนุษย์ แต่เวลาที่สติหลุดจะกลายร่างกลับไปเป็นอสูร ส่วนใหญ่มีพลังมาก เก่งกาจด้านเวทมนตร์และการโจมตี มากด้วยเล่ห์ ยากที่จะโค่น การจะกำจัด ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ก็ยังต้องรวมกลุ่มช่วยกันวางแผนจัดการ พวกนักเรียนฝึกหัดไม่มีทางรับมือได้เลย มาถึงระดับที่หนึ่ง พวกนี้ก็เหมือนระดับที่สองที่มีรูปร่างสองแบบ แต่เวลาที่จะกลายร่างจะขึ้นอยู่ที่ความต้องการของพวกมันเอง อยากกลายร่างตอนไหนก็ได้ จะกลับมาเป็นมนุษย์ตอนไหนก็ได้ ส่วนฝีมือและพลังเวทก็มากเท่าพวกระดับชั้นอาจารย์ในบลีกฟิก โชคดีที่พวกระดับหนึ่งนั้นมีจำนวนนับนิ้วได้ และพวกมันก็ไม่ค่อยชอบเปิดเผยตัวสักเท่าไร ส่วนมากจะชอบสั่งลูกน้องระดับล่างไปจัดการงานแทนตัวเองทั้งสิ้น ในบรรดาระดับอสูรที่ถูกตามเก็บข้อมูลโดยหนอนหนังสือปริศนาแห่งบลีกฟิก เขาไม่ได้ลงบันทึกเรื่องราวของอสูรอีกระดับหนึ่งไว้ ซึ่งก็คือพวกไร้ระดับหรือจะเรียกว่าระดับศูนย์ก็ได้ อสูรตนนี้มีเพียงคนเดียว ไม่มีใครรู้จักชื่อของมัน แต่เหล่าอสูรจะเรียกมันว่า...จ้าวอสูร นอกจากอสูรระดับหนึ่งแล้วก็ไม่มีใครที่ได้พบจ้าวอสูรแล้วมีโอกาสกลับมาเล่าต่อให้ฟังสักราย จนเหมือนกับว่าเรื่องราวของจ้าวอสูรเป็นเพียงแค่ข่าวลือที่แต่งขึ้นมา กลับมาที่สถานการณ์ปัจจุบัน ข้างนอกประตูหินมหึมานี้ ได้เป็นแหล่งรวมของอสูรระดับสาม แน่นอนว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเด็กนักเรียนใหม่ของโพลาเดียอย่างแน่นอน อีกอย่างนักเรียนใหม่พวกนี้ยังไม่ทันได้เริ่มเข้าเรียนเลยด้วยซ้ำ พนันได้ว่าทุกคนจะต้องตายโดยที่ยังไม่ทันได้สู้แน่ ๆ \"ยังอยากจะออกไปอีกมั้ย\" คูลพูดเยาะเย้ย ชายหนุ่มทองร่างเล็กที่ใบหน้าซีดขาว หันหลังพิงกับประตู ด้วยแววตาที่รู้สึกสนุก เพราะนาน ๆ ครั้งจะได้เห็นโอลิเวียเสียหน้า ไอริสเองยังคงอยู่ในอาการตกใจ เจ้าตัวเสยผมตัวเองขึ้นด้วยท่าทีเลื่อนลอย ก่อนจะเดินตรงกลับไปนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่กลางห้องอีกครั้ง เธอหนังลงตรงโค่นต้นไม้ฝั่งทางด้านในป่า หันหลังให้กับคูล พยายามไม่ให้เขาเห็นแววตาของตัวเองที่ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นตื่นเต้น เสียงดังที่อีกฟากดังขึ้นราวกับมีคนมานั่งด้วยทำให้เธอเงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่ขาวซีดกำลังจะระบายรอยยิ้ม แล้วพูดทักทายเจ้าชายภูตที่เดินมาหา แต่แล้วพอเขาพูดขึ้น รอยยิ้มนั้นก็ได้เลือนหายไป \"โอลิเวีย...\" ถึงจะเป็นคำพูดบางเบาแสนนุ่มนวล แต่มันกลับเป็นราวกับน้ำแข็งที่เย็นเยียบเกาะกุมจิตใจเธอรวมไปถึงร่างกายทุกส่วน ร่างบางสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ดวงตาสีดำกลมโตเบิกกว้างขึ้นอีกทั้งมันยังสั่นไหวไปด้วยความสับสน หัวใจที่ถูกแช่แข็งเริ่มมีรอยร้าวเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งรอย ไอริสกำลังเสียการควบคุมตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอกลัวมากที่สุด และคูลเองก็รู้ดี ซึ่งตัวตนของเธอคือสาเหตุที่เลือกจะหนีไปยังดินแดนที่ไร้การต่อสู้ แต่ทว่า คำพูดของชายหนุ่มในตอนนี้ กลับเหมือนจะตอกย้ำถึงตัวตนที่แท้จริงของเธอ ...โอลิเวีย แค่คำคำเดียวก็สามารถทำให้หญิงสาวสติหลุด ต้นหญ้าที่พื้นรอบตัว เนื้อไม้ที่หลังพิง พลันถูกไอเย็นกัดกินจนมีน้ำแข็งเกาะกุม และมันยังแผ่ขยายออกเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ อย่างเนิบช้า ฝ่ายเจ้าแมวภูตเห็นสถานการณ์เริ่มไม่สู้ดี แต่ว่าตัวมันส่งเสียงร้องเตือนไม่ได้ มันจึงทำได้เพียงเอาเล็บจิกที่แขนของไอริสจนเลือดซิบ และนั่นก็ทำให้หญิงสาวที่กำลังไร้การควบคุมกลับมามีสติอีกครั้ง พอสติของเธอคืนมาเกล็ดน้ำแข็งบาง ๆ ก็ได้สลายหายไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น \"ฮ่ะ ๆ ฉันบอกว่าฉันไม่...” เธอตอบกลับคูลด้วยน้ำเสียงร่าเริงราวกับคนไม่รู้เรื่องอะไร แต่แล้วก็ถูกพูดกลบไปแทน “ถ้าหากฉันเห็นว่าเธอ...กลับไปเป็นเธอคนเดิมเมื่อไหร่ ตอนนั้นเธอก็บอกลาทุก ๆ คนหรือแม้แต่ ไอริส แกรน ของเธอได้เลย” เสียงเข้มเย็นยะเยือกเอ่ยขัดขึ้นอย่างเย็นชาไร้เยื่อใย ร่างสูงกำยำของคูลลุกขึ้นยืนจากพื้นหญ้า รอบข้างของเขาไม่ได้มีคาเรฟมาด้วยเนื่องจากชายหนุ่มได้สั่งให้มันเตรียมตัวปลุกทุกคน ขืนปล่อยไว้นานแล้วเจ้าอสูรบุกมาโดยไม่ทันตั้งตัว ในตอนนั้น ผู้หญิงของเขาคงได้กลายเป็นปีศาจแน่ ๆ นัยน์ตาคมของเจ้าชายภูตตวัดไปมองหลังต้นไม้ใหญ่ด้วยความโกรธ ชิงชัง ที่เธอเลือกจะหนีไปแทนที่จะให้จะขอให้เขาช่วยแก้ปัญหา แต่ถึงจะโกรธเขาก็ไม่มีทางเกลียด แม้ใบหน้าที่หล่อเหลาราวกับรูปสลักจะแน่นิ่งไร้อารมณ์แต่ใครจะรู้ว่าจิตใจของเขายอมให้กับคนเพียงคนเดียว... โดยที่คนคนนั้นไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย หนุ่มสาวทั้งสองต่างนิ่งสงบปล่อยให้ลมร้อนบางเบาพัดผ่านไปโดยไม่สนใจเวลาที่เดินไม่รอใคร ช่วงเวลาที่เงียบสงบแต่ความรู้สึกที่บอกว่ายังคงมีอีกคนคอยเคียงข้างทำให้พวกเขาสองคนรู้สึกสงบใจอย่างบอกไม่ถูก ในที่สุดร่างสูงของคูลก็เดินจากไปโดยไม่สนใจคนข้างหลังอีก เพราะเขาได้ตั้งปณิธานไว้แล้ว หากเพียงแค่เธอกลับไปเป็นร่างโอลิเวียเมื่อไหร่ ในตอนนั้นเขาจะไม่ปล่อยเจ้าหญิงบ้าเลือดของเขาให้หลุดมือไปเป็นครั้งที่สองแน่ ไอริสต้องอยู่ในเงื้อมมือของเขาเท่านั้น! ฝ่ายไอริส แม้คนที่ทำให้ตัวเธอสติแตกจะจากไปแล้ว แต่เจ้าหล่อนก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่แบบนั้นราวกับเป็นรูปปั้นนานนับนาที ไบท์เองเดินไปมาจนแทบทนไม่ไหวแทบอยากจะเอาเล็บแหลมข่วนแขนขาวซีดของหญิงสาวให้รู้แล้วรู้รอด แต่พอคิดแบบนั้นออกมาราวกับไอริสจะรู้ตัว เจ้าหล่อนลุกขึ้นยืนตัวตรง ใบหน้าสวยคมถูกประดับด้วยนัยน์ตาสีดำที่เบิกกว้างและว่างเปล่า ริมฝีปากบางสีแดงสดเหยียดยิ้มเย็น ใบหน้าเรียวตวัดไปมองตามหลังคนที่เดินจากไป มือบางทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่นจนสั่นระริก... “ฮึ! คูล เวราเน่... สักวันฉันจะเอาดาบของฉัน กรีดเอาเลือดออกมาจากนายให้ได้ คอยดูให้ดีเถอะ!” เสียงหวานเค้นถ้อยคำแต่ละคำออกมาอย่างเชื่องช้าแต่ชัดเจนทุกคำพูด ร่างทั้งร่างหันตัวไปทางทิศที่จากมา และเพียงแค่ก้าวเดียวที่ก้าวออกไป ใบหน้าที่เคยแข็งกระด้างเย็นช้าก็พลันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ความสดใสได้เข้ามาตกแต่งรอยยิ้มหวาน แทนที่ไปด้วยดวงตาคมสวยของผู้หญิงที่มีชื่อว่าไอริส ละทิ้งเค้าโครงเดิมของเจ้าหญิงโอลิเวียไปจนหมดสิ้น ...แล้วเราจะมาดูกันว่าใครกันที่จะชนะในสงครามเย็นครั้งนี้
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
บทที่ 8 - ถ้ำอสูร
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A