บทที่ 23 ลาออก
“อา....” กวินตราแสดงสีหน้าเศร้าสลด “ฉันเห็นใจเธอจริงๆ ฉันเองก็ถูกจับตาดูทุกฝีก้าวเหมือนกัน พ่อแม่ของพวกเราไม่เคยให้ทางเลือกใดๆ เลย”
“........”
“ยังโชคดีอยู่บ้าง ที่ฉันกับคุณเล็กไม่ได้รู้สึกว่าต้องฝืนใจเรื่องแต่งงาน” หญิงผู้สูงศักดิ์ทำทีถอนหายใจ ขัดกับน้ำเสียงที่ต้องการอวด
“ฉัน...เผอิญนึกได้ว่ามีธุระ ขอตัวก่อนนะคะ”
“อุ๊ย! อย่างนั้นหรือ…เชิญจ้ะ เชิญเลย”
ปรารถนาก้มลงหยิบเงินในกระเป๋า ตามจำนวนที่ปรากฏในเมนู วางทั้งเหรียญและแบงค์ไว้บนโต๊ะ พร้อมพนมมือไหว้อีกฝ่ายตามมารยาท
“ค่าน้ำมะพร้าวค่ะ ฉันไปนะคะ สวัสดีค่ะ”
“เฮอะ! อะไรกัน! นึกว่าจะแน่กว่านี้ซะอีก!” กวินตราเบะปาก หยิบรูปบาดตาบาดใจขึ้นมาฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วทิ้งลงในถังขยะ
กรภัทรนั่งมองจดหมายด้วยแววตาเลื่อนลอย
เขาอ่านเนื้อความซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยใจที่ไม่อยากจะเชื่อ ว่าสองวันให้หลัง หลังจากเหตุการณ์บนรถไฟฟ้าเธอโทรมาขอยกเลิกนัดมื้อเย็น และเขาได้รับจดหมายลาออกของปรารถนามาอีกฉบับหนึ่งในวันนี้
เธอให้เหตุผลสั้นๆ ว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ แต่ไม่ได้ให้หมายเลขบัญชีธนาคารหรือที่อยู่ใหม่ไว้ แม้แต่โทรศัพท์ก็ไม่มีใครติดต่อได้เช่นกัน
“พี่ปลาครับ รบกวนเชิญยศสินีมาพบผมด้วยนะครับ”
“ได้ค่ะ” คุณผู้ช่วยซึ่งกำลังจัดแฟ้มเสนองานบัญชี รีบรุดออกจากห้องตามตัวหญิงสาวมา และไม่ได้เข้าไปอีก เมื่อคิดว่าผู้จัดการต้องการคุยกับยศสินีตามลำพัง
“ยศสินี...วันนี้ปลั๊กได้เข้ามาที่ร้านหรือเปล่า?” เขาถามเพื่อนสนิทของปรารถนา ที่นั่งเรียบร้อยอยู่ตรงโซฟา
“เอ่อ...เข้ามาเมื่อช่วงเช้าค่ะ” ยศสินีออกจะตื่นเต้นเล็กน้อย เมื่อผู้จัดการเรียกมาพบในห้อง ซึ่งโดยปกติแล้ว เขาไม่เคยเรียกพนักงานคนใดเข้ามาที่นี่เลย หากมีอะไรสำคัญก็มักจะวานให้คุณผู้ช่วยไปบอก หรือไม่ก็เดินออกไปคุยกับพวกเธอข้างนอกด้วยตัวเอง
“เธอ...ได้พูดอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า?”
“เอ่อ...” หญิงสาวทำท่านึก แล้วสั่นศีรษะ “ไม่นะคะ บอกแต่ว่ามาส่งจดหมายลาแค่นั้นเองค่ะ แต่ผู้จัดการทราบแล้วนี่คะว่าปลั๊กขอลากิจจนถึงวันอาทิตย์”
“เธอบอกผมแบบนั้นเหมือนกัน” เขาลอบถอนใจ ดูท่าว่าปรารถนาจะไม่ได้บอกใครเลยว่าเธอลาออก นอกจากการยื่นจดหมายฉบับนี้เงียบๆ แม้แต่เพื่อนสนิทอย่างยศสินีก็ยังไม่รู้
“มี...อะไร...หรือเปล่าคะ?” ยศสินีถามด้วยเสียงไม่สู้ดี เมื่อเห็นสีหน้าวิตกกังวลของเขา
“ผมทำอะไรให้ปลั๊กไม่สบายใจหรือเปล่า?” เขากลับถามประโยคที่ไม่ได้เกี่ยวกันเลยขึ้นมา
“เอ่อ...ไม่นะคะ ปลั๊กชอบที่นี่มากค่ะ ผู้จัดการให้เงินเดือนเยอะ แถมขึ้นเงินให้ทุกเดือน แต่ว่า....” เธอนึกนึกขึ้นได้ พลางชะงักคำพูดไว้แค่นั้น ไม่รู้ว่าควรจะบอกเขาดีหรือไม่
“......” เขามองด้วยสายตาที่เป็นคำถาม
“ช่วงหลังๆ เหมือนปลั๊กจะมีเรื่องในใจค่ะ เกี่ยวกับโทรศัพท์ข่มขู่ เรื่องการทำร้ายร่างกายอะไรสักอย่าง”
“เล่าให้ผมฟังหน่อยสิ” เขาสะกิดใจขึ้นมา เพราะสังเกตเห็นเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่ไม่กล้าฟันธง
เรื่องราวที่แท้จริงจะเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ถ้อยคำที่ออกจากปากของยศสินีนั้นมีอยู่ว่า....
ปรารถนาประสบอุบัติเหตุอย่างหนึ่ง ซึ่งพัวพันกับคนอีกคนหนึ่งจนเกิดคดีความและมีการฟ้องร้องกันขึ้นมาในข้อหาทำร้ายร่างกาย ทว่าฝ่ายนั้นไม่ยอมเพราะเป็นถึงผู้มีอิทธิพล และมีการข่มขู่ให้เธอถอนฟ้อง ปรารถนาที่ไร้ซึ่งเงินและอำนาจ ไม่อาจปรึกษาเพื่อนหรือจ้างทนาย จึงตกอยู่ในห้วงแห่งความยากลำบาก...
“นี่คือจดหมายของเธอ” กรภัทรเลื่อนจดหมายลาออกที่เขียนด้วยลายมือไปให้ยศสินี ซึ่งต้องลุกขึ้นมาจากโซฟาหยิบมันไปดู
ก่อนที่เธอจะทำตาโตเท่าไข่ห่าน
“ปลั๊กลาออก!” เธออุทานตกใจ “มะ...ไม่น่าเป็นไปได้...ตะ...แต่...นี่ก็เป็นลายมือปลั๊กจริงๆ”
“ผมพยายามโทรหาเธอหลายครั้ง ก็โทรไม่ติด เธอมีเบอร์อื่นอีกหรือเปล่า?”
“ตายจริง! โดนข่มขู่จนถึงขนาดต้องย้ายบ้านเลยเหรอคะ เอ่อ…ปลั๊กก็มีเบอร์เดียวนั่นแหละค่ะ เธอบอกว่าพกสองซิมมันเปลือง โอยๆๆ ขออย่าให้ปลั๊กเป็นอะไรเลย”
กรภัทรถอนหายใจเป็นครั้งที่ร้อย เมื่อเห็นแล้วว่า แม้แต่ยศสินีที่เป็นเพื่อนสนิท ก็ไม่อาจบอกอะไรได้มากกว่านี้ ซ้ำยังตื่นตระหนกตกใจจนพูดไม่ได้ศัพท์ ก่อนจะตัดสินใจถามคำถามสุดท้าย
“ผมทราบมาว่าแม่ของเธอทำงานที่โรงพยาบาล ช่วยบอกชื่อหน่อยได้ไหม ผมจะไปตามหาเธอที่นั่น”
“คุณสุภาวดีลาออกได้สองสัปดาห์แล้วค่ะ”
นี่คือคำตอบที่กรภัทรได้รับ จากการมาติดตามถามข่าวของปรารถนาที่โรงพยาบาล
แม่ของเธอชื่อสุภาวดี เคยทำงานเป็นผู้ช่วยพยาบาลที่นี่จริง แต่ลาออกไปแล้ว และไม่ได้เขียนเหตุผลในใบลาออก เดาว่าคงจะเพราะย้ายที่อยู่อย่างที่เธอเขียนไว้ในจดหมาย
คุณสุภาวดีอาจจะย้ายไปอยู่ที่บ้านหลังใหม่ก่อน ส่วนเธอ หากต้องเดินทางมาทำงานจากบ้านหลังใหม่ อาจต้องตื่นแต่เช้ามากขึ้น ดังนั้นจึงไม่อาจเสียเวลาไปกับการเดินทาง ทั้งไม่กล้ารับปากเมื่อเขาชวนเธอทำงานที่บริษัท และมีท่าทีแปลกๆ ในระยะหลัง แน่นอนว่า คนที่ขยันและมีความสามารถอย่างปรารถนา หางานดีๆ ทำได้ไม่ยากแน่
เขาไม่มีกะจิตกะใจจะเข้าร้านในวันนี้ จึงเลือกที่จะกลับไปพักผ่อน ทว่าคงจะกลับผิดเวลา จึงพบว่าครอบครัวของกวินตรามารับประทานอาหารเย็นที่บ้าน
“สวัสดีครับคุณอา สวัสดีกวิน” เขาหอมแก้มมารดาเป็นการทักทาย พร้อมกล่าวสวัสดีพิชัย วาสนา และกวินตรา สามคนพ่อแม่ลูกที่นั่งร่วมโต๊ะหน้าตาชื่นมื่น
“แหม...ยิ่งเห็นยิ่งงามนะคะคุณชาย” วาสนายิ้มแย้มกล่าวชม หลิ่วตาไปยังบุตรสาวที่นั่งยิ้มเขินๆ เป็นเชิงหยอกเย้า
ผิดกับกรภัทรที่ยิ้มไม่ออก นอกจากเรื่องของปรารถนาจะรบกวนจิตใจเหลือคณาแล้ว การที่มีคนมาตอกย้ำเรื่องใบหน้าที่สวยราวอิสตรีของเขา ยิ่งทำให้เขาไม่สบอารมณ์มากขึ้น
เขาไม่ได้เกลียดสิ่งที่หลอมรวมจากยีนของพ่อและแม่ แต่ก็ทำใจให้ชอบใบหน้าสวยๆ นี้ไม่ได้เหมือนกัน เพราะมันดูไม่สมชายชาตรี และแม้จะโกรธเพียงใด ทว่าในสายตาคนอื่น ก็ยังดูนุ่มนวลงดงาม
เขาอยากมีโครงร่างที่บึกบึน รูปร่างปัจจุบันแม้จะมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงสวยงาม แต่ก็เพรียวเกินไป ใครๆ จึงมักชอบเรียกเขาว่า “คุณชาย” ฟังดูแล้วสะโอดสะอง ไม่เห็นจะน่าภูมิใจสักนิด
“วันนี้ไม่ได้เข้าร้านเหรอคะเล็ก?” กวินตราช้อนตาขึ้นถาม ร่ำๆ อยากจะรู้ให้ได้โดยเร็วว่าปรารถนาจะลาออกอย่างที่รับปากไว้หรือยัง แต่ก็หวาดหวั่นในใจ หากท่าทางเซื่องซึมของเขา เป็นเพราะนังเด็กแว่นนั่น
“วันนี้เป็นโอกาสพิเศษอะไรหรือเปล่าครับ?” เขาไม่ได้ตอบคำถามเพื่อนสาว หากแต่ถามขึ้นมาลอยๆ
ยกน้ำขึ้นดื่มดับกระหาย หากไม่มีเรื่องคอขาดบาดตายแล้ว เขาจะได้ขอตัวขึ้นไปพักผ่อนบนห้อง
“ก็ต้องพิเศษมากน่ะสิลูก พิเศษจนแม่แทบจะตกเก้าอี้เลยล่ะ จริงไหมคะคุณวาด” หม่อมวิลาวัณพยักเพยิดกับวาสนา
“ใช่ค่ะ...คุณชายคงจะยังไม่รู้...เรื่องประมุขเอ็มไพร์กรุ๊ปจะแต่งงาน”
“ถ้าเป็นเรื่องนี้ผมทราบแล้วครับ”
“ว้ายตาเถร!” สองสาววัยทองร้องขึ้นมาพร้อมกัน
“แปลกใจอะไรล่ะคุณก็...คุณชายกับติณณ์เป็นเพื่อนสนิทกันนะ หนุ่มๆ น่ะ เขาไม่มีอะไรปิดบังกันหรอก จริงไหม?” พิชัยยิ้มบางๆ ให้ชายหนุ่ม
“ครับ ผมทราบจากติณณ์จริงๆ”
“คุณเล็กไม่เห็นบอกแม่เลยนี่ลูก” หม่อมวิลาวัณตัดพ้อบุตรชาย ด้วยเหตุผลที่ว่า ...
“แม่กับคุณวาสนาจะได้เตรียมรับมือกับความเคลื่อนไหวของตลาดหลักทรัพย์ได้ทันท่วงที”
“อาว่า...วันนี้คุณชายดูเหนื่อยๆ คงทำงานมาหนักกระมัง”