บทที่ 2 ไม่ถูกชะตา   1/    
已经是第一章了
บทที่ 2 ไม่ถูกชะตา
ปรารถนามิได้โกรธ เธอคิดในแง่ดีว่าอาจเป็นเพราะเธอสายตาสั้น และการอ่านปากคนจากระยะสิบเมตร ก็อาจเกิดการผิดพลาดกันได้ แม้จะค่อนข้างแน่ใจในการขยับปากของผู้ชายคนนั้นก็ตาม เธอตัดสินใจเดินเข้าไปรับออเดอร์ แต่ละก้าวย่างก็เก็บรายละเอียดของผู้ชายคนนั้นไว้อย่างละเอียดยิบ เพราะดูเหมือนเขาจะรู้จักกับกรภัทร แต่ก็มีประสงค์ร้ายแฝงอยู่ด้วยเหมือนกัน ยิ่งเห็นหน้าชัดเท่าไหร่ ก็ยิ่งเห็นสัญญาณอันตรายพวยพุ่งออกมามากขึ้นเท่านั้น ทั้งแววตาที่ไม่เป็นมิตร ริมฝีปากเหยียดตรงถือดี แถมยังนั่งไขว่ห้างเอนตัวพิงโซฟาด้วยอิริยาบถที่สบายเกินไปสำหรับการอยู่ในกลุ่มนักธุรกิจชั้นนำเหล่านี้ พอเห็นเธอเดินมา เขาก็ยักคิ้ว จงใจผายมือให้ผู้ร่วมโต๊ะทุกคนหันมาทางเธอพร้อมๆ กัน “Ho ordinate questo cibo delizioso” ปรารถนาดึงเครื่องรับออเดอร์พร้อมปากกาออกมาเตรียมจด ทว่าเมื่อเห็นสายตาคมที่กำลังจ้องมอง และราวกับว่าเขากำลังรอคอยอะไรบางอย่าง เธอก็ยกมือไหว้แขกทุกคนพร้อมกับพูดภาษาอิตาลีกลับไปว่า “Benvenuto Ottenere ordini essa.” เพียงเท่านี้ ทั้งหนุ่มและไม่หนุ่มชาวอิตาเลียน ก็ทยอยสั่งอาหารกันอย่างสุภาพ ที่สังหรณ์ใจตอนแรกว่านี่จะเป็นกลุ่มมาเฟียต่างชาติมาก่อกวนที่ร้านเป็นอันหมดไป ไม่เหมือนเจ้าภาพคนไทยที่ดูเหมือนจะผิดหวังที่เธอสามารถพูดคุยโต้ตอบกับเพื่อนของเขาได้...ซะงั้น! “คุณล่ะคะ...จะรับอะไรดีคะ?” เธอถามเขาเป็นคนสุดท้าย “น้ำเปล่า...แค่นั้นล่ะ...ฉันต้องการพบคุณชายเล็ก...อยู่ไหม?” เขาพูดเสียงห้วน ก็ยังดีกว่าคำว่า “ไปตามคุณชายเล็กมาซิ!” นั่นอยู่นิดหน่อย ถึงจะเป็นคำพูดที่ไม่ค่อยสุภาพสักเท่าไหร่ก็เถอะ บางทีเขาอาจจะเป็นเพื่อนสนิทกับกรภัทรก็ได้ ทำไมคุณชายถึงได้คบเพื่อนแบบนี้นะ “ผู้จัดการอยู่ในห้องค่ะ จะให้เรียนว่าใครมาขอพบคะ?” “หึ...ผู้จัดการ...” เขาทำปากขมุบขมิบ ก่อนจะพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงกระด้าง “ไปบอกว่าญาติมาหา โอเคไหม เร็วด้วย...ฉันหิว” “แต่คุณสั่งแค่น้ำเปล่านะคะ จะรับอะไรดีคะ?” เธอไม่นำพาต่อท่าทีนั้น แต่ถือปากกาเตรียมจิ้มรายการอาหารตามหน้าที่ ทั้งคิดในใจว่า หากผู้ชายคนนี้เป็นเจ้ามือในมื้อนี้แล้ว สงสัยว่าเธอจะแห้วไม่ได้ทิปติดมือกลับบ้านแม้แต่บาทเดียว ไม่รู้ว่าคำพูดของเธอไปกระตุกต่อมโมโหของเขาหรืออย่างไร แววตาของเขาจึงวาบขึ้นด้วยความฉุนเฉียว แล้วก็คลายลงในชั่วพริบตา “เอาเมนูพิเศษของวันนี้ให้เขาก็แล้วกันจ้ะปลั๊ก” เสียงกรภัทรที่ดังขึ้นข้างหลัง ทำให้ปรารถนาถึงบางอ้อ ว่าทำไมเขาจึงไม่หาเรื่องเธอต่อ เธอจึงรีบกดเมนูพิเศษของวันนี้ตามคำสั่ง แล้วหลีกทางให้กรภัทรเดินเข้ามาด้วยการเดินกลับไปที่เคาท์เตอร์เพื่อส่งออเดอร์ให้แม่ครัว “ว่าไงปลั๊ก? ใช่พวกมาเฟียหรือเปล่า?” ยศสินีรีบปรี่เข้ามาถาม ทำหน้าตาล่อกแล่กราวกับตัวเองเป็นนักแสดงในหนังแอ็คชั่นของฮอลลีวูด “ไหนว่าเป็นนักธุรกิจชั้นนำไง?” เธอย้อนถาม เพิ่งรู้ว่าที่แท้เพื่อนสาวก็คิดเหมือนเธอ แถมยังล่อลวงให้เธอไปเสี่ยงตายเสียอีก ถ้านายนั่นเป็นมาเฟียจริงๆ ล่ะก็ เธอก็อาจโดนลูกหลง หรือไม่ก็ตกเป็นเป้าหมายต่อจากคุณชาย เพราะขนาดไปรับออเดอร์เฉยๆ ก็ยังถูกมองอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ เธอเหลือบมองไปที่โต๊ะนั้น เห็นกรภัทรทักทายกับพวกคนใส่สูท ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องทำงาน โดยมีผู้ชายคนนั้นเดินตามไปด้วย ให้ตาย...เขาสูงกว่าคุณชาย แถมยังดูแข็งแรงกว่า นี่ถ้าเกิดอะไรขึ้น ใครจะกล้าเข้าไปช่วยกันล่ะ! “หล่อเนอะ!” “อะไรนะ?” เธอขมวดคิ้ว เมื่อยศสินีที่ทำท่าหวาดกลัวอยู่หยกๆ เปลี่ยนโหมดเป็นอินเลิฟน่าตาเฉย “เพื่อนผู้จัดการอ้ะ แฮนซั่มมาก หุ่นอย่างกับนายแบบ” “ไม่แน่ใจว่าใช่เพื่อนหรือเปล่า แต่เธอแอบปลื้มผู้จัดการไม่ใช่หรือ?” เธอไม่ได้บอกด้วยว่าเขาเป็นญาติของผู้จัดการ เพราะไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นพูดจริงหรือแค่จะกวนประสาทเธอ “ก็ปลื้มหมดนั่นล่ะ ใครจะเป็นแม่ชีอย่างเธอล่ะจ๊ะ รีบเรียนให้จบดอกเตอร์ล่ะ จะได้ใช้คำนำหน้าแทนนางสาวไปจนแก่” ปรารถนาส่ายหน้ากับคำแดกดันของเพื่อน ยศสินีเรียนห้องเดียวกับเธอมาตั้งแต่มัธยมต้นจนจบมหาวิทยาลัย เพราะความที่มีปมด้อยเหมือนกันก็เลยคบหากันได้ คนหนึ่งเด็กเรียนหน้าตาจืดๆ อีกคนอวบเหมือนน้ำเต้า ทั้งครอบครัวที่เป็นชนชั้นกลางเกือบๆ ล่าง ชั่วชีวิตวัยรุ่นจึงเสมือนเกสรดอกไม้ไร้ภมรภู่มารุมตอม การจิกกัดกันเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำ เธอมิได้สนใจโต๊ะนั้นอีก เพราะมีแขกทยอยเข้าร้านเรื่อยๆ ทั้งยังเป็นชาวต่างชาติเสียส่วนมาก วันนี้จึงได้พูดภาษาต่างประเทศอย่างอิ่มหนำ เมื่อถึงเวลากลับบ้าน เธอก็เข้าห้องแต่งตัว ปลดผ้ากันเปื้อนใส่ตะกร้า เวลาทำงานของเธอคือห้าโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม ปกติจะทำโอทีต่ออีกหนึ่งชั่วโมง แต่วันนี้เธอมีนัด จึงต้องอำลาค่าแรงอีกสามร้อยบาทอย่างแสนเสียดาย ร้านเปิดถึงเที่ยงคืน หน้าที่หลักของเธอคือเช็คสต็อก และช่วยรับออเออร์อยู่ที่เคาท์เตอร์กับผู้ร่วมงานอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นพนักงานประจำ แต่หากวันใดลูกค้าต่างชาติเยอะ ผู้จัดการก็จะอนุญาตให้เธอออกไปรับออเดอร์และเสิร์ฟเองได้ เธอหยิบกระเป๋าออกจากล็อกเกอร์ ก่อนจะกดโทรศัพท์ไปที่เบอร์ของมารดา “ปลั๊กเลิกงานแล้วจ้ะแม่ เดี๋ยวจะนั่งรถไฟฟ้าไป จ้ะ...แล้วเจอกันจ้ะ” “แน่ใจนะว่านายจะไม่ไปดินเนอร์กับครอบครัวฉันคืนนี้ นี่พ่อให้ฉันมาตามนายเลยนะ” เสียงของผู้ชายคนนั้นดังขึ้น พร้อมกับประตูห้องผู้จัดการที่เปิดผลัวะออกมา ทำให้ปรารถนาชะงัก แล้วยืนหลบอยู่หลังตู้ล็อกเกอร์ เขาเป็นญาติของผู้จัดการจริงๆ ด้วย และที่ไม่สั่งอาหารก็เพราะว่ามีนัดกับครอบครัวแล้วนี่เอง อา...อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้มาหาเรื่องที่ร้านล่ะนะ “ฉันยังสนุกกับงานนี้อยู่ เอาไว้ไปทีเดียวตอนประชุมผู้ถือหุ้นก็แล้วกัน ว่าแต่ท่านสบายดีไหม ตั้งแต่ไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลคราวนั้น ก็ยังไม่มีเวลาแวะไปอีกเลย” “ออกมาได้สักพักแล้ว วันนี้ก็บังคับฉันให้พาผู้ร่วมทุนมา นายก็รู้ว่าฉันยังไม่อยากรับช่วงธุรกิจต่อตอนนี้ ใครจะใจดีเหมือนแม่นายล่ะ” “ไม่มีแม่คุมอย่างนายอาจจะดีกว่า” ปรารถนาสะดุ้งกับประโยคที่คุณชายย้อนกลับไป ทว่าน้ำเสียงนั้นมิได้ประชดประชันเหมือนอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะอารมณ์เสียตลอดเวลาก็โล่งใจ ก็หม่อมราชวงศ์กับมาเฟียนี่นะ... “อ้อ! เกือบลืม...นี่นายไม่ได้คัดเด็กเสิร์ฟเลยเหรอ เลือกคนหน้าตาดีๆ กว่านี้หน่อยสิ เด็กวัยรุ่นใส่แว่นซะหนาเตอะ เสียยี่ห้อร้านหมด” อ้าว! วกกลับมาหาเรื่องเราซะนี่ ปรารถนาไม่กล้าขยับตัว เพราะจู่ๆ ผู้ชายปากเปราะคนนั้นก็หยิบเรื่องเธอขึ้นมาเป็นเรื่องสนทนา แถมยังนินทาผู้หญิงอย่างหน้าไม่อายอีกด้วย “ไม่ใช่เด็ก...ปลั๊กอายุยี่สิบสองแล้ว จบมหาวิทยาลัยแล้วด้วย ที่สำคัญเรียนเก่งและเป็นคนดีมาก ฉันกำลังจะจีบไปช่วยงานที่บริษัทอยู่นี่” คุณชาย... หญิงสาวเพ้อในใจ ปลาบปลื้มที่กรภัทรออกรับแทนและเห็นคุณค่าในตัวเธอถึงเพียงนั้น “หา! จบปริญญาตรี ทั้งๆ ที่สูงแค่ร้อยสี่สิบห้าน่ะเรอะ?” ร้อยห้าสิบสามต่างหาก!
已经是最新一章了
加载中