บทที่ 26 สงครามบนโต๊ะอาหาร   1/    
已经是第一章了
บทที่ 26 สงครามบนโต๊ะอาหาร
ปรารถนามัวแต่ตกใจ ลืมยกมือไหว้สวัสดีเขาตามมารยาท “ผู้จัดการ...มา...ทำอะไรที่นี่คะ?” “ปลั๊กต่างหาก...ทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่?” ปรารถนากลั้นก้อนสะอื้นไว้ในลำคอ ดูเอาเถิด...แม้ยามเรียกชื่อเธอก็ยังอ่อนโยนถึงเพียงนี้ ประเดี๋ยวความปลาบปลื้มก็พัฒนาขึ้นมาหรอก! “ปลั๊ก...มางานแต่งงานค่ะ” เธอตอบแล้วก้มหน้างุด คำตอบของเธอไม่สอดคล้องกับเหตุผลที่เขียนไว้ในจดหมายลาออกเอาเสียเลย เขาต้องคิดว่าเธอเป็นจอมโกหกแน่ๆ “หือ? งานแต่งงาน?” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว แล้วดวงตาก็เบิกกว้าง เมื่อนึกถึงชื่อของเจ้าสาวในการ์ดเชิญ สุภาวดี..... “คุณสุภาวดีลาออกได้สองสัปดาห์แล้วค่ะ” เสียงของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลดังขึ้นมาในความคิด เขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนที่หัวใจจะค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพปกติ “ปลั๊กขอโทษค่ะ ที่ไม่ได้ลาออกล่วงหน้า ทำให้ผู้จัดการกับเพื่อนๆ ต้องลำบาก” เธอเงยหน้าขึ้นมองพร้อมพนมมือไหว้ขอโทษ “ใช่ครับ ลำบากมาก” เขาพยักหน้ารับ กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ปลั๊กผิดนัดทานข้าวกับผม ลาออกไปโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ทิ้งไว้แค่จดหมายฉบับเดียว โทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้” “ปลั๊ก...ต้องกราบขอโทษจริงๆ ค่ะ” เสียงของเธอเจือสะอื้น รู้ดีว่าการที่เธอลาออกกะทันหัน พนักงานที่ร้านจะต้องเหนื่อยขึ้นกว่าเดิมมาก โดยเฉพาะเขาซึ่งต้องเฟ้นหาพนักงานคนใหม่มาแทนที่ “รู้ไหมว่าผมเป็นห่วงเธอแค่ไหน” เขาจ้องมองดวงตาคู่สวยที่น้ำตาเอ่อคลอเบ้าอย่างตัดพ้อ “ผมคิดว่าเธอไม่มีความสุขกับการทำงาน คิดว่ามีใครขู่ทำร้ายหรือเปล่า และเสียใจมากที่เป็นที่พึ่งของเธอไม่ได้เลย” “ผู้จัดการ!” หญิงสาวเรียกเขาเสียงแผ่ว หัวใจเต้นรัวจนปวดหนึบ ยากจะห้ามความรู้สึกมิให้พัฒนามากไปกว่า “ความปลาบปลื้ม” ได้ เขากำลังจะแต่งงานกับคุณกวินตรานะ “ผมไม่ใช่เจ้านายของเธอแล้ว...” กรภัทรก้มลงหยิบกระเป๋าแว่นตาขึ้นมาเปิดดู โล่งใจที่มันยังไม่แตก ใช้นิ้วปาดน้ำตาที่ปริ่มๆ จะไหลออกมาของเธอเบาๆ แล้วสวมแว่นตาทับลงไป “สวมไว้ดีกว่านะ ผมไม่ชอบให้คนอื่นมองเธอเท่าไหร่” “เอ่อ...แต่พี่ช่างแต่งหน้าบอกว่า...” “พวกเขาโกหก” เขารีบตัดบท ก่อนจะตั้งคำถามกับเธอว่า “ปลั๊กรู้จักครอบครัวใหม่แค่ไหน?” “ปลั๊ก...เคยพบคุณกุลธรค่ะ ท่านใจดีกับแม่มาก” เมื่อคิดว่าเขารู้ความจริงแล้ว เธอก็ไม่มีอะไรจะปกปิดอีก “แล้วคนอื่นๆ ล่ะ?” “ลูกๆ ของท่าน...ถึงเราจะยังไม่เคยพบกันสักครั้ง แต่ปลั๊กคิดว่าก็คงจะเป็นคนดีเหมือนกันค่ะ” กรภัทรถอนหายใจ คิดอยู่ในใจเหมือนกันว่าปรารถนาน่าจะยังไม่รู้ว่าเธอได้พบลูกของคุณกุลธรมาแล้วหลายครั้ง เพราะไม่อย่างนั้นเธอต้องมีปฏิกิริยาอะไรบ้างที่เขาจะกลายมาเป็นญาติของเธอ ใจเขากระหวัดคิดถึงติณณ์ ญาติหนุ่มของเขาไม่เคยปริปากเรื่องนี้ แต่อาจจะรู้แล้วก็ได้ว่าเธอคือว่าที่สมาชิกใหม่ของครอบครัว จึงได้ทำท่ารังเกียจเดียดฉันท์อย่างออกนอกหน้า คนดีหรือ? ใจดีหรือ? เธอไม่รู้หรอกว่าคนในอาณาจักรเอ็มไพร์กรุ๊ปล้วนแต่เป็นเสือสิงห์กระทิงแรด ที่พร้อมจะห้ำหั่นกันตลอดเวลาแม้จะนั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกันก็ตาม แม้แต่เขาซึ่งเป็นหนึ่งในทายาทโดยตรง ยังกระเสือกกระสนออกมาจากสังคมไร้หัวใจนั่น อย่าได้หวังว่าที่แห่งนั้น จะมีอากาศให้เด็กสาวผู้บริสุทธิ์อย่างเธอหายใจ “ถ้าอย่างนั้น...ปลั๊กไปเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันเวลา” “แต่...ผู้จัดการคะ” เธอละล้าละลัง อยากจะคุยกับเขาอีกนิด แต่ดูเหมือนว่าเขาเองก็กำลังรีบ “ผมก็จะไปเหมือนกัน ลาก่อน...” กรภัทรไม่เปิดโอกาสให้เธอได้ทักท้วง เขาเพียงแต่ถอนหายใจยาวๆ ครั้งหนึ่งแล้วเดินจากไป ปรารถนามองตามร่างสูงที่เดินลับหายไปทางเรือนรับรองอีกหลังอย่างใจหาย เขาไปแล้ว!! เธอยังไม่ได้ถามให้ละเอียดเลยว่า เหตุใดเขาจึงมาที่นี่ มาทำอะไร มากับใคร เขาสบายดีหรือไม่ คำถามที่สมควรจะถาม เธอยังไม่ได้พูดออกไปสักคำ เหมือนเขาจะโกรธ แต่ก็สมควรแล้ว เพราะเธอทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้จริงๆ แลกกับความโกรธนั้น ก็ยังดีกว่าเขาต้องเสียใจที่ไม่อาจทำธุรกิจร้านอาหารได้ดั่งฝัน เพราะภาพนั้นเป็นต้นเหตุ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จัดการกับสภาพจิตใจของตัวเอง เดินตัวตรงไปยังห้องโถงซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน ....เงียบ...ผิดปกติ ไม่มีเสียงเพลงอย่างที่ควรจะเป็น ไม่มีซุ้มให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวยืนรอรับแขกเหรื่อ มีเพียงความเงียบและพนักงานบริการยืนอยู่หน้าห้องเท่านั้น “คุณปรารถนาหรือเปล่าครับ ผมนภดล เลขาของท่านประธานครับ” “สวัสดีค่ะ” เธอพนมมือไหว้อย่างนอบน้อม ยืนเก้ๆ กังๆ ไม่รู้จะไปทางไหน “ท่านประธานแจ้งว่า ให้คุณหนูเข้าไปช่วงงานเลี้ยงเลยก็ได้ครับ ระหว่างนี้ท่านกำลังประชุมผู้ถือหุ้นอยู่ เกรงว่าคุณหนูจะเบื่อเสียก่อน” “เอ่อ...คือ...อย่าเรียกว่าคุณหนูเลยค่ะ เรียกว่าปลั๊กก็ได้ค่ะ” เธอกระดาก เมื่อผู้อาวุโสกว่าเรียกตนเองอย่างยกย่องเช่นนั้น “ครับ คุณปลั๊ก...” “ปลั๊กขอเข้าไปเลยได้ไหมคะ คือ...ปลั๊กอยากเจอแม่น่ะค่ะ” “ได้สิครับ...ถ้าอย่างนั้นก็ตามผมเข้าไปข้างในเลย” นภดลยิ้มให้กำลังใจ “ตกลงว่าคุณสุภาวดีทำงานเป็น ผู้ช่วยพยาบาล ไม่ใช่ พยาบาล อย่างนั้นใช่ไหมคะ?” หม่อมวิลาวัณจงใจเน้นเสียงหนักของคำสำคัญในคำถาม หลังจากได้เห็นหน้าของคนที่จะมาใช้ชีวิตกับประธานเอ็มไพร์กรุ๊ปมาเกือบจะยี่สิบนาทีแล้ว นี่อาจไม่ใช่งานแต่งงาน แต่เป็นการเปิดตัวแม่บ้านในที่ประชุมผู้ถือหุ้นและคู่ค้าทางธุรกิจ โต๊ะอาหารวางแนวยาวให้ผู้เข้าร่วมงานนั่งประจันหน้ากัน เกือบจะเป็นการประชุมผู้ถือหุ้นไปจริงๆ หากว่ามีแฟ้มเอกสารวางอยู่ ทว่าบนโต๊ะเป็นอาหารรสเลิศหลากหลายชนิด พร้อมแชมเปญ เสียแต่ว่าบรรยากาศในห้องทำให้รสชาติของมันไม่ถูกปากของเหล่าสักขีพยานเท่าที่ควร ยกเว้นเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ เจ้าสัวทรงชัย ซึ่งก็คืออนิษการ์ หม่อมไม่ได้โกรธที่เด็กนั่นกินอย่างเอร็ดอร่อย เพราะเจ้าสัวมีลูกชายช่วยธุรกิจอยู่แล้วห้าคน ลูกสาวคนเดียวก็คงจะถูกประคบประหงมเต็มที่และรอวันรับมรดกจากพ่อแม่เท่านั้น สตรีหน้าตาพื้นๆ อย่างว่าที่คุณนายเอ็มไพร์กรุ๊ปต่างหากที่ขัดหูขัดตานางเป็นยิ่งนัก อย่างน้อยก็น่าจะรู้สึกรู้สากับบรรยากาศในห้องนี้บ้าง ดูสงบเกินไป...เหมือนคลื่นใต้น้ำที่ซ่อนความร้ายกาจเอาไว้ “ดิฉันจบแค่มอปลายเท่านั้นค่ะ แล้วก็ไปเรียนผู้ช่วยพยาบาลเพิ่มเติม” สุภาวดีตอบคำถามที่รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจกดเธอให้ต้อยต่ำ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบุตรสาวจะไม่เข้ามาร่วมงานในตอนนี้ ทว่า สุภาวดีไม่อาจมองเห็นว่า ปรารถนาที่กำลังจะก้าวเข้ามาได้ยินประโยคนั้นเข้า กำลังยืนฟังอยู่หลังประตู ปรารถนายืนแอบอยู่ตรงนั้น สะท้อนใจกับงานแต่งงานของแม่ที่ต่างจากที่เธอวาดฝันไว้อย่างสิ้นเชิง มีเพียงใบหน้าอ่อนละมุนของแม่เท่านั้นที่ทำให้เธอรู้ว่า แม่มีความสุขที่จะเดินอยู่บนเส้นทางนี้ ถ้าหาก...พวกเขา บังอาจดูถูกแม่ของเธอล่ะก็...เธอก็จะพาแม่กลับไป คุณกุลธรจะต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้! “เก่งนะคะ ที่ทำให้ท่านประธานแต่งงานด้วยได้ เพราะตั้งแต่มาดามเสียชีวิต ก็ไม่มีวี่แววเลยว่าหนูลนาจะได้แม่เลี้ยงใหม่” วาสนาไม่กล้าเอ่ยชื่อติณณ์ จึงเหน็บแนมโดยอ้างชื่อของยลนาแทน “บางทีคุณพ่อก็ไม่ได้ชอบคนเก่งนะคะ แต่ชอบคนดีมากกว่า” ยลนาซึ่งไม่ถูกชะตากับสองแม่ลูกหุ้นส่วนบริษัทเท่าใดนักรีบตอบโต้กลับไป
已经是最新一章了
加载中