บทที่ 4 แม่จะขายหนูใช้หนี้?   1/    
已经是第一章了
บทที่ 4 แม่จะขายหนูใช้หนี้?
“เด็กสองคนนั้นโทรมาบอกว่าติดธุระ ช่างเถอะ...ยังไงก็ได้เจอกัน แค่หนูปลั๊กมาก็พอแล้ว” กุลธรกล่าวอย่างมีเมตตา \"ค่ะ” สุภาวดีตอบรับเพียงแค่นั้น แล้วบุตรสาวคนเดียวของเธอที่กำลังชะเง้อชะแง้มองเข้ามา ก็สบตากับเธอพอดี ปรารถนาเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเห็นว่ามารดาไม่ได้นั่งอยู่คนเดียว หากแต่ยังมีบุรุษสูงวัยผมสีดอกเลา แต่งกายด้วยชุดลำลองทว่าดูภูมิฐานและมีสง่าราศีอย่างมากอีกคนนั่งอยู่ด้วย แม่ของเธอยังสวมชุดทำงาน ซึ่งเป็นชุดผู้ช่วยพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนมีชื่อแห่งหนึ่งในย่านนี้ บนโต๊ะมีโอวัลติน กาแฟ และอาหารเบาๆ ที่ยังไม่พร่องเลยสักนิด เดาว่าคงจะรอเธออยู่แน่ๆ เธอก้าวเข้าไปยืนข้างมารดา ซึ่งยืนมือมารับ ก่อนจะพนมมือไหว้บุคคลที่สามอย่างนอบน้อม “สวัสดีค่ะ” “สวัสดีจ้ะ นั่งเถอะ ทานอาหารด้วยกัน” เธอวางกระเป๋าลงบนเก้าอี้อีกตัวที่ยังว่าง ความหิวหายไปหมดแล้ว เพราะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ที่จู่ๆ ก็ถูกเรียกตัวให้มานั่งทานข้าวกับคนแปลกหน้า “อาชื่อกุลธร เป็นเพื่อนของคุณแม่ของหนู เรารู้จักกันมาได้ปีกว่าแล้วจ้ะ กินเถอะ...คุณสุสั่งอาหารที่หนูชอบทั้งนั้นเลย มื้อนี้อาเป็นเจ้ามือเอง” “อ๊ะค่ะ” เธอรีบหยิบช้อนส้อม กลืนคำถามและความสงสัยลงไปก่อน ดีใจที่ไม่ต้องจ่ายค่าอาหารมื้อนี้ที่อาจจะแพงกว่าค่าแรงที่ได้รับมาทั้งวัน ไม่น่าเชื่อว่าแม่จะมีเพื่อนที่ดูดีมีสกุลและรวยมาก ดูจากนาฬิกาที่เขาใส่นั่นก็คงเรือนละแสน ชุดลำลองนั้นก็คงไม่ได้ซื้อจากตลาดนัด แถมยังให้เกียรติเรียกแม่เธอว่า “คุณสุ” กึก! หรือว่า? หญิงสาวชะงัก กลืนอาหารลงคออย่างฝืดเฝื่อน ก่อนจะหันไปมองมารดาที่ทำท่าพะวักพะวนแปลกๆ หรือว่าแม่จะขายเธอใช้หนี้? “อร่อยไหมปลั๊ก ถึงจะเป็นร้านกาแฟแต่เขาก็มีอาหารเบาๆ ให้เรารับประทานนะ แม่ก็เพิ่งเคยเข้ามาเหมือนกัน” สุภาวดียิ้มให้บุตรสาว ก่อนจะรินน้ำอุ่นบริการคุณกุลธรที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “หนูปลั๊กกินเยอะๆ นะ” กุลธรยิ้มเอาใจด้วยอีกคน จะขุนเท่าไหร่ แต่หนูก็คงขายไม่ได้ราคาหรอกค่ะ! ปรารถนาร่ำร้องอยู่ในใจ เมื่อเห็นท่าทีอันไม่เป็นธรรมชาติของคนทั้งสอง หากเป็นอย่างที่คิดไว้ เธอจะกล้าขัดใจมารดาหรือ? “ตอนที่เจอกับคุณสุครั้งแรก อาป่วยและรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เป็นหนักมากถึงขั้นอัมพฤกษ์ โชคดีที่ได้พยาบาลพิเศษอย่างคุณสุคอยดูแล จึงผ่านวันคืนอันเลวร้ายมาได้” ผู้ช่วยพยาบาลต่างหากค่ะ หญิงสาวพยายามฝืนยิ้ม เมื่อ “คุณอา” กล่าวยกย่องชมเชยมารดาของเธออย่างมีเบื้องหลัง เหมือนเด็กที่ประจบผู้ใหญ่เพื่อหวังอะไรบางอย่าง “แต่อาการป่วยเรื้อรังนั้นก็ยังไม่หาย ต้องรักษาประคองอาการไปตลอด ซึ่งนักธุรกิจที่กำลังจะส่งช่วงต่อให้ลูกอย่างอา คงไม่มีเวลาไปนอนอยู่ที่โรงพยาบาลบ่อยๆ จึงต้องขอร้องให้คุณสุพามาพบหนูในวันนี้” เธอหันไปมองมารดาเมื่อกุลธรกำลังใช้วาทะหว่านล้อม ใจเต้นตึกๆ ตักๆ ด้วยความกลัว แล้วเธอก็ต้องเบิกตาโพลง เมื่อกุลธรเอื้อมมือไปกุมมือของสุภาวดี ขณะที่แม่ของเธอก้มซ่อนดวงหน้าแดงเรื่อราวกับสาวแรกรุ่น! จากนั้นเขาก็พูดประโยคที่ทำให้โลกทั้งใบสั่นสะเทือนว่า “อาจะมาขออนุญาตหนูปลั๊ก แต่งงานกับคุณสุจ้ะ!” “อะไรนะคะ!? คุณพ่อจะแต่งงาน!?” เสียงกรีดร้องข้างตัวทำให้กุลธรต้องเอามืออุดหูทั้งสองข้าง ก่อนจะส่งสายตาคมเข้มมองบุตรสาวที่กำลังทำหน้าราวกับเห็นหุ่นยนต์ยักษ์มาเดินเหยียบสนามหญ้าหน้าบ้านในภาพยนตร์เรื่องทรานส์ฟอร์เมอร์ และก็เป็นดังเช่นทุกครั้งที่เขาใช้สายตาปรามบุตรสาวได้ แต่ทั้งเธอและเจ้าลูกชายตัวปัญหาที่นั่งอยู่ด้วยกัน ก็ตอบโต้ด้วยการวางช้อนส้อมดังกึก! แล้วเอนตัวไปพิงพนักเก้าอี้เป็นการประท้วง “เป็นแม่หม้ายไฮโซที่ไหนกันครับ ถึงทำให้พ่อที่ครองตัวโสดมากว่าสิบปีเปลี่ยนใจได้” “ไม่ใช่ไฮโซที่ไหนหรอกนะติณณ์” เขาเรียกชื่อของบุตรชาย พร้อมมองเขม็งเมื่อเห็นกิริยาต่อต้านเด่นชัดจากน้ำเสียงนั้น “แต่เป็นคนที่ดูแลพ่อได้ พ่อที่พวกแกไม่เคยคิดจะทำหน้าที่ของลูกที่ดีเลย” “ก็ผมบอกแล้วว่าขอเวลาอีกสามปีนี่ครับ แล้วนี่ก็เริ่มจะเข้าไปฝึกงานที่บริษัทแล้วด้วย ยัยลนาต่างหากที่ลอยไปลอยมา เรียนหนังสือก็ไม่จบ” ชายหนุ่มยืดตัวขึ้น พร้อมใส่ไฟน้องสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ จนเธอหันมาแว้ดเสียงแหลม “เอ๊ะ! พี่ติณณ์นี่!” แล้วเธอก็แก้ตัวกับบิดาเสียงอ่อย “ลนาก็แค่ยังไม่ได้ส่งงานวิจัยเท่านั้นเองค่ะคุณพ่อ ก็เลยยังขออนุมัติจบไม่ได้ แหะๆ” “พอกันเลยทั้งสองคน” กุลธรโบกมือด้วยความเบื่อหน่าย แม้จะฝ่าด่านลูกสาวของสุภาวดีมาแล้ว แต่คนที่เป็นตัวปัญหามากที่สุด ก็คือลูกชายลูกสาวสองคนนี่แหละ กว่าจะนั่งทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาได้ก็ต้องรอจนถึงเย็นวันอาทิตย์ แถมอาหารที่แสนอร่อยก็เหมือนจะกร่อยไปถนัด “ติณณ์! แกเองก็อายุยี่สิบห้าแล้ว และเป็นลูกชายคนเดียวที่จะต้องเป็นหัวเรือใหญ่ของครอบครัว หากพ่อตายไป สิ่งที่แกต้องดูแล ไม่ใช่แค่ชีวิตของแกคนเดียว แต่ยังรวมถึงน้อง และพนักงานในบริษัทอีกกว่าพันชีวิต หากแกทำให้พ่อเชื่อใจไม่ได้ ก็จำเป็นจะต้องยอมให้คุณชายเล็กเข้ามาถือหุ้นใหญ่ พร้อมตำแหน่งประธานบริษัท” “ไม่ได้นะครับ!” บุตรชายดีดตัวขึ้นจากเก้าอี้ มองบิดาด้วยสายตาแข็งกร้าวไม่แพ้กัน “นี่พ่อคิดจะยกกิจการหมื่นล้านให้คนอื่นหรือไง?” “ใช่ค่ะ...พี่เล็กเขาก็มีธุรกิจของเขาอยู่แล้วนะคะ” คราวนี้ยลนาหันมาเข้าข้างพี่ชาย “นี่เธอยังกล้าเรียกร้านอาหารอิตาเลียนนั่นว่าธุรกิจหรือ?” เขาหันไปถลึงตาใส่น้องสาว “แม้แต่เด็กเสิร์ฟก็ไร้รสนิยม ไม่นานก็เจ๊ง” “ก็จะทำยังไงได้ ในเมื่อแกยังไม่เป็นโล้เป็นพายอยู่อย่างนี้” “พ่อก็แต่งตั้งผมให้อยู่ในตำแหน่งสำคัญๆ สิครับ นี่เล่นส่งผมไปอยู่แผนกการผลิต แล้วใครจะเกรงใจผมล่ะ ผมคือผู้ถือหุ้นใหญ่นะ แล้วก็เป็นลูกชายท่านประธานด้วย” “หุ้นแกก็เงินฉันทั้งนั้น แล้วฉันก็จะส่งแกไปฝึกงานทุกแผนกนั่นล่ะ แม้แต่แผนกแม่บ้านก็ไม่เว้น แกต้องไปหัดขัดส้วม เช็ดกระจก รดน้ำต้นไม้ ส่วนแก...ลนา...ถ้าหากไม่ได้รับปริญญาพร้อมเพื่อน อย่าหวังว่าจะได้ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ” “คุณพ่ออ้ะ!” ยลนากระฟัดกระเฟียด ถลึงตามองพี่ชายที่พลอยทำให้เธอโดนลูกหลงไปด้วย “อย่างนี้ผมก็ยิ่งขาดความน่าเชื่อถือน่ะสิพ่อ” ติณณ์โอดครวญ “แล้วเรื่องแต่งงานของคุณพ่อล่ะคะ ลนายอมให้ผู้หญิงคนนั้นมาอยู่ในบ้านได้ แต่อย่าหวังว่าลนาจะเรียกแม่นะคะ แม่ลนามีคนเดียวเท่านั้น” ยลนารีบเปลี่ยนเรื่อง ก่อนที่จะโดนทั้งพ่อและพี่ชายเทศนาอีก “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่ะ ฉันแต่งงานก็เพราะอยากมีคนมาดูแลตอนแก่ เธอเองก็เป็นพยาบาลคอยดูแลพ่อตอนอยู่ที่โรงพยาบาล มีลูกติดอยู่คนหนึ่ง เป็นเด็กดีกว่าพวกแกร้อยเท่า ฉันก็ไม่ได้หวังจะมีครอบครัวอบอุ่นอะไรนักหรอก แค่อย่าสร้างปัญหา อย่าทะเลาะกันก็พอแล้ว” “เหอะ...พ่อจะแต่งกับใครผมไม่สนหรอก แต่อย่ามายุ่งกับชีวิตผมก็แล้วกัน” ติณณ์สะบัดหน้า “ฉันจะจัดพิธีแต่งงานแบบเงียบๆ ที่ดลวรรณรีสอร์ท เรื่องพิธงพิธี พวกแกไม่ต้องยุ่ง แค่ต้องอยู่ให้ฉันเห็นหน้าในวันงานก็พอ เอาล่ะ...ฉันอิ่มแล้ว เชิญพวกแกกินต่อกันตามสบาย หวังว่าฉันจะไม่ต้องตอบคำถามพวกนี้อีก” เมื่อประมุขของบ้านเดินออกจากห้องไป สองพี่น้องก็หันมามองหน้ากันแล้วถอนหายใจเฮือก
已经是最新一章了
加载中