บทที่ 8 มองออก   1/    
已经是第一章了
บทที่ 8 มองออก
“อ้อ! วันมะรืนนี้ตอนบ่าย คุณกุลธรว่าจะมารับเราไปลองชุดน่ะจ้ะ เสร็จแล้วก็จะทานข้าวเย็นด้วยกัน ปลั๊กติดงานที่ไหนหรือเปล่า เผื่อจะได้เจอลูกๆ ของท่านด้วย” สุภาวดีเลียบเคียงถามบุตรสาว “ปลั๊กติดสอนน่ะจ้ะ ต่อด้วยงานพิเศษที่ร้าน แต่ถ้ากินข้าวเย็นปลั๊กขออนุญาตผู้จัดการไม่ต้องทำโอทีก็ได้จ้ะแม่ ส่วนชุดเดี๋ยวปลั๊กขอไปซื้อเองทีหลังได้ไหมจ๊ะ” หญิงสาวครุ่นคิดถึงตารางานของตัวเอง ช่วงเช้าเธอว่าง ส่วนบ่ายจนถึงสิบหกนาฬิกา เธอต้องสอนพิเศษให้อนิษการ์ จากนั้นเข้างานที่ร้านอาหารไม่เกินห้าโมงเย็น เธอไม่ทำโอทีที่ร้านอาหารก็ได้ แต่จะสอนอนิษการ์ไม่เต็มเวลาไม่ได้ เพราะจะเสียความน่าเชื่อถือ หากดินเนอร์ครั้งแรกของว่าที่ครอบครัวใหม่เริ่มในตอนหัวค่ำ เธอก็คงจะไปทันพอดี ปรากฏว่า เธอต้องใช้เวลาที่บ้านของอนิษการ์เพิ่มขึ้นอีกครึ่งชั่วโมง เพราะเจ้าสัวทรงชัยจับได้ว่าบุตรสาวแอบไปกับเพื่อนชายโดยไม่บอกกล่าว ด้วยคนของเขาพบเห็นว่าอนิษการ์ทะเลาะกับเพื่อนคนนั้น ในวันที่แว่นตาของเธอแตกนั่นเอง ดูท่าว่าเด็กสาวจะฟังเทศน์มาแล้วจนหูชา เพราะตอนที่เจ้าสัวเรียกเธอไปคุยในห้องทำงานนั้น อนิษการ์ได้แต่นั่งหน้าจ๋อง ความเข้มงวดของเจ้าสัวนั้นเป็นที่รู้กันทั่ว ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือบริษัท ชีวิตของอนิษการ์ซึ่งเป็นธิดาเพียงคนเดียวในหมู่พี่ชายอีกห้าคน จึงเปรียบเสมือนไข่ในหินที่ต้องได้รับการทะนุถนอมสุดชีวิต ทั้งเด็กสาวกำลังเติบโตเป็นสาวสะพรั่ง หากไม่เข้มงวดกวดขัน ก็อาจจะหลุดกรอบอย่างลูกหลานไฮโซคนอื่นได้ ปรารถนาจึงได้รับข้อเสนอเพิ่มขึ้น ในการเป็นครูพิเศษสำหรับอนิษการ์โดยเฉพาะจนกว่าจะเรียนจบปริญญาตรี พร้อมค่าจ้างก้อนโต และนั่นทำให้เธอคิดหนัก เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น เธอเองก็คงไม่ต่างอะไรกับเด็กสาว ที่ต้องอยู่ภายใต้เงาของเจ้าสัวร่ำไป เงินนั้นก็อยากได้ แต่เธอหวังที่จะออกไปเรียนรู้โลกกว้าง กว่าจะอธิบายให้เจ้าสัวเข้าใจ ก็ใช้เวลาไปกว่าครึ่งชั่วโมง แต่ท่านก็ยังหวังว่าเธอจะเปลี่ยนใจอยู่ดีนั่นล่ะ “เดี๋ยวก่อนสิคะครู” “อะไรอีกคะ ครูต้องรีบไปทำงานต่อแล้วนะคะ” เธอไม่อยากเสียเวลาอีก เพราะตั้งใจว่าจะไม่ทำโอทีด้วย จึงต้องรีบบอกผู้ช่วยผู้จัดการให้หาคนทำแทน “แหม รีบอะไรกันนักกันหนา ออนแค่จะถามคำถามสำคัญนิดเดียวเอง” “รีบๆ ถามมาค่ะ หนึ่งคำถาม ทำให้ครูต้องเร่งฝีเท้าขึ้นอีกสิบก้าวต่อนาทีเลยนะคะ” “ฮ่าๆๆ คุณครูก็งกจัง อะไรๆ ก็เป็นเงินไปหมด โอเคค่ะ ถามแล้วๆ” อนิษการ์รีบเข้าเรื่องเมื่อปรารถนาทำท่าจะเดินออกไปจริงๆ “ผู้จัดการคนนั้น ใช่คุณชายกรภัทรไหมคะ ออนเคยเห็นหน้าเขาในหนังสือพิมพ์ แล้วก็ มีแฟนหรือยัง รู้จักกับคุณครูมานานแล้วหรือ ทำไมถึงได้ดูสนิทกันจัง ตอบให้หมดนะคะ” ปรารถนาถอนใจ นึกว่าเด็กสาวมีเรื่องสำคัญอะไรเกี่ยวกับการเรียน ทั้งคำถามเดียวที่ว่า ก็แตกย่อยราวกับข้อสอบของมหาวิทยาลัยอย่างไรอย่างนั้น “ใช่ค่ะ นี่เป็นธุรกิจเล็กๆ ที่ผู้จัดการทำนอกเหนือจากกิจการของครอบครัว มีแฟนหรือเปล่าครูไม่รู้ เพราะไม่เคยก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว” พูดมาถึงตรงนี้ เธอก็นึกถึงคุณกวินตราขึ้นมาทันที “เหลือคำถามสุดท้ายค่ะ” อนิษการ์ทวง “อะไรคะ?” “ก็ ทำไมถึงได้ดูสนิทกับคุณครูจังเลยล่ะคะ ออนเห็นนะ คุณชายจับมือครูด้วย รีบมาช่วยครูอย่างกับพระเอกหนังเกาหลีแน่ะ” “ไม่ใช่สักหน่อย!” ปรารถนาเผลอร้องเสียงหลง หน้าแดงไปถึงใบหู ก่อนจะรีบกลบเกลื่อน “ขอโทษค่ะที่พูดเสียงดัง ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ผู้จัดการก็ทำแบบนี้กับทุกคน แล้ววันนั้นครูก็มองเห็นไม่ชัดด้วย คงเกรงว่าครูจะเหยียบเศษกระจกแล้วทำงานต่อไม่ได้เท่านั้นล่ะค่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ครูไปก่อนนะคะ อย่าลืมทบทวนตำราด้วย” ปรารถนาไม่รอให้เด็กสาวถามอีก รีบเดินจ้ำอ้าวออกไปราวกับเหาะ อนิษการ์หายใจฮึดฮัดเมื่อไม่ได้ความกระจ่าง แต่เมื่อจำเลยไม่อยู่ให้ซักไซ้ เธอจึงได้แต่เท้าสะเอวบ่นพึมตามหลัง “อะไรกัน! ถามแค่นี้ทำเป็นหน้าแดงแก้ตัวเสียยาวเหยียด ก็แค่คุณชายช่วยสงเคราะห์คนพิการเท่านั้นเอง เฮอะ!” ไม่ใช่ปรารถนาคนเดียว ที่ต้องเร่งฝีเท้าในการเดินไปที่ร้านให้ทันเวลา คนที่เข้ากะอยู่ก่อนแล้วอย่างยศสินี ก็กำลังเร่งมือเตรียมน้ำส้มและผลไม้ไว้ต้อนรับแขกกิตติมศักดิ์ของผู้จัดการเหมือนกัน คุณชายยอดรักของพนักงานทุกคนในร้านเข้ามาตั้งแต่บ่ายสามโมงครึ่ง ซึ่งเป็นเวลาที่เหล่าพนักงานเสิร์ฟ พนักงานเช็คสต็อก และแคชเชียร์กำลังเตรียมตัว แถมไม่ได้มาคนเดียว แต่มีหญิงสาวขับรถลัมเบอร์กินีคันหรูมาด้วย มาถึงปุ๊บ เจ้าหล่อนก็ถามหาน้ำส้มคั้น และต้องเป็นน้ำส้มที่คั้นสดๆ เท่านั้น ยศสินีจึงต้องวิ่งไปซื้อส้มที่แผงลอยมา เพราะที่ร้านไม่มีเมนูน้ำผลไม้ปั่นอยู่แล้ว เมื่อเห็นปรารถนาก้าวเท้าเข้ามาที่หลังร้าน ยศสินีก็ร้องราวกับไม่ได้เจอกันมาสักสิบชาติ “ปลั๊ก!! โอ๊ยดีใจจริงๆ ที่เธอมา กำลังรออยู่เชียว” “มีอะไรหรือ? ทำท่าตื่นเต้นตกใจอย่างกับดารามาบุกร้านงั้นแหละ” ปรารถนาเดินเข้าไปในห้องล็อกเกอร์ เก็บกระเป๋าและสวมผ้ากันเปื้อน ก่อนจะเดินเข้าไปหาเพื่อนสาว “ยิ่งกว่าดาราอีกเธอเอ๊ย! เพื่อนหรือแฟนของผู้จัดการก็ไม่รู้ สวยสะบัดช่อ ร้องจะกินน้ำส้มคั้น ฉันต้องวิ่งไปซื้อส้มมาคั้นให้เนี่ย” ยศสินีรีบรายงาน “อ๋อ” ปรารถนาลากเสียงยาว รู้แล้วว่าเพื่อนสาวหมายถึงใคร “รู้จักเหรอ?” “ก็เจ้าของบาร์น้ำที่จะมาเปิดในร้านเราไง คงมาดูงานน่ะ” “อ๋อ! ต๊าย! นี่แหละเขาเรียกว่าหุ้นส่วนหัวใจ โอ๊ย! เสียดายผู้จัดการอ้ะ น่าจะอยู่เป็นโสดให้เราแทะโลมอีกสักหน่อย” ปรารถนายิ้มขำเพื่อน ที่ทำท่าราวกับว่าคุณชายจะแต่งงานวันนี้วันพรุ่ง แต่เธอก็ไม่คิดจะบอกหรอกว่า เขาแนะนำคุณกวินตรากับเธอว่าเป็นเพื่อนเท่านั้น ประเดี๋ยวจะถามซักไซ้อีกว่าไปเจอกันตอนไหน ไปกับคุณชายได้อย่างไร “เอ้า! เสร็จแล้ว เอาไปเสิร์ฟให้หน่อยสิ ฉันไม่อยากเข้าไปในนั้นเลย กลัวจะเจอภาพบาดตาบาดใจ” ยศสินีเอาถาดใส่แก้วน้ำส้มยื่นให้ พยักหน้าไล่ปรารถนาให้เป็นหน่วยกล้าตายอีกครั้ง ยังไม่ทันที่ปรารถนาจะอ้าปากตอบรับหรือปฏิเสธ บานประตูก็เปิดออก พร้อมกับร่างสูงของกรภัทรและกวินตราเดินเคียงคู่กันเข้ามาในห้อง “ไหนจ๊ะ...น้ำ...!” “อ้าวปลั๊ก! มาแล้วเหรอ” เสียงกรภัทรที่เป็นฝ่ายทักลูกน้องขึ้นก่อนพร้อมรอยยิ้มราวกับดีใจนักหนา ทำให้กวินตราที่เพิ่งยิ้มแฉ่งและกำลังร้องหาน้ำส้ม ถึงกับหุบปากฉับ ก่อนที่เด็กแว่นในชุดกันเปื้อน จะพนมมือไหว้อย่างนอบน้อม “สวัสดีค่ะ”
已经是最新一章了
加载中