บทที่ 21 ข้อแลกเปลี่ยนของซาตาน   1/    
已经是第一章了
บทที่ 21 ข้อแลกเปลี่ยนของซาตาน
“ดีเหมือนกัน...ฉันก็ยังไม่ได้กินข้าว สั่งอะไรง่ายๆ เผื่อด้วยละกัน” ติณณ์ตอบอย่างใจเย็น “แต่ว่า...คุณไม่รีบกลับเข้าไปทำงานเหรอคะ นี่มันบ่ายแล้วนะคะ?” “จะกินหรือไม่กิน?” “กินค่ะกิน...แต่ว่า...คุณจะกินอะไรล่ะคะ เอากระเพราไก่ไข่ดาวไหมคะ หรือจะเอาข้าวผัด ผัดคะน้า” เธอกวักมือเรียกพนักงานเสิร์ฟพร้อมดูเมนูอาหารไปด้วย “นี่เธอกินเป็นแต่อาหารสิ้นคิดหรือไง เอามานี่! ฉันจัดการเอง” เขาแย่งเมนูมาดูเองเมื่อพนักงานเสิร์ฟเดินมาถึง ก่อนจะสั่งอาหารไปสองถึงสามอย่างพร้อมน้ำดื่ม “คะ...คุณ...คุณ...สั่งไปตั้งเยอะ จะกินหมดเหรอคะ”เมื่อพนักงานเสิร์ฟเดินไป เธอก็ชะโงกหน้าไปถามเขาเสียงเบา พร้อมกับดูราคาอาหารแต่ละอย่างที่เขาสั่งด้วย เธอตาโต...เมื่อเห็นเลขสามหลักอยู่ท้ายชื่ออาหาร เขาสั่งไปตั้งหลายอย่าง มิต้องจ่ายเป็นพันหรือนี่! หญิงสาวแอบล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋า พร้อมกับเปิดดูใต้โต๊ะ พระเจ้า! เธอมีแบงค์ร้อยอยู่สามใบ ถึงจะหารกันคนละครึ่งก็คงไม่พอจ่ายอยู่ดี “เป็นอะไร?” เขาขมวดคิ้ว เมื่อเห็นเธอทำท่าลุกลี้ลุกลน “คือว่า...คือ...ฉัน...ไม่ได้พกเงินมาเยอะน่ะค่ะ คุณเล่นสั่งแต่อาหารแพงๆ ทั้งนั้นเลย คุณออกให้ฉันก่อนได้ไหมคะ แล้วฉันจะออกไปกดเงินมาคืนคุณทีหลัง” เขาชะงัก...เธอ...น่าจะชินแล้วไม่ใช่หรือ กับการมีคนจ่ายให้ อย่างน้อยก็เจ้าสัวทรงชัยคนหนึ่งล่ะ “ไม่ต้องห่วงเรื่องไม่เป็นเรื่องหรอกน่ะ ฉันสั่งเองฉันจะจ่ายเอง ที่ฉันเรียกเธอมานี่เพราะมีเรื่องจะคุยด้วย” “ค่ะๆ” เธอรีบนั่งตัวตรง เป็นจังหวะเดียวกับที่พนักงานเสิร์ฟทยอยเอาน้ำดื่มมาเสิร์ฟก่อน “ฉันจะขอแคนเซิลงานที่ตกลงกันไว้” “คะ!!” หญิงสาวอุทานตกใจ หน้าซีดเผือด ลำคอแห้งผาก “อะไร ทำไมต้องทำหน้าเหมือนว่าโดนฉันทำร้ายด้วย” เขาทำเสียงขึ้นจมูก ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอจะต้องทำท่าตกอกตกใจหรือหวาดกลัวราวกับเขาเป็นตัวเชื้อโรค “ก็...ก็คุณบอกว่า...” ปรารถนากลืนน้ำลาย ไม่ใช่เพราะหิวอาหารที่พนักงานเพิ่งจะเอามาเสิร์ฟ แต่เพราะกลัวผลกระทบจากสัญญานั่นจนหายหิวไปโดยปริยาย “คุณบอกว่า...ถ้าฉันทำงานเสร็จ คุณจะไม่เอาเรื่อง” “หือ?” ชายหนุ่มคาดไม่ถึงว่าเธอจะกลัวเขาแจ้งความถึงขนาดนั้น ทั้งๆ ที่เขาไม่ทันคิดถึงเรื่องนั้นด้วยซ้ำ เออ...ยัยนี่ดูซื่อบื้อกว่าที่คิดแฮะ เอาเรื่องที่เขาขู่คิดเป็นจริงเป็นจังไปได้ ใครมันจะมีเวลาขึ้นโรงขึ้นศาลด้วยเรื่องจิ๊บจ๊อยแบบนั้นกันเล่า? แต่เอาเถอะ...ในโลกนี้คงไม่มีใครซื่อจนเซ่อเหมือนเธออีกแล้ว ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นใครแสดงสีหน้าที่ออกมาจากจิตใต้สำนักแท้ๆ อย่างเธอมาก่อน เพราะทุกคนต่างก็สวมหน้ากากเข้าหากันทั้งนั้น! กลิ่นอาหารหอมฉุยเตะจมูก เขามองลำคอของเธอที่ดูเหมือนจะกลืนน้ำลายลงไปหลายอึกแล้วจึงรีบผายมือเชิญ เพราะคนเซ่อๆ แบบนี้อาจจะรอคำอนุญาตอย่างเป็นทางการ และเขาไม่อยากได้ยินเสียงท้องร้องของคนที่ร่วมโต๊ะด้วยให้อายแขกโต๊ะอื่น “ทำไมไม่กิน?” “คุณ...บอกเหตุผลก่อนได้ไหมคะ?” เธอกังวลจนกินไม่ลง “เธอนี่...ต่อรองเก่งจริงนะ ถ้าไม่กินฉันจะโทรเรียก 191 มาเดี๋ยวนี้ล่ะ” เขาแกล้งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋า หญิงสาวรีบหยิบช้อนขึ้นมา ก้มหน้าก้มตากินให้สมกับความหิวที่แม้จะลดลงไปกว่าครึ่งก็ยังต้องกินอยู่ดี เพราะเขาเล่นขู่ฟ่อๆ ด้วยตัวเลขที่ไม่เป็นมงคล หลังอาหารที่แสนฝืดคอ และบนโต๊ะเหลือแต่น้ำเปล่า เขาก็หยิบกระดาษสัญญาออกมากางบนโต๊ะ “เธอเอาสัญญามาด้วยหรือเปล่า?” “คะ?...ค่ะ....เอามาค่ะ” หญิงสาวรีบควานหากระดาษสัญญาที่พับไว้ในกระเป๋าสะพาย แล้วยื่นให้เขาทันที “นี่ค่ะ” ติณณ์จับสัญญาสองใบมาซ้อนกัน ก่อนจะฉีกกระดาษขาดดังแควก!! “คุณ...?” “ฉันจะไม่เอาเรื่องเธอ ไม่แจ้งตำรวจ แล้วนี่...” เขาเว้นวรรคไปนิดหนึ่งก่อนจะหยิบมือถือออกมากดกริ๊กๆๆ แล้วส่งให้เธอ “เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจ ฉันให้สิทธิ์เธอลบคลิปนั่นด้วยตัวเอง...กดสิ” “ค่ะๆ” เธอรีบกดปุ่ม O.K. แล้วส่งโทรศัพท์คืนให้เขาโดยเร็ว ก่อนจะฉีกยิ้มอย่างสบายใจได้เป็นครั้งแรก ที่จริง...เขาก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร แค่ทะนงตัวไปหน่อย อารมณ์ร้ายไปนิด แต่หลังจากเคลียร์คดีนี้แล้ว ก็คงไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีก มื้อเที่ยงที่ผ่านไป อาจแทนคำขอโทษที่คนอย่างเขาพูดไม่เป็นก็ได้ เฮ้อ....ค่อยยังชั่ว...ที่ต่อไปนี้จะไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นอีก “เอาล่ะ...ฉันได้ให้ในสิ่งที่เธอต้องการแล้ว” ชายหนุ่มยัดโทรศัพท์ลงในกระเป๋าเสื้อสูท มองหญิงสาวที่ฉีกยิ้มราวกับถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งแล้วแค่นยิ้ม “ต่อไป...ฉันก็จะขอในสิ่งที่ฉันต้องการบ้าง” “คะ?” หญิงสาวหุบยิ้มแทบไม่ทัน เมื่อใบหน้าหล่อเหลาที่ดูเหมือนจะอ่อนโยนลงเมื่อชั่วโมงที่แล้ว กลับไปเป็น “ไอ้คุณตีน” คนเก่าได้รวดเร็วแบบไม่น่าเชื่อ ชายหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู ก่อนจะมองหญิงสาวที่ทำหน้าเจื่อนๆ ด้วยแววตาเยียบเย็น ทว่าสิ่งที่ปรารถนามองเห็น คือความเป็นปรปักษ์เปิดเผย และคำพูดที่ออกจากปากเขาในวินาทีถัดมา ก็ทำให้เธอรู้ว่า ทำไมเขาจึงเลือกที่จะฉีกสัญญาฉบับนั้นทิ้ง “ฉัน...ขอให้เธอลาออกจากร้านอาหารของกรภัทรซะ และอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับญาติของฉันอีก ไม่ว่าจะกรณีใดๆ ไม่อย่างนั้น...เธอกับแม่ของเธอ จะไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขไปชั่วชีวิต” เมื่อกลับถึงบ้าน ระหว่างที่ปรารถนากำลังคิดใคร่ครวญถึงคำเตือนของติณณ์อยู่นั้น เธอก็สะดุ้งโหยงเมื่อมีเสียงเรียกเข้าทางโทรศัพท์จากหมายเลขที่ไม่คุ้นเคยปรากฏขึ้นบนหน้าจอ เธอวางมือจากข้าวของที่กำลังจัดเก็บใส่กล่อง เพราะเหลือเวลาเพียงสามวันเท่านั้นก็จะต้องย้ายออกจากที่นี่โดยถาวร ทั้งไม่ได้พบหน้ามารดามาได้สัปดาห์หนึ่งแล้วเหมือนกัน “สวัสดีค่ะ...” เธอกรอกเสียงลงไปอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก นอกจากเบอร์ของแม่ เพื่อนที่ร้านอาหาร คุณชายในฐานะผู้จัดการ และคุณติณณ์ เธอก็ไม่ได้เมมเบอร์ใครไว้เลย แม้แต่คุณกุลธร ซึ่งกำลังจะกลายเป็นพ่อเลี้ยงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า “ฉันเอง...” เสียงหวานๆ ทว่าเยียบเย็นตอบกลับมา “คะ?” “ฉันกวินตรา ชัดมั๊ย” เสียงปลายสายหงุดหงิดนิดๆ “เอ่อค่ะ...สวัสดีค่ะ” เธอรีบกล่าวสวัสดีอีกครั้ง ทั้งยังลืมตัวก้มศีรษะนิดๆ ราวกับสตรีผู้นั้นยืนอยู่ตรงหน้า “ฉันขอเบอร์เธอจากร้าน ได้ข่าวว่าเธอลางาน ก็พอดี...ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอ” “เอ่อ...ตอนนี้เลยเหรอคะ?” เธออึกอัก มองสภาพห้องที่ยังเก็บได้ไม่ถึงครึ่งด้วยความลำบากใจ “ฉันว่างแค่ตอนนี้ รีบมานะ ฉันจะรออยู่ที่.....” กวินตราเอ่ยชื่อคอฟฟี่ช็อปของตัวเอง ซึ่งเป็นที่ๆ พบกันครั้งแรก แล้ววางสายไป ปรารถนาเก็บโทรศัพท์ยัดใส่กระเป๋า ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน คิดว่าเพื่อนสนิทของคุณชายแต่ละคนช่างเป็นเจ้าเผด็จการเหลือเกิน ไม่ยอมให้เธอปฏิเสธเลยสักคำ หญิงสาวเดาไม่ออก ว่าระหว่างติณณ์และกวินตรา ใครน่ากลัวกว่ากัน คนหนึ่งเหมือนเสือที่ชอบตะปบขบกัดซึ่งๆ หน้า อีกคนหนึ่งเหมือนจระเข้ สงบนิ่งรองับเหยื่ออยู่ใต้น้ำ อย่างไรก็ตาม ปรารถนาเพิ่งจะสังเกตว่าคอฟฟี่ช็อปของกวินตรานั้น อยู่ในตึกที่ติดป้ายไฟตัวอักษรใหญ่เท่าบ้านหลังหนึ่งว่า “EMPIRE” ทั้งๆ ที่คุณชายเคยพาเธอมาที่นี่แล้วหนึ่งครั้ง แต่ ณ ขณะนั้น เธอไม่ได้สังเกตอะไรเลย แสดงว่าบริษัทของติณณ์เองก็คงจะอยู่แถวๆ นี้ เพราะถัดไปอีกสองช่วงตึก คือคอฟฟี่ช็อปซึ่งเขานัดเธอไปพบแล้วถึงสองครั้ง
已经是最新一章了
加载中