บทที่ 9 - การพ่ายแพ้ครั้งที่หนึ่ง
1/
บทที่ 9 - การพ่ายแพ้ครั้งที่หนึ่ง
Breekfic: Fate Return บลีกฟิก สงครามชิงอาณาจักร ภาค โชคชะตาที่ไม่อาจหลีกหนี
(
)
已经是第一章了
บทที่ 9 - การพ่ายแพ้ครั้งที่หนึ่ง
บทที่ 9 การพ่ายแพ้ครั้งที่หนึ่ง “ทุกคนฟื้นหมดแล้ว” โอลิเวอร์เดินเข้าไปบอกกับคูล ที่กำลังยืนนิ่งกอดอกมองสถานการณ์รอบด้านเงียบ ๆ อยู่คนเดียว โดยสาเหตุที่เจ้าตัวยืนอยู่คนเดียว ก็เพราะรังสีความน่ากลัวของเขาในตอนนี้มันขยายไปทั่ว จนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้แม้แต่คนเดียว แม้คูลจะมีใบหน้าหล่อเหลาพร้อมล่อลวงหญิงสาว แต่ยามที่โกรธดูเหมือนใบหน้าเทพบุตรนั้นจะมีไว้ขับไล่คนเสียมากกว่า คำพูดที่ว่าคนหล่อทำอะไรก็ไม่ผิดเห็นทีจะใช้ไม่ได้เสียแล้ว โอลิเวอร์เองที่เห็นสภาพของเพื่อนแล้วก็ได้แต่ปลง ต่อให้พูดอะไรไปคนตรงหน้าก็ไม่สนใจจะฟังแน่ “อืม” คนหน้าตึงตอบรับ คราวนี้ชายหนุ่มรูปงามจนผู้หญิงยังอิจฉานามว่าอริน เดินเข้ามาหาคูลและโอลิเวอร์ที่ยืนอยู่ด้วยกัน ซึ่งชายหนุ่มผู้มีอายุเยอะที่สุดในกลุ่มสวมใส่กางเกงยีนสีดำ เสื้อเชิ้ตตัวโครงสีขาว สภาพผมยาวสีเขียวยุ่งเล็กน้อยราวกับคนเพิ่งตื่นนอน เมื่อเจ้าตัวมาหยุดอยู่สาวสหาย เขาก็พลันระบายยิ้มจาง ๆ ออกมา “มีข่าวดี โอลิเวอร์ นายสามารถใช้พลังของฉันกับอริสในการร่ายเวทย้ายมวลสารได้ แต่มันอาจจะยังไม่มากพอที่จะพาทุกคนกลับไปในคราวเดียว จากที่คำนวณแล้วอาจจะใช้เวลาราว ๆ หนึ่งชั่วโมง” “อืม... พวกนายสองคนจัดการเลย” คูลตอบรับอย่างไม่ใส่ใจ โดยที่สายตาของเขายังไม่ผละไปจากร่างบางของไอริส โอลิเวอร์เดินตามอรินเข้าไปยังป่า จุดหมายของคนทั้งคู่คือด้านในสุดของป่านี้ซึ่งมันเป็นจุดรวมพลังเวทมหาศาล ทำให้การร่ายเวทเป็นไปได้ด้วยดี ว่าด้วยการเคลื่อนย้ายคน พลังนี้นับเป็นพลังมืดชนิดหนึ่งที่เผ่าพันธุ์ปีศาจเชี่ยวชาญเป็นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นเวทที่เขาสืบทอดมาจากคนเป็นพ่ออีกที ส่วนอรินและอริส แม้จะเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน แต่สองคนนั้นเติบโตในดินแดนของเทพ ตอนนี้ที่พอจะช่วยได้ก็มีแต่แบ่งพลังมาช่วยเท่านั้น จริง ๆ แล้วโอลิเวอร์สามารถย้ายตัวเองไปไหนก็ได้ตามต้องการ แต่ด้วยความที่เขาต้องย้ายคนจำนวนมาก พลังของคนคนเดียวอาจจะไม่เพียงพอ ระหว่างนี้ไอริสได้เดินเป็นหนูติดจั่นรอยู่ริมชายป่าด้านหนึ่ง เธอมีความรู้สึกหวาดระแวง หนาว ๆ ร้อน ๆ จนเดินไม่ติดที่ โดยหนึ่ง... เธอกังวลเรื่องอสูร ในตอนนี้พวกมันยังไม่เข้ามาในห้อง อาจเป็นเพราะว่าห้องนี้อาจเป็นสถานที่สำคัญอะไรสักอย่าง แต่ถ้าเกิดพวกมันเข้ามาโดยบังเอิญ เมื่อนั้นจะรับมือกันไหวหรือเปล่า ถ้าตัวสองตัวก็พอไหว แต่ถ้ามาเป็นสิบคงได้ตายกันไปข้าง เจ้าชายภูตอาจจะช่วย แต่ไม่มาก ส่วนโอลิว อริน อริสก็อยู่ข้างในป่า ร่ายเวทพาทุกคนกลับอาณาจักร ...แล้วเอริส แอริส ออริส จะรับมืออสูรเป็นฝูงได้งั้นเหรอ... “ไอริส!” เสียงเรียกของแพสชั่น ในร่างหญิงสาวผมยาวสีแดงมัดรวบทรงโพนี่เทล ดวงตาสวยคมกล้าสีทับทิม ฉายแววตื้นตันเมื่อหันไปสบตา ใบหน้าสวยในยามนี้ได้ถูกประดับด้วยเขี้ยวน้อย ๆ น่ารักสองข้างที่เป็นตัวบอกว่าเจ้าหล่อนมาจากดินแดนของปีศาจตามที่เคยเล่า ซึ่งเมื่อไอริสหันไปสนใจ ร่างบางที่สูงโปร่งของสาวสวยได้วิ่งตรงเข้ามากระโดดกอดใส่ด้วยความคิดถึง มีอีกอย่างที่เพิ่มมากับตัวแพสชั่นนอกจากคมเขี้ยว นั้นก็คือรังสีความข่มขวัญผู้คนรวมไปถึงความมั่นใจอย่างแรงกล้าที่แผ่กระจายออกมา ราวกับตะโกนบอกลักษณะของเธอว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่พร้อมจะสู้กับทุกคนที่ขวางหน้า การที่แพสชั่นเข้ามามันทำให้ไอริสที่กำลังอยู่ไม่สุขเริ่มสงบลงได้ เพียงแค่เห็นหน้าคนที่เป็นเพื่อนของเธอแล้วเธอกลับรู้สึกสงบใจได้ แม้จะมีส่วนหนึ่งที่แอบเจ็บปวดเพราะเธอพาทุกคนมาเสี่ยงอันตราย จริง ๆ แล้วไอริสจะไม่แยแสใครก็ได้ เหมือนตอนที่เคยเป็นโอลิเวีย นอกจากครอบครัวแล้วเธอก็ไม่เคยรู้สึกสงสารหรือเป็นห่วงใคร แต่เมื่อได้มาเป็นไอริส เธอถึงได้รู้จักคำว่า มิตรภาพ “ดีใจจริง ๆ ที่เธอไม่เป็นอะไร” สาวสวยพูดเสียงสะอื้น ไอริสเริ่มประหม่าเมื่อแพสชั่นมีน้ำตาคลอ แต่เธอก็ยังทำหน้าที่เพื่อนที่ดี โดยการเอามือไปลูบหัวของเพื่อนสาวอย่างเบามือเป็นเชิงปลอบโยน การกระทำที่อ่อนโยนของเธอในยามนี้ หากบอกว่าเธอเป็นเจ้าหญิงบ้าเลือดคนนั้นก็คงยากที่จะเชื่อได้ แต่พอคิดถึงเธอคนเก่า นัยน์ตาสีดำก็หม่นแสงลง เนื่องจากเรื่องที่เธอโกหกคนตรงหน้าอยู่มันทำให้เธอรู้สึกผิดอยู่ตลอดเวลา หากแพสชั่นรู้เข้า ความสัมผัสของเราทั้งคู่ต้องขาดลงอย่างแน่นอน “ฉันไม่มีทางเป็นอะไรหรอกน่า” ไอริสทำน้ำเสียงสดใสตอบกลับไปเพื่อให้คนตรงหน้าคลายกังวล ไอริส... เป็นคนที่รักสงบไม่เคยคิดสู้ใคร และแพสชั่นเป็นเพียงคนเดียวที่คอยห่วงใยและดูแลเธอมาตลอด... แต่จะไม่ใช่แบบนั้นอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อความทรงจำกลับคืนมา ปัง!!! เสียงประตูหินที่กระทบกับกำแพงดังสนั่นหวั่นไหวราวกับระเบิด แรงมหาศาลสร้างแรงสั่นไหว ส่งผลไปถึงพื้นให้สั่นไหวจนทรงตัวลำบาก บางคนถึงกับลงไปกองอยู่ที่พื้น สิ่งที่อยู่เบื้องหลังประตูที่ถูกเปิดออก คือกองทัพเหล่าอสูรจำนวนสี่สิบกว่าตัว นำทีมโดยสาวน้อยร่างเล็กตัวน้อยราวกับเด็กอายุไม่เกินสิบขวบ เจ้าตัวมีใบหน้าที่จิ้มลิ้มน่ารัก มองแล้วชวนเคลิบเคลิ้มหลงใหลไปกับมัน เจ้าหล่อนเป็นเจ้าของผมยาวเกลียวสีบลอนทอง ดวงตากลมโตราวกับตุ๊กตาสีชมพูเข้มจนคล้ายกับเป็นสีแดง ผิวก็ซีดขาวราวกับซากศพ ส่วนชุดที่ใส่ก็เป็นชุดกระโปรงโลลิต้าสีดำสนิท ในขณะที่ทุกคนจ้องมองด้วยความตกใจ ริมฝีปากบางสีชมพูของเธอก็แสยะยิ้มออกมาพร้อมกับสายตาที่มองมาอย่างดูถูกดูแคลน ...ราวกับมองเหยื่อ สาวน้อยน่ารักม้วนผมสีบลอนของตัวเองเล่น ในขณะที่เอ่ยเสียงหวานหยดย้อยคุยกับเหล่ามนุษย์ “เจ้าพวกชั้นต่ำ...ทำไมถึงได้มาอยู่ในสถานที่อันศักดิ์ของพวกเรากันนะ แต่ก็ช่างเถอะ ต่อให้พวกแกแอบอยู่ในนี้กันราวกับหนูในตรอก แต่มันก็กลบกลิ่นอันโสโครกของพวกแกไม่ได้หรอกนะ เอาจริง ๆ แล้วกลิ่นสาบพวกนี้ จะใช้กินกลบก็เหมือนจะปิดกันไม่มิดเสียด้วยซ้ำ” อสูรระดับสอง! ไอริสผงะเมื่อประเมินคนตรงหน้าออก เธอค่อย ๆ ผลักแพสชั่นออกจากอ้อมกอดอย่างเบามือ แต่เมื่อเธอกำลังจะก้าวเดินไปข้างหน้ากลายเป็นว่าถูกแพสชั่นขวางไว้ แล้วเป็นเจ้าหล่อนเองที่เดินไปยืนอยู่ในแถวหน้า พวกระดับสองแข็งแกร่งพอที่จะจัดการคนส่วนหนึ่งในที่แห่งนี้ อีกอย่างเจ้าตัวเล็กก็ไม่ได้มาแค่คนเดียว มันยังพาอสูรระดับสี่อีกนับสี่สิบตัวมายืนรอรับคำสั่งอยู่ข้างหลัง ต่อให้คูลยื่นมือเข้ามาช่วยจริง ๆ เขาก็ต้านได้แค่อสูรระดับสอง ส่วนพวกที่เหลือก็ต้องปล่อยให้คนอื่นจัดการเอง ทว่าพวกที่อยู่ที่นี่เป็นเพียงเด็กนักเรียนธรรมดาไม่ใช่นักเรียนจากโพลาเดีย มันก็จริงที่พวกเขาบางคนอาจมีความสามารถในการต่อสู้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามีความรู้เรื่องการฆ่าอสูร บางคนยังไม่รู้จักความแข็งแกร่งของอสูรด้วยซ้ำ ในตอนนี้คนที่หวังพึ่งได้ก็มีแค่เอริส แอริสและออริส แต่สามคนนี้ไม่ได้เชี่ยวชาญการสู้ระดับหมู่สักเท่าไรนี่สิ เดี๋ยวก่อน... คนอย่างคูลจะเข้ามาช่วยจริง ๆ งั้นเหรอ ในเมื่อเรื่องทั้งหมดคือความผิดของเธอเอง ไอริสเหลือบตาไปมองคนที่กำลังนึกถึง ก็เห็นว่าเขายืนนิ่งกอดอกไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งที่เผชิญอยู่แม้แต่น้อย แค่มองเข้าไปในดวงตาสีเทาที่ว่างเปล่า แค่นี้ก็เห็นแล้วว่าเขาไม่คิดจะช่วย ‘โอลิว! อสูรระดับสองมา’ ไอริสร้องบอกพี่ชายผ่านทางจิตอย่างร้อนรน ‘รู้แล้ว’ อีกฝ่ายตอบกลับด้วยเสียงราบเรียบ ‘เราจะทำยังไงกันดี’ ‘เธอเป็นถึงผู้นำของทีม มีกันอยู่สี่คนแต่ก็ยังชนะคนทั้งโรงเรียนได้ กับแค่อสูรสี่สิบกว่าตัวมันไม่คณามือหรอก’ ‘ตอนนี้ฉันไม่ใช่ยัยเจ้าหญิงบ้าเลือดโอลิเวียนะ แต่เป็นไอริส สาวน้อยวัยรุ่น อายุสิบแปดธรรมดา ๆ ที่ไม่เคยมีประวัติการต่อสู้ นอกจากการป้องกันตัวนิดหน่อยก็ไม่ควรรู้อะไรทั้งนั้น’ ‘มันจะต่างกันตรงไหน เธอก็คือเธอ’ ‘ถ้าใช้เวท ตัวตนฉันก็จะเปิดเผยออก แต่ถ้าใช้ดาบ คูลก็จะจับได้ว่าฉันเป็นใคร เพราะคนที่ใช้ดาบน้ำแข็งนั้นได้ก็มีแค่ฉัน’ ถึงจะต่อสู้ได้ แต่หญิงสาวก็ยังขาดเรื่องของอาวุธ ‘ดาบเลือดละ’ ทันทีที่โอลิเวอร์พูดถึงดาบเลือด ไอริสก็ปฏิเสธออกมาทันที ‘ไม่’ ว่าด้วยดาบเลือด เป็นวิชาลับอย่างหนึ่งระหว่างเธอ โอลิเวอร์ และคนเป็นพ่อ รูปร่างของมันจะเหมือนดาบธรรมดาทั่วไป แต่หากผู้ใช้มีอารมณ์เดือดพล่านเกินควบคุมเมื่อไร จะมีเลือดออกมาจากดาบและเปลี่ยนให้รูปร่างทั้งเล่มกลายเป็นสีเหมือนเลือด ซึ่งมีคุณสมบัติคือเพิ่มความเร็ว ความคม และความแม่นยำ แต่ก็ต้องแลกมากับการสูญเสียพลังกาย ซึ่งดาบนี้ยังคงเป็นความลับไม่เคยถูกนำออกมาใช้เลยสักครั้ง ‘ถ้างั้นก็เปลี่ยนรูปร่างเจ้าดาบน้ำแข็งของเธอสิ’ ‘เปลี่ยนเป็นแบบไหนละ’ ‘จำดาบเหล็กที่เธอโยนทิ้งไว้ในห้องนอนได้ไหม เจ้าดาบที่เธอตีขึ้นมาเองเป็นครั้งแรกไง’ ‘เฮอะ ๆ’ ไอริสหัวเราะประชด แค่นึกถึง ก็รู้สึกถึงความอัปยศจนอยากจะเอาหัวโขกกับพื้นฆ่าตัวตาย เจ้าดาบเหล็กที่ตีขึ้นในตอนนั้น มีรูปร่างธรรมดาเป็นความรู้สึกที่อยากจะลืม แต่ก็ตีขึ้นมาพร้อมกับวัสดุชั้นดีหลายอย่าง คมดาบทำจากเหล็กไหลที่ไม่มีวันแตกสลายประดับด้วยลวดลายกุหลาบและเถาวัลย์ ด้ามจับทำจากคริสทัลวิเศษที่จะทำให้คนใช้รู้สึกเบามือ มีทับทิมสีแดงสดเป็นเครื่องประดับ ถึงจะดูดีอยู่บ้าง แต่ก็เทียบกับพวกดาบในตำนานที่ใช้ประจำไม่ได้เลย ให้เอามาเทียบกันกับดาบน้ำแข็งพันปี อยากจะบอกว่าแค่รัศมียังเทียบกันไม่ติด ไอริสไม่เอาไปโยนทิ้งในป่า หรือให้สองแฝดนรกเผาไฟทิ้งก็บุญหัวแล้ว ไอริสถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอได้แต่มองตามแพสชั่นตาละห้อย ก่อนจะผละจากแล้วหันไปมองหาคนอีกคนที่น่าจะพึ่งได้ในยามนี้แทน ทางด้าน เอริส แกรน ในสถานการณ์แบบนี้ เจ้าหล่อนได้ทวีความสุขุมออกมาผ่านร่างกายอันสง่างาม ใบหน้าเนียนสวยได้รูปนั้นนิ่งเฉย ไม่ยินดียินร้ายกับเหตุการณ์ตรงหน้าแม้แต่น้อย ราวกับเจ้าตัวรู้มาก่อนหน้าแล้วว่าเรื่องราวแบบนี้จะเกิดขึ้น เธอถึงได้ยืนกอดอกนิ่งอยู่ตรงกลางห้อง “คิดจะสู้อย่างงั้นหรือ เจ้าพวกชั้นต่ำ ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้ละนะ ที่ฉันจำเป็นต้องเอาเลือดของพวกแกทุกคนมาสังเวยดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา เหล่าอสูร!” จบคำพูดของเจ้าอสูรระดับสอง มันก็ได้ปล่อยระเบิดลูกใหญ่ขึ้นตรงกลางหมู่พวกคนจากบลีกฟิก โชคดีที่ทุกคนนั้นหลบกันได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงได้แบนราบ ตายสภาพอนาถอยู่ที่พื้นเป็นแน่ โดยที่ส่วนหนึ่งหลบออกไปจากพลังนั้นได้ ก็มีการช่วยเหลือจากเจ้าชายภูตอยู่เงียบ ๆ ผลดีของระเบิดลูกใหญ่นั้นคือสร้างหมอกควันที่ลอยกระจายไอความร้อนไปทั่ว บดบังทิวทัศน์รอบกายทำให้ยากจะมองว่าใครเป็นใคร ไอริสได้ใช้จังหวะที่ไม่มีใครมองเห็นกระโดดมายืนอยู่ข้างเอริส โดยที่ไม่มีใครได้ทันรู้ตัว “ไม่ต้องใช้เวทจัดการให้เปลืองแรง เธอใช้แค่ธนูนั้นคอยระวังหลังให้พวกนักเรียนก็พอ อย่าให้ใครเป็นอะไรนะ” พอร่างบางประชิดตัวได้ ไอริสก็พูดเสียงนุ่มสั่งเอริสทันที “แล้วสองคนนั้นจะให้ทำอะไร” “คอยสกัดไม่ให้พวกอสูรได้จังหวะทำร้ายพวกเรา” “เราจะไหวกันเหรอ” เอริสถามอย่างไม่แน่ใจ ถึงจะรู้ว่าน้องสาวคนนั้นจะมีร่างกายที่ถึกแค่ไหนก็ตาม แต่การที่ต้องมาคอยระวังให้คนจำนวนมากขนาดนั้นจะทำได้ไงกัน เผลอ ๆ จะทนไม่ไหวกันด้วยซ้ำ “เดี๋ยวฉันจะหาจังหวะเข้าไปจัดการเอง เริ่มเลย” พอสั่งจบร่างบางก็กระโดดตัวหลบออกไปจากเอริสอย่างรวดเร็ว หญิงสาวหลบออกมาอยู่ที่ด้านหลังของคูลอย่างเงียบเชียบ โดยหวังใช้ร่างสูงนี้เป็นเกราะกำบัง อีกทั้งจุดที่เจ้าชายภูตยืนอยู่ก็เป็นจุดที่ใช้สังเกตการณ์ต่อสู้ได้ดี เพราะนอกจากจะสังเกตรอบด้านได้ ยังหลบฝุ่นควันได้เป็นอย่างดี อีกทั้งถ้าไอริสปล่อยพลังไปจากจุดนี้ ใคร ๆ ก็ต้องคิดว่าเจ้าชายภูตเป็นคนทำ ไม่ใช่เธอที่เป็นแค่เด็กสาวธรรมดาแน่นอน ระหว่างที่รอจังหวะอยู่นั้น ไอริสก็เริ่มทำการเก็บรวบรวมข้อมูลของคนที่จะมาเป็นสมาชิกใหม่โรงเรียนโพลาเดียอย่างรวดเร็ว แต่น่าเสียดายมีเพียงไม่ถึงสิบคนเท่านั้นที่กล้าเดินออกไปเผชิญหน้ากับอสูรอย่างไม่กลัวตาย คนแรกเลยที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดนั้นก็คือแพสชั่นกับดาบคู่สีดำสนิท มีลายคดเคี้ยวดูชวนสับสนสีแดงวนเป็นรอยลึกไปทั่วทั้งดาบ เธอใช้ดาบคู่ได้อย่างคล่องแคล่วอีกทั้งยังรุนแรงหนักหน่วงต่างจากรูปร่างที่ผอมบาง เธอนั้นจัดได้ว่ามีฝีมือการต่อสู้ในระดับที่สูงมาก ดูได้จากการโจมตีที่เข้าไปยังจุดตายของอสูรในแต่ละครั้งไม่เคยพลาดเป้าเลย ...แต่น่าแปลกที่ว่าเป็นคนของแดนปีศาจ แต่กลับไม่มีพลังเวทที่เป็นของเผ่าปีศาจออกมาเลย ต่อมาเป็นเดนนิสที่มีความสามารถชั้นแนวหน้าเช่นเดียวกัน เพียงแต่เขาไม่ใช่คนที่จะออกมาสู้ตรง ๆ กับเหล่าอสูรซึ่ง ๆ หน้าแบบแพสชั่น ชายหนุ่มเพียงแค่ยืนเฉย ๆ แล้วร่ายเวทออกมา แสงสีขาวก็เข้าไปล้อมรอบร่างกายของอสูร ผู้อาจหาญเข้ามาหาเรื่องเทพจากดินแดนเฮฟเวน พอแสงสว่างสีขาวนั้นหายไปก็เหลือไว้เพียงโซ่ตรวนสีเงินที่เรืองแสงสว่างค่อย ๆ รัดตัวของเจ้าอสูรพวกนั้นจนร่างกายขาดออกเป็นชิ้น ๆ อสูรสาวยิ้มเหยาะให้กับเหล่าคนจากบลีกฟิก มันโบกมือเล็กของตัวเองขึ้นอย่างแช่มช้า และคงไว้ด้วยความงดงาม หากไม่นับว่ามันเป็นอสูรคงจะมีคนชื่นชมไม่น้อย หลังจากที่มือเล็กโบกไปเพียงครู่เดียว ร่างทั้งร่างในชุดโลลิต้าสไตล์โกธิค ราวกับตุ๊กตากระเบื้องตัวโต ก็ลอยขึ้นจากพื้น อสูรกำลังแผลงฤทธิ์! ลมร้อนอบอ้าว พร้อมกลิ่นเหม็นราวกับซากศพเริ่มโชยตลบอบอวลไปทั่วทิศ ประตูหินยักษ์ได้ถูกปิดลงอย่างแรงโดยปราศจากร่องรอยคนกระทำ พร้อมกันนั้นเองร่างอสูรตนสุดท้ายก็ได้ล้มลงสู่พื้นต่อหน้าต่อตาอสูรระดับที่สอง อสูรผู้เหลือรอดได้แต่แสดงใบหน้าที่ยิ้มแย้มปิดบังความโกรธ “ท่าจะไม่ดีแล้ว” เอริสส่งเสียงเวทมาให้แก่ไอริสได้ยินเพียงคนเดียว ไอริสได้ยินแบบนั้นก็หันไปมองพี่สาวของตัวเองที่หอบหายใจอยู่จุดหนึ่ง คิ้วเรียวก็พลันขมวดเข้าหากัน สีหน้าหวานคมก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นไม่พอใจทันทีที่เห็นเอริสมีอาการเหนื่อย ในตอนนี้เองเธอถึงรู้ตัวว่าถึงเวลาที่ต้องยื่นมือเข้าไป ควันสีดำเริ่มลอยตัวเข้าไปรวมเป็นจุดเดียว ตรงหน้ามือที่ยื่นออกมาของอสูรสาว รวมตัวกันเป็นวงกลมที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จุดตรงกลางค่อย ๆ หลอมรวมกัน จากดำเป็นเทาและจากเทากลายเป็นขาว... มันขยายกว้างกลืนกินความมืดมิดไปทีละน้อย อีกทั้งรอบด้านยังถูกลมแรงที่ร้อนอบอ้าวพัดโหมกระหน่ำไปมาราวกับพายุ ส่งผลให้เหล่าคนจากบลีกฟิกทรงตัวกันแทบไม่อยู่ สภาพของแต่ละคนนั้นมีบาดแผลเต็มตัวและร่างกายก็เริ่มอ่อนแอเพราะเสียกำลังไปมาก แม้จะทนกันไม่ไหวแต่คนส่วนใหญ่ก็ยังคงกัดฟันทน แต่มีอยู่หนึ่งคนที่ยังคงยืนนิ่งราวกับว่าพายุนี้ไม่สามารถทำอะไรเขาได้ นั้นก็คือ คูล เวราเน่ เจ้าชายภูตผู้มากในการถือศักดิ์ แม้สถานการณ์จะเริ่มเลวร้ายลง เขาก็ยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติ่งให้กับพายุจอมปลอมนี้แม้แต่น้อย ลมที่พัดอยู่ไม่อาจที่จะได้เข้าไปสัมผัสกับตัวของเขาแม้แต่ปลายเส้นผม รอบกายของคูลปกคลุมด้วยเวทมนตร์ที่คอยป้องกันเข้าจากการโจมตีทุกรูปแบบ สภาพของเขาและไอริสที่ยืนอยู่ใกล้กันในตอนนี้จึงไร้รอยขีดข่วน ขณะที่คนอื่นนั้นสะบักสะบอม แสงสีขาวในมืออสูรระดับสองเริ่มขยายวงกว้าง พร้อมกับเหล่านักเรียนที่พากันค่อย ๆ ถอยหลังเข้าไปติดกับชายป่า ร่างบางของไอริสกระตุกวูบเมื่อนึกถึงบางอย่างขึ้นมา นั้นคือเรื่องลำดับขั้นตอนการปล่อยเวท ความสามารถของมันจะขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ ยิ่งร่ายนานและสวยมากแค่ไหน นั่นคือพลังของมันย่อมมีมากตามขึ้นไป เทียบได้กับการทำอะไรสักอย่าให้ได้ดี ย่อมต้องใช้เวลา พลังก็เช่นเดียวกัน จะทรงพลังมากแค่ไหน ย่อมขึ้นอยู่ที่ผู้ใช้เป็นคนรังสรรค์ออกมา เวทของอสูรตนนี้มีการร่ายนานเกินกว่าเวททั่วไป และยังดูสวยงาม จนทำให้ผู้คนไม่อาจหลุดออกจากมนต์สะกดที่พยายามล่อลวง โดยที่แต่ละคนไม่รู้ตัวเลยว่า ภายใต้ความงดงามนั้นได้แฝงพลังโจมตีอันร้ายกาจเอาไว้ ดั่งดอกไม้ที่งดงามแต่เต็มไปด้วยหนามอันแหลมคม ความรุนแรงของเวทที่ปล่อยมาสามารถที่จะคร่าชีวิตของทุกคนได้ในทันที คูลสามารถที่จะช่วยทุกคนได้เพียงแค่เขากระดิกนิ้ว แต่ชายหนุ่มหน้าหล่อปานเทพบุตรคนนี้ หากไม่มีใครมาคุกเข่าอ้อนวอนของความช่วยเหลือ เขาก็ไม่มีทางยื่นมือเข้าไปในช่วยเป็นแน่ ส่วนพวกเอริสอย่างมากในตอนนี้ก็ได้แค่ป้องกันตัวเองเพราะพลังของพวกเธอยังฟื้นตัวไม่มากพอ ถ้าหากไม่มีคนจัดการกับพลังเวทมหาศาลนั้น คนพวกนี้ได้ตายหมดแน่ ยกเว้นก็แต่... “ไบท์” ไอริสกระซิบเสียงเบากับแมวที่นั่งอยู่ด้านหลัง เธอกลับหลังหันไปหาแมวสาวแต่ไม่ทันที่จะได้คุกเข่าลงไปคุยกันกับเจ้าแมว เสียงเข้มที่แฝงไว้ด้วยความนุ่มนวลก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน “ฉันมีข้อเสนอจะให้เธอนะ โอลิเวีย” เขาพูดก่อนจะหัวเราะในลำคอเสียงทุ้ม ราวกับเป็นผู้ชนะ ดวงตาคมสีดำสนิท ตวัดกลับไปมองร่างสูงด้วยสายตาไม่พอ พร้อมทั้งถามกลับไปเสียงห้วน “ว่ามา” “แค่เธอยอมกลับไป ฉันจะยอมช่วยทุกคนในที่แห่งนี้ แล้วเรื่องนี้จะมีคนรู้แค่ไม่กี่คน พวกเขาจะไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเจ้าหญิงโอลิเวีย แท้จริงแล้วคือใคร” “ฮึ ๆ คูล เวราเน่ นายลืมไปแล้วเหรอว่าฉันไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้ง่ายขนาดนั้น นายคิดว่าการที่ฉันยอมกลับมาง่าย ๆ เพราะฉันไม่มีแผนอะไรเลยงั้นเหรอ อย่าได้ดูถูกกันมากนักเลย” ไอริสพูดถากถาง สีหน้าของเธอบ่งบอกว่าไม่ยอมแพ้ ก่อนเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดีแล้วระบายยิ้มเยาะให้ชายหนุ่ม “เธอคิดว่ายอมแพ้กับพ่ายแพ้อันไหนมันน่าอับอายสำหรับเธอมากกว่ากันละ” “ก็ลองกับตัวเองดูก่อนสิ” หนุ่มสาวทั้งสองพากันส่งสายตามองกันแบบที่ไม่มีใครยอมใคร แต่ใบหน้าของทั้งคู่กลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มหวานอันเชือดเฉือน สงครามประสาทไม่มีทางจบลงง่าย ๆ แต่แล้วไอริสก็เป็นฝ่ายหันหน้าหนี เพราะในตอนนี้เธอมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ เลยแสร้งทำเหมือนกับว่าคูลไม่มีตัวตนแทนที่จะมาต่อปากต่อคำกัน “ไบท์ เธอช่วยแปลงเป็นฉัน แล้วนอนสลบจนกว่าฉันจะกลับมาหาได้ไหม” “ได้” เจ้าแมวพยักหน้ารับ ในเวลานั้นเอง เมื่อไอริสหันกลับไป แสงสีขาวได้แปรเปลี่ยนเป็นสีเทาและกลับมาเป็นสีดำอีกครั้งอย่างรวดเร็ว พร้อมกับแรงดันเวทขนาดใหญ่ที่ถูกปล่อยออกมาอย่างไม่มีการยั้งแรง แค่เพียงไม่กี่วินาทีที่พลังเวทมนตร์ดำของอสูรกำลังจะพุ่งตรงเข้าหาเหล่านักเรียน ไอริสกัดฟันแน่น ในวินาทีแห่งความเป็นความตายนั้นเอง เธอก็ได้ตัดสินใจพุ่งออกไปจากด้านหลัง ด้วยความเร็วที่ไม่มีใครสามารถมองได้ทัน เธอไปยืนอยู่ด้านหน้าของทุกคนพร้อมกับดาบน้ำแข็งสีขาวในมือข้างขวา ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดหิมะไปทั่วทั้งเล่ม ในทันทีที่เท้าทั้งสองข้างยืนในที่มั่น ไอริสหันปลายดาบไปทางด้านหน้าของนักเรียนและชี้มันลงไปที่พื้น กำแพงน้ำแข็งก็พลันโผล่ขึ้นมาจากพื้นด้วยความว่องไวปิดบังทุกอย่างที่อยู่เบื้องหลังไว้จนมิด สิ่งที่ทุกคนเห็นก่อนที่ภาพจะเลือนรางไปกับกำแพงน้ำแข็งยักษ์ ก็คือหญิงสาวที่มีผมยาวสลวยสีขาวดุจดั่งหิมะอันบริสุทธิ์ โดดเด่นไปด้วยดวงตาสีแดงฉานดั่งโลหิตอันเข้มข้น ใบหน้าคมสวยนั้นไร้อารมณ์และแน่นิ่งเมื่อมองมายังพวกเขา ไอริสหันหลังกลับมาอย่างฉับไว พร้อมกับชูดาบในมือขึ้น ยืนรับพลังเวทนั้นเข้าเต็ม ๆ แสงสีดำที่พุ่งมาถูกปะทะกับคลื่นความเย็นสีขาวจนทำให้เกิดแสงสว่างจ้า ความรุนแรงของทั้งสองทำให้เกิดระเบิดขนาดใหญ่กลางอากาศ แต่คนทั้งคู่ต่างยังคงนิ่งไม่มีการเคลื่อนไหว จนกระทั่งควันจาง ๆ นั้นเริ่มระเหยจางหายไป ไอริสในยามนี้ได้เงยหน้าคมสวยราวกับเทพีผู้เปล่งประกายขึ้นไปมองอสูรตัวจ้อยที่ลอยตัวอยู่เหนือหัว ฉับพลันใบหน้าของเธอก็แข็งกระด้างเยือกเย็น แววตาสีแดงพลันวูบไหวไปด้วยความโกรธและไม่พอใจกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า “กล้ามากนะ...ที่ยืนอยู่เหนือหัวฉันนะ” เสียงนุ่มใสเปล่งออกมาอย่างเนิบช้า ความเยียบเย็นเริ่มค่อย ๆ คืบคลานเข้าสู่หัวใจของอสูรจนมันเริ่มทำอะไรไม่ถูก แต่ทว่าก็ยังคงฝืนตนแสดงความแข็งแกร่งออกมาอย่างไม่ยอมแพ้ มันเลิกคิ้วท้าทายเมื่อนึกได้ว่าหญิงสาวตรงหน้ามันเป็นใคร “ฮ่า ๆ นึกว่าใครกันที่มันอาจรอดจากเงื้อมมือของฉันไปได้ ที่แท้ก็เธอนั้นเอง ...เจ้าหญิงโอลิเวีย เมื่อปีที่แล้วเหล่าอสูรอุตส่าห์ลดตัวไปทำสงครามกับพวกชั้นต่ำ จนเสียคนไปมากมายเพียงเพื่อชิงตัวของเธอให้มาอยู่กับพวกเรา แต่ไม่คาดคิดเลยนะว่าเธอจะมาหากันถึงถิ่น ...แบบนี้นายท่านต้องดีใจมากแน่ ๆ” ตูม!!! พออสูรพูดจบ ก็เกิดแรงระเบิดราวกับของหนักกระแทกพื้นเข้าอย่างแรงตรงหน้าของไอริส พอควันบาง ๆ จางหายก็ปรากฏให้เห็นสภาพของอสูรตัวจ้อยที่เปรอะไปด้วยรอยแผลเต็มตัว สภาพยับเยินจนหาชิ้นดีไม่ได้ ฝ่ายคนทำนั้นกลับไม่มีท่าทีแยแส ไอริสสลายดาบให้หายไปในอากาศ ก่อนจะหันกลับมาให้ความสนใจกับซากที่อยู่ที่พื้น เธอสู้อุตส่าห์ให้เวลามันหนีตั้งนานแล้วแท้ ๆ “หมดเวลาพล่ามแล้ว ยัยอสุรกายน่ารังเกียจ” น้ำเสียงเย็นเยียบของไอริสกรีดแทงคนฟังที่ลุกแทบไม่ไหว อสูรพยายามตะเกียกตะกายหนี ร่างบางเล็กราวกับเด็กน้อยในยามนี้ได้กลับกลายคืนสภาพไปสู่อสุรกายที่ผอมบางไร้ผิวหนัง มันน่าเกลียดน่ากลัวเกินกว่าจะมอง เพราะทั้งตัวของมันที่เป็นสีดำเหมือนแผลไฟไหม้ได้มีรอยเลือดไหลออกมา เป็นแผลเหวอะแหวะเต็มไปหมด ลมหนาวพัดมาบางเบาพร้อม เกล็ดหิมะสีขาวลอยเข้ามาล้อมรอบที่ตัวของอสุรกายเบื้องหน้า เมื่อไอเย็นสีขาวรวมตัวกัน ก็ได้จับร่างเล็กนั้นลอยขึ้นเหนือพื้น จากนั้นลมที่บางเบาก็เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ก่อตัวเป็นพายุขนาดย่อมที่รายล้อมบังร่างเจ้าอสูรนั้นจนมิด ลมแรงพัดวนไปมาอย่างไร้ความปรานี เช่นเดียวกับดวงตาสีแดงที่ฉายแววกระหายเลือด และในวินาทีถัดมา ดวงตาที่น่ากลัวคู่นั้นก็ประกายแววความตื่นเต้นอันสุขสมออกมา เพล้ง! ราวกับเสียงแก้วแตก เลือดถูกปั่นกระเด็นออกมาจากพายุ ส่วนเศษซากที่เหลือรวมไปถึงร่างของเจ้าอสูรได้ถูกพายุลมหนาวขนาดย่อมของไอริสกัดกินจนกลายเป็นน้ำแข็ง ก่อนจะถูกพายุปั่นจนแตกละเอียดกลายเป็นเหมือนเศษแก้วใสที่หล่นกระทบลงกับพื้น ไม่มีชิ้นดีเหลือรอด นอกจากหยาดเลือดสีแดงสดที่ประดับอยู่บนพื้นหิมะ ไอริสถอนหายใจเฮือกใหญ่ หลังจากที่ต้องลดตัวลงมาจัดการกับอสูรระดับธรรมดา เพราะแท้จริงแล้วคนที่หาญกล้ามากพอที่จะประมือกับเธอได้จริง ๆ ก็คืออสูรมือขวาของจ้าวอสูร ...กาโด หญิงสาวกำลังหันหลังจะเดินกลับไปหาไบท์ แต่พอหันหลังมาจู่ ๆ ร่างทั้งร่างของเธอก็พลันไร้เรี่ยวแรงจะล้มลงไปอยู่ที่พื้น แต่ทว่ากลับมีอ้อมกอดแข็งแกร่งของคนคนหนึ่งมารับไว้ทัน ทำให้ตัวเธอไม่ได้กระแทกลงที่พื้น ในจังหวะนี้ดวงตาของคนทั้งคู่ได้ประสานกัน หนึ่งแดงดังเลือดพิโรธกับหนึ่งเทาอันเย็นชาที่แฝงไว้ด้วยแววตาสะใจ “ฉันบอกแล้ว...ว่ายอมแพ้น่ะดีกว่า” จบคำพูดของชายหนุ่ม สติของไอริสก็ดับลงพร้อมกับความรู้สึกรัดแน่นและเย็นเยียบที่ข้อมือข้างซ้าย...
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
บทที่ 9 - การพ่ายแพ้ครั้งที่หนึ่ง
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A