บทที่ 12 ความรักที่เลือกเองไม่ได้   1/    
已经是第一章了
บทที่ 12 ความรักที่เลือกเองไม่ได้
คลินท์วู้ด สองหนุ่มนั่งอยู่ในร้านอาหารกึ่งผับสำหรับคนมีรายได้สูงและมีรสนิยมสูง พวกเขาสั่งอาหารเบาๆ พร้อมไวน์ชั้นดีเป็นอาหารค่ำในคืนนี้ เพราะจุดประสงค์หลักมิได้มาเพื่อกิน แต่มาเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ กรภัทรไม่ชอบการมานั่งในร้านอาหารเท่าใดนัก อาจเป็นเพราะเขามีร้านของตัวเอง และชอบที่จะกลับไปทำสิ่งต่างๆ ที่บ้าน มากกว่าเข้าสังคมหรือพบปะเพื่อนฝูงตามสถานเริงรมย์ ดังนั้นเขาจึงมีเพื่อนแทบจะนับคนได้ แม้แต่กับติณณ์ ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนและญาติ ก็ไม่ค่อยจะได้เจอกันบ่อยนัก ที่มาวันนี้ เพราะชายหนุ่มเป็นฝ่ายนัดก่อน บอกว่ามีเรื่องสำคัญที่เกี่ยวพันกับเอ็มไพร์กรุ๊ป ซึ่งแน่นอนว่า เอ็มไพร์กรุ๊ป ก็หมายถึงตัวเขาเช่นกัน “ฉันไปกินข้าวกับพ่อมา” “มิน่า...นายถึงไม่ค่อยแตะอะไร” เขาถึงบางอ้อ เมื่อติณณ์เริ่มเล่าเรื่องที่เขาอยากรู้ หลังจากนั่งเงียบๆ คล้ายกำลังครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “จะสามทุ่มแล้ว หม่อมวิลาวัณคงไม่รอกินข้าวกับนายหรอกนะ” ติณณ์เอ่ยถึงมารดาของอีกฝ่าย ซึ่งมีศักดิ์เป็นป้าของเขา ตาก็คอยมองรถเมล์คันแล้วคันเล่าที่แล่นเข้ามาจอดเทียบท่า “โชคดีที่แม่ฉันยุ่งอยู่กับงานการกุศล ไม่อย่างนั้นฉันจะชวนแม่ไปกินข้าวกับพวกนายด้วย” “พอเลยๆ” ติณณ์โบกมือด้วยความขยาด “แค่กินข้าวกับพ่อฉันก็เบื่อจะแย่แล้ว ขืนแม่นายโผล่มาอีกคน ไม่รู้ว่าเราสองคนจะโดนบังคับให้ทำอะไรอีกบ้าง” กรภัทรหัวเราะ เห็นด้วยกับติณณ์ที่ไม่ได้พูดเกินจริงเลยสักนิด เรื่องแม่ของเขาและคุณกุลธร ที่ชอบบังคับให้พวกเขาทำตามที่ต้องการอยู่เสมอ ตั้งแต่ติณณ์ขาดแม่ คุณกุลธรก็บ้าคลั่งทำงานเป็นบ้าเป็นหลัง สร้างอาณาจักรเอ็มไพร์กรุ๊ปจนยิ่งใหญ่ ในขณะที่หม่อมวิลาวัณ มารดาของเขาเองก็ถือหุ้นอยู่ถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์ ก่อนจะลดลงไปสิบเปอร์เซ็นต์เพราะขายให้เขาในภายหลัง หุ้นสิบเปอร์เซ็นต์นั้น เขาซื้อด้วยเงินที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง จากผลประกอบการของร้านอาหารอิตาเลียนซึ่งโตวันโตคืนและเงินเก็บอีกส่วนหนึ่ง เขามีถนนหลายสายให้เลือกเดิน สำหรับชีวิตตัวเอง แต่ติณณ์ไม่... ชีวิตของติณณ์ถูกกำหนดโดยผู้เป็นพ่อ ซึ่งเกิดมาเป็นบุตรชายคนเดียวของประธานเอ็มไพร์กรุ๊ป และจะเติบโตไปเป็นอื่นไม่ได้ “อ้อ! นายบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะบอก เรื่องอะไรล่ะ?” “หึ...นายต้องคิดไม่ถึงแน่ ขนาดฉันเองยังคิดไม่ถึง” “หรือว่า...” กรภัทรนึกถึงตอนที่ญาติหนุ่มคุยโทรศัพท์บนรถ “นาย...กำลังจะแต่งงาน?” “ฮ่าๆๆ ฉันนี่นะ? จะแต่งงาน?” ติณณ์ชี้หน้าอกตัวเอง “นายก็รู้...ว่าพวกเราเลือกเมียเองไม่ได้” กรภัทรวางแก้วไวน์ดังกึก! เมื่อประโยคหลังของชายหนุ่มสะกิดความรู้สึกในใจเขา จู่ๆ ความเย็นยะเยือกก็แล่นเข้าจับขั้วหัวใจ “อย่าบอกนะ...ว่านายลืม ว่าหม่อมวิลาวัณเป็นแม่นาย คิดหรือว่าท่านจะยอมให้นายไปคว้าผู้หญิงสุ่มสี่สุ่มห้ามาเป็นสะใภ้” “นายถึงโชคดีกว่าฉันไง ที่ไม่มีแม่” คุณชายพูดเสียงขรึม ความรื่นรมย์เมื่อตอนหัวค่ำมลายหายไปทันที “หึ...นายจะเอาด้วยไหมล่ะ เลือกแม่ของลูกจากแคตตาล็อก ฉันจะได้เอาแบบเลือกหนึ่งแถมหนึ่ง” ติณณ์ย้อน “หรือว่าพ่อนายบังคับให้นายแต่งงาน?” “เปล่า” ติณณ์ส่ายหน้า “พ่อฉันต่างหาก ที่กำลังจะมีเมีย” คำตอบของติณณ์ ทำให้กรภัทรอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนความเงียบจะคืบคลานเข้ามา จู่ๆ ขนก็ลุกซู่ เมื่อคิดได้ว่า การที่คุณกุลธรจะแต่งงาน นั่นหมายถึงความสั่นสะเทือนของเอ็มไพร์กรุ๊ป ตลาดหุ้น ที่สำคัญก็คือชีวิตของติณณ์ และ...ตัวเขาเอง “เรื่องนี้ไม่ได้กระทบแค่ฉัน แต่จะกระเทือนถึงนายด้วย เพราะถ้าพ่อฉันวางมือเมื่อไหร่ แม่นายไม่อยู่เฉยแน่ ฉันรู้...ว่านายไม่สนเอ็มไพร์กรุ๊ป และไม่คิดจะแย่งตำแหน่งประธานจากฉัน แต่หม่อมวิลาวัณ...ไม่ใช่...หึ...ดีไม่ดี นายอาจจะถูกบังคับให้แต่งงานกับกวินเพื่อเพิ่มมูลค่าหุ้นก็ได้ ใครจะไปรู้” “เห็นทีว่าฉันจะต้องขัดใจแม่บ้างแล้วล่ะ...นายจะกลับหรือยัง ฉันจะไปส่ง” คุณชายถามด้วยใบหน้าเรียบเฉย “นายกลับไปก่อนเถอะ ฉันเอารถมาทิ้งไว้ที่นี่ตั้งแต่ก่อนไปกินข้าวกับพ่อแล้ว เดี๋ยวจะแว๊นกลับเอง” “ทำตัวอย่างกับวัยรุ่น” กรภัทรลุกขึ้น สีหน้ายังแสดงถึงการครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง“อย่าลืมสวมหมวกด้วยล่ะ ฉันไปก่อนนะ” “อือ...ไปเถอะ ไว้เจอกันวันงาน” ติณณ์โบกมือให้ญาติหนุ่มที่ลุกเดินออกจากร้านไป แล้วก้มมองนาฬิกาข้อมือ เข็มสั้นกำลังจะชี้เลขสาม ยัยลูกหมายังไม่มา เขาจะรออีกสักหน่อย เขาดึงมือถือของเธอขึ้นมาดูก่อนที่แบตเตอรี่จะหมด ถือวิสาสะไล่กดดูโดยไม่เกรงใจเจ้าของเครื่อง เพื่อดูว่าเธอแอบซุกซ่อนอะไรไว้ จึงต้องดั้นด้นถ่อสังขารมาเอาด้วยตัวเองถึงที่นี่ ไม่มีแมสเสจ ไม่มีอะไรน่าสนใจกับเบอร์โทรศัพท์ที่เธอเมมไว้ไม่ถึงยี่สิบเบอร์ ทว่าเมื่อกดดูแกลอรี่ภาพเก่าๆ เขาก็ต้องขมวดคิ้ว “เจ้าสัวทรงชัย?” ภาพที่เห็นนั้น เธอสวมชุดนักศึกษา อยู่ในบูธแสดงสินค้าอะไรสักอย่าง และภาพที่ถ่ายกับเจ้าสัวเพียงสองคนอีกสองถึงสามภาพ “หรือว่า...ยัยนั่น...เป็นสาวไซด์ไลน์?” ยังไม่ทันที่เขาจะกดปุ่มเลื่อนไปภาพถัดไป มือถือก็สั่นสั้นๆ สองครั้ง แล้วก็ปรากฏหมายเลขโทรศัพท์สาธารณะอยู่บนหน้าจอ ตรู๊ดๆๆๆๆๆๆ ปิ๊บ! “อ้าว!?” ติณณ์ใช้มือจิ้มปุ่มโทรศัพท์ เมื่อจู่ๆ มันก็ดับไปเสียเฉยๆ ครั้นคิดได้ว่าแบตอาจจะหมด เขาก็ยัดมันใส่กระเป๋าแล้วชะเง้อเมียงมองหาเจ้าของโทรศัพท์จากระเบียง สักพัก...คนที่เขารอคอยก็เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงประตู เธอขยับแว่น ชะเง้อชะแง้มองซ้ายมองขวา แล้วก็ถอยไปอยู่ข้างหลังประตูเมื่อมีคนเดินผ่าน ก่อนจะกลับเข้ามายืนเก้ๆ กังๆ ไม่ยอมเข้ามาในร้านเสียที เขากวักมือเรียกพนักงานบริการ กระซิบกระซาบสั่ง แล้วนั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้รออย่างใจเย็น ห้านาทีต่อจากนั้น เขาก็เห็นเธอเดินเข้ามาด้วยท่าทีขลาดๆ สองมือกุมกระเป๋าสะพายไว้แน่น นี่คงจะใช้ไอ้หน้าตาซื่อๆ หลอกเจ้าสัวทรงชัยล่ะสิ กรภัทรก็เหมือนกัน ถ้ารู้ว่าเบื้องหลังคนที่ตัวเองหมายมั่นปั้นมือจะให้เป็นผู้ช่วย ที่แท้เป็นสาวไซด์ไลน์ จะเป็นยังไงนะ “สวัสดีค่ะ” ปรารถนาพนมมือไหว้ แล้วยืนสงบเสงี่ยมไม่กล้านั่ง “อือ! ยืนอยู่ทำไม จะรอให้เลื่อนเก้าอี้ให้เหรอ?” “ขอโทษค่ะ” เธอหน้าเสีย เพราะเขาพูดเสียงค่อนข้างดังทำให้โต๊ะข้างๆ หันมามอง แล้วเธอก็ไม่ได้รอให้เขาเลื่อนเก้าอี้ให้เสียหน่อย ที่ไม่กล้านั่งเพราะเขายังไม่อนุญาตต่างหากล่ะ เมื่อปรารถนานั่งลงเรียบร้อย ติณณ์ก็เอาข้อศอกเท้าโต๊ะ ชะโงกหน้าไปหาอีกฝ่ายทันที หญิงสาวผงะไปข้างหลังด้วยความตกใจ เมื่อเห็นประกายคมกล้าจากดวงตาคมจ้องมองเธอราวกับราชสีห์กำลังล่าเหยื่อ “นี่เป็นวิธีทำงานของเธอเหรอ?” “คะ?” เธอเบิกตากว้างขึ้นด้วยความงุนงง “อย่าตีหน้าซื่อ...ก็...ที่เธอแกล้งโยนโทรศัพท์ออกมานอกลิฟต์ไง แล้วก็แกล้งตามมาเอาโทรศัพท์คืน เป็นการอ่อยเหยื่อ” เมื่อรู้ความหมายที่เขาบอกออกมา ดวงตาเธอก็วาวโรจน์ “ฉันไม่ได้โยนนะคะ มันลื่นหลุดจากมือต่างหาก” เธอหายใจเร็วด้วยความโมโห พยายามระงับความโกรธด้วยขันติที่มีอยู่เต็มเปี่ยม ท่องไว้ๆๆ นี่คือญาติของคุณชาย การด่าเขา ก็เหมือนด่าคุณชายด้วย... “ก็ได้...” เขายักไหล่ ก่อนที่พนักงานเสิร์ฟจะนำอาหารและเครื่องดื่มอีกชุดมาวางบนโต๊ะ “ขอมือถือคืนด้วยค่ะ” “อ๊ะ! อย่าเพิ่งสิ มันอยู่ในกระเป๋า แต่ขี้เกียจหยิบ รอก่อนนะ...ฉันยังไม่ได้กินอะไรเลย” เขาแสยะยิ้มที่มุมปาก เลื่อนจานข้าวที่พนักงานนำมาเสิร์ฟไว้ข้างหน้าตัวเอง แล้วตักกินอย่างสบายใจ
已经是最新一章了
加载中