บทที่ 3 ตุ๊กตาหน้ารถ   1/    
已经是第一章了
บทที่ 3 ตุ๊กตาหน้ารถ
ปรารถนาเถียงอยู่ในใจ ก็พอรู้อยู่ว่าบุคลิกและส่วนสูงก็เป็นส่วนสำคัญในการทำงาน แต่คนเตี้ยกว่าเธอก็ยังได้งานทำดีๆ ถมไป “งานของฉันใช้ความสามารถไม่ใช่เวทีนางสาวไทย ฉันเห็นแววเธอตั้งแต่ยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย นายจะพูดถึงเธอทำไมนี่” กรภัทรตอบเสียงนุ่ม รู้ว่าได้เวลาที่ปรารถนาจะต้องมาเก็บของเตรียมตัวกลับบ้านแล้ว ไม่คิดว่าญาติหนุ่มจะพูดเรื่องเธอขึ้นมาพอดี จึงถือโอกาสแก้ต่างให้ และเปรยเรื่องที่ตั้งใจจะชวนเธอทำงานไปด้วยเสียเลย เด็กเรียนของเขา คงแอบอยู่หลังล็อกเกอร์นั่นล่ะ เพราะเห็นเงาแว้บๆ “ก็ยังดีที่แค่จีบไปทำงาน ถ้าขืนจีบเป็นแฟนฉันคงรับไม่ได้ที่จะมีญาติเฉิ่มๆ แบบนั้น แล้วก็...บอกตรงๆ ชื่อปลั๊ก...ชื่อยังกับหมา ฉันไปละ ถ้านายไม่ไป ฉันก็ไม่ไปเหมือนกัน น้องสาวฉันก็คงไม่ไปเหมือนกัน” ปรารถนารอจนเสียงย่ำเท้าของผู้ชายคนนั้นเงียบไป และเสียงประตูห้องของผู้จัดการปิดลง เธอจึงได้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อปรับสภาวะจิตใจให้เป็นปกติ ซวยแท้ๆ เลยวันนี้ นอกจากจะได้ทิปน้อยแล้วยังมาเจอผู้ชายเฮงซวยแบบนั้นอีก ใครจะค่อนขอดว่าเธอขี้เหร่ จน เฉิ่ม อย่างไร เธอไม่เคยเก็บมาใส่ใจ แต่เอาชื่อเธอไปเปรียบเทียบกับพันธุ์สุนัขนี่ออกจะเกินไปหน่อย เธอหยิบมือถือขึ้นมาดู แล้วก็ตกใจเพราะเกินเวลาไปกว่าสิบห้านาที กำลังก้าวขาออกจากตู้ล็อกเกอร์ ก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นกรภัทรยังยืนอยู่ที่หน้าประตู “ปลั๊ก! นึกว่าไปแล้วเสียอีก” แม้อีกฝ่ายจะร้องทักเหมือนประหลาดใจ แต่ปรารถนาก็รู้ว่าคุณชายแกล้งถามไปอย่างนั้น เพื่อมิให้เธอกระอักกระอ่วนใจที่มาได้ยินอะไรร้ายๆ เข้า “กำลังจะไปค่ะ งั้นปลั๊กไปเลยนะคะ สวัสดีค่ะ” เธอกระอักกระอ่วนจริงๆ นั่นล่ะ “เหรอ...ผมก็กำลังจะกลับพอดี ไปธุระที่ไหนต่อล่ะ ติดรถไปกับผมก็ได้” เขายืดตัวขึ้น ล้วงกระเป๋าหยิบกุญแจรถออกมาพร้อม “เอ่อ...ปลั๊กว่าไปรถไฟฟ้าเร็วกว่านะคะ แค่สามสถานีเองค่ะ” “ถ้าอย่างนั้นผมว่าผมเร็วกว่านะ กว่าปลั๊กจะเดินไปถึงบีทีเอสก็สิบห้านาทีแล้ว ผมบึ่งไปแป๊บเดียวก็ถึงที่หมายแล้ว ไปเถอะ...อยากขอโทษแทนเพื่อนผมด้วย ที่พูดจาเสียมารยาทแบบนั้น” ปรารถนาจึงต้องเดินตามผู้จัดการออกไปอย่างเสียไม่ได้ เมื่อเขาเดินนำไปโดยที่ยังไม่ได้อ้าปากปฏิเสธ เธอต้องหลบสายตาเพื่อนร่วมงานและเดินห่างๆ อย่างระแวดระวัง เพราะกลัวว่าใครจะเอาเรื่องที่เธอกลับกับผู้จัดการไปนินทาหรือพูดในทางไม่ดี อย่างน้อยก็ป้องกันมิให้เขาเป็นผู้เสียหายล่ะ พนักงานที่แอบปิ๊งผู้จัดการมีมาก เพราะหล่อมาก รวยมาก และเป็นคนดีมาก คนขี้เหร่ชื่อเหมือนหมาอย่างเธอมิควรบังอาจแหยมไปเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้พวกนางๆ เหล่านั้นได้เห็น เพราะอาจถูกกลั่นแกล้งจนชีวิตหาความสงบสุขไม่ได้ ไปถึงที่จอดรถส่วนตัว เธอก็รีบวิ่งไปเปิดประตูรถด้านคนขับเมื่อเขากดกุญแจรีโมทและไฟหน้ารถกระพริบขึ้นมา แถมยังทำท่าจะเปิดประตูรถให้ตามหน้าที่สุภาพบุรุษ คนอย่างเธอมิสมควรได้รับเกียรตินั้น “ปลั๊กจะขับให้ผมนั่งหรือ?” “ปลั๊กเป็นลูกน้อง ต้องเปิดประตูให้เจ้านายค่ะ เชิญค่ะ” เธอผายมือ แล้ววิ่งอ้อมมาด้านที่นั่งของตนเอง ขณะที่เขาเองก็เดินสวนไปยังด้านคนขับเหมือนกัน พระเจ้า! ตั้งแต่เกิดมา เพิ่งเคยได้นั่งรถสปอร์ตเป็นครั้งแรกในชีวิต เธอเคยเห็นในโชว์รูม สนนราคาของมันไม่ต่ำกว่าสิบล้าน เงินเก็บที่เธอหามาได้ทั้งชีวิตยังซื้อไม่ได้แม้กระทั่งกระจกข้างหนึ่ง เธอผ่อนลมหายใจโล่งอก เมื่อรถแล่นออกจากร้านโดยที่ไม่มีใครเห็น แล้วก็รีบสำรวมมารยาท เมื่อคิดได้ว่ากำลังนั่งอยู่กับเจ้านาย “ผมคิดแล้วว่าปลั๊กจะต้องไม่ถามเรื่องของเพื่อนผม ว่าตกลงแล้วเขาเป็นเพื่อนหรือเป็นญาติของผมกันแน่” “เอ๋?” ปรารถนางงในตอนแรก แล้วก็เข้าใจในเวลาต่อมา จึงต้องแสดงความสนใจเพราะเขาอุตส่าห์ชวนคุยด้วย “ค่ะ เขาบอกปลั๊กว่าเป็นญาติกับผู้จัดการ แล้วตกลงเขาเป็นเพื่อนหรือญาติกันแน่คะ” “ทั้งสองอย่าง แม่ผมเป็นลูกพี่ลูกน้องของแม่เขา เราเกิดปีเดียวกัน ตอนเด็กๆ ก็สนิทกันเหมือนเด็กผู้ชายทั่วไป แต่พอโตขึ้นก็ต้องแยกย้ายกันไปร่ำเรียน นี่เขาเพิ่งกลับจากเมืองนอก เพิ่งได้เจอกันไม่กี่ครั้ง ปลั๊กอาจจะตกใจ แต่เขาเป็นคนพูดตรงๆ แบบนี้ล่ะ อาจระคายหูบ้าง แต่ไม่มีเจตนาร้ายอะไร” หญิงสาวยิ้มบางๆ กับคำพูดปลอบโยนของกรภัทร ซึ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขารู้ว่าเธอได้ยินสิ่งที่เพื่อนของเขาพูด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนสูงที่เป็นปมด้อยของเธอ และที่ถูกเอาชื่อไปเปรียบเทียบกับสุนัข “ปลั๊กไม่ใส่ใจหรอกค่ะ” “แต่เรื่องที่จะจีบปลั๊กมาเป็นผู้ช่วยผมที่บริษัทเป็นเรื่องจริงนะ ผมอยากให้รับไว้พิจารณา” หัวใจของเธอกระตุกเล็กน้อยเมื่อเขาพูดคำว่า “จีบ” ซึ่งแม้จะรู้ว่าเป็นคนละความหมาย แต่ก็อดดีใจไม่ได้ นี่ถ้ายศสินีมาได้ยินมีหวังร้องกรี๊ด ครั้นแล้วใจของเธอก็ห่อเหี่ยวลง เมื่อคิดว่าเธอจะไม่ได้เข้าทำงานด้วยความสามารถ แต่เป็น “เด็กเส้น” ที่ต้องถูกมองด้วยสายตาจับผิดของผู้ร่วมงาน คุณชายก็จะถูกนินทาไปด้วย แม้จะรู้ว่าเท่กินไม่ได้ ในยุคนี้สมัยนี้ ที่งานดีๆ หายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร แต่มันก็เป็นอุดมการณ์และความหยิ่งทะนงอัน้อยนิดของผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งเธออยากใช้ความสามารถของตัวเองมากกว่า “ปลั๊กกำลังลำบากใจใช่ไหมล่ะ ไม่ต้องห่วง ผมจะทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามระเบียบ และจะไม่ยุ่งกับบอร์ดของฝ่ายบุคลากรในการสอบคัดเลือก เพราะฉะนั้นถ้าปลั๊กได้รับเลือกจริงๆ ก็อย่าเข้าใจผิดว่าตัวเองเป็นเด็กเส้น แต่เป็นเพราะความสามารถของตัวเองล้วนๆ” “ค่ะ ถ้าเป็นอย่างนั้นปลั๊กจะได้ไปสมัครอย่างสบายใจ” “ดีแล้ว...อ้อ...ถึงที่หมายแล้ว จะให้ผมรอเป็นเพื่อนไหมล่ะ จะได้สวัสดีคุณแม่ปลั๊กด้วย” “อุ๊ย! ไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน “เดี๋ยวปลั๊กโทรหาแม่เองค่ะ น่าจะอยู่ในห้างแถวๆ นี้” เธอรีบก้าวลงจากรถ ยกมือไหว้งามๆ พร้อมปิดประตูฉับ กลัวว่าเขาจะลงมาจริงๆ แค่นี้ก็รบกวนเวลาของเขามากแล้ว ตรู๊ดๆๆ เธอกดรับสายเมื่อมารดาโทรเข้าอย่างถูกจังหวะ ก้มหน้างุดเมื่อกรภัทรเลื่อนกระจกรถลงมองเธออยู่ “จ้ะแม่...ปลั๊กมาถึงแล้ว...แม่เห็นปลั๊กแล้วเหรอจ๊ะ...จ้ะ...จะเดินเข้าไปเดี๋ยวนี้จ้ะ” แล้วเธอก็กดวางสาย ก่อนจะยกมือสวัสดีชายหนุ่มอีกครั้ง “แม่นั่งรออยู่ในร้านกาแฟชั้นล่างนี่เองค่ะ ขอบคุณผู้จัดการมากค่ะที่มาส่ง” “ถ้าอย่างนั้นผมไปนะ พบกันวันพรุ่งนี้” “ค่ะ” แล้วเธอก็ยกมือไหว้เป็นหนที่สาม ก่อนที่กรภัทรจะขับออกรถไป ปรารถนาแหงนมองตึกระฟ้าเพื่อหาร้านที่มารดานั่งรออยู่ ก่อนจะก้าวเข้าไปในห้างสรรพสินค้าเป้าหมาย โดยไม่รู้ว่าคนที่เธอรอนั้น อยู่กับใครอีกคนหนึ่งซึ่งมองเห็นเธอผ่านกระจกเงาอยู่ก่อนแล้ว “เพิ่งเคยเห็นตัวจริง เป็นเด็กดีอย่างที่เธอพูดจริงๆ ด้วย” สุภาวดียิ้มบางๆ กับคำชมอันอ่อนโยนของอีกฝ่าย ยามมองบุตรสาวของเธอ แม้ในใจจะยังกังวลในเรื่องที่ต้องบอกกล่าวกับปรารถนาและเกรงว่าเธอจะไม่ยอมรับ “ลูกของคุณมากันแล้วหรือคะ?” เธอถาม เมื่อเขายังมองไปที่ถนนไม่ละสายตา “ผมอาจจะตาฝาด” เขาพึมพำ ถอนสายตาจากท้องถนนและรถสปอร์ตหรูที่เพิ่งขับออกไป ก่อนจะหันมาสนใจฝ่ายตรงข้าม เมื่อเห็นเด็กที่เขาเพิ่งกล่าวคำชมเชยเดินเข้ามาในร้าน
已经是最新一章了
加载中