บทที่ 29 ผมจะไม่ปล่อยคุณไป   1/    
已经是第一章了
บทที่ 29 ผมจะไม่ปล่อยคุณไป
“บอกตรงๆ ผมเพิ่งจะเคยเห็นคนใจเย็นอย่างเขาบ้าระห่ำแบบนี้ สงสัยคุณชายจะชอบหนูปลั๊กจริงๆ ถ้าเป็นอย่างนั้น คุณจะว่ายังไง” กุลธรหันไปถามภรรยาเป็นจริงเป็นจัง “ดิฉัน...เป็นห่วงปลั๊กค่ะ เด็กคนนั้น ไม่เคยเจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้ แกคงจะตั้งตัวไม่ติดที่จู่ๆ ก็ต้องตกเป็นเหยื่อของใครต่อใคร โดยเฉพาะหม่อมวิลาวัณ” “ผมขอโทษ” เขากุมมือเธอไว้เบาๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงลุแก่โทษและแววตาเสียใจ “ผมต่างหาก ที่เป็นคนทำให้ทุกอย่างพังไปหมด ผมแค่...อยากชดเชยให้....” “ชู่ว์...” สุภาวดีจุ๊ปากเบาๆ “ฉันเข้าใจค่ะ แต่ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไปนะคะ” ประธานเอ็มไพร์กรุ๊ปได้แต่ถอนใจให้กับความกังวลที่เกาะกุมหัวใจมานานหลายปี ใครเลยจะรู้ว่าทุกวันคืนที่ผันผ่าน เขาต้องทนอยู่กับความรู้สึกผิด ความหวาดกลัว และความไม่มั่นคง ใครเลยจะรู้ว่าเสียงหัวเราะนั้นแปร่งปร่าจนยากจะควบคุม ถ้าเพียงแต่...ได้รับการให้อภัย ถ้าเพียงแต่...จะได้รับการให้อภัย “ปลั๊ก! เดี๋ยวก่อนครับ รอผมก่อน” กรภัทรวิ่งตามหญิงสาวออกมา ขณะที่คนขาสั้นกว่าพยายามเต็มที่ในการก้าวเดินให้มั่นคง แทนการวิ่งอย่างที่เธอนึกจะทำตั้งแต่แรก เธออยากวิ่ง วิ่งไปให้ไกลจากโลกที่เธอไม่รู้จัก จากเหล่ามนุษย์ที่เธอไม่เคยพบเจอมาก่อนเลยในชีวิต ทั้งไม่รู้ว่า ณ ขณะนี้ เธอรู้สึกเช่นไร “ปลั๊ก” เขายื่นมือยาวๆ คว้าแขนเธอไว้ ปรารถนาสะบัดแขนหลุดในทันที เธอถอยหลังกรูดมองเขาอย่างไม่ไว้ใจ “ผมขอโทษ...” “ค่ะ” เธอตอบเสียงขื่น เพียงแค่เห็นคุณชายซึ่งใบหน้าและดวงตามีแต่ความเศร้าสลด ความโกรธก็เปลี่ยนเป็นความสงสารได้อย่างน่าโมโห แม้จะเป็นละครฉากหนึ่ง แม้จะเป็นตัวละครตัวหนึ่ง แต่เธอซึ่งไม่เคยโกรธใครก็โกรธเขาไม่ลง ยิ่งยอมรับว่า “ปลาบปลื้ม” เขามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเจ็บในหัวใจตัวเองมากเท่านั้น คำขอโทษของเขา คงจะหมายถึงจูบเมื่อครู่ ที่เขาต้องแสร้งแสดงละครตบตาคนอื่น ราคาหุ้นของพวกเขา ก็คงจะขึ้นอยู่กับละครฉากนี้ด้วยเหมือนกัน เพียงแต่เธอไม่เข้าใจ ใครได้ ใครเสีย เล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงทางธุรกิจ เหตุใดพวกเขาจะต้องใช้ความรู้สึกของตัวองแลกกับมัน “ปลั๊กจะไม่ถามผมเลยหรือ...ว่าผมทำแบบนั้นเพราะอะไร” “ปลั๊กไม่ทราบค่ะ ว่าพวกคุณกำลังเล่นเกมอะไร แต่...แต่...ปลั๊กไม่ชอบเลย...ปลั๊กไม่อยากให้แม่แต่งงานเลย ปลั๊กไม่อยากมาอยู่กับแม่ ปลั๊กกลัว...” เธอปาดหยดน้ำที่ปริ่มขอบตา พยายามแล้วที่จะไม่ร้องไห้ออกมา ทว่าเมื่อเห็นแววตาสำนึกผิดของเขา ก็ทั้งโกรธทั้งสงสาร ถึงอย่างไร...คุณชายก็มีอิทธิพลกับเธอเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อน ตอนนี้ หรือตอนไหน คนที่เขาจะต้องเคลียร์...ไม่ใช่เธอ แต่เป็นหม่อมวิลาวัณ มารดาของเขาต่างหาก เขาคงยังไม่อยากแต่งงาน หรืออาจจะไม่ได้ชอบกวินตรา แต่เธอคงช่วยได้เพียงเท่านี้ “ปลั๊กคงต้องบอกลาผู้จัดการจริงๆ แล้วนะคะ ต่อไปนี้เราคงไม่ได้พบกันอีก เพราะเราคงเป็นญาติกันแต่เพียงในนามเท่านั้น” เธอหมุนตัวกลับ แม้คำกล่าวลานั้นจะไม่ได้ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ แต่ก็ดีใจที่ตัวเองยังพอมีศักดิ์ศรีเหลืออยู่ “ผมขอโทษ...ที่ไม่ได้ทำทุกอย่างตามขั้นตอน” กรภัทรยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ สายตาจับจ้องอยู่บนแผ่นหลังของเธอซึ่งชะงักฝีเท้าหยุดยืนอยู่กับที่ “ผมไม่ได้จูบปลั๊กเพราะเหตุผลอื่น ไม่เกี่ยวกับแม่ ไม่เกี่ยวกับเอ็มไพร์กรุ๊ปหรือใครทั้งนั้น ผิดด้วยหรือ...ที่ผมชอบปลั๊ก...” หัวใจของเธอชาวาบ ขาแทบจะยืนไม่ติดพื้น “ผม...ก็แค่ผู้ชายธรรมดา ที่อยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง อยากใช้ทั้งชีวิตกับคนที่ผมรัก แต่ผม...คงไม่คู่ควรกับปลั๊กสินะ” น้ำตาของเธอร่วงแหมะ เมื่อได้ยินเสียงตัดพ้อของเขา นี่โลกกลับตาลปัตรไปแล้วหรือไร คนที่พูดประโยคอันเศร้าสร้อยนั้น ถึงได้เป็นสุภาพบุรุษที่เพียบพร้อมอย่างคุณชายกรภัทร “อย่าบอกว่าเราจะไม่ได้พบกันอีก เพราะผมจะไม่ปล่อยปลั๊กไปแน่ๆ” ปรารถนาไม่กล้าหันไป หลังจากฟังคำสารภาพที่สร้างความวาบหวามให้เธอนั้นแล้วก็ได้แต่ยืนนิ่ง กระทั่งได้ยินเสียงหมุนตัวและเสียงย่ำเท้าเบาๆ ห่างออกไป จึงได้ถอนหายใจออกมา น้ำตาพลันเหือดแห้งไปจากใบหน้าที่แดงก่ำและเขียวคล้ำสลับกัน เกือบแล้ว...เกือบจะหยุดหายใจแล้ว ทว่าทำไมหัวใจถึงได้เต้นดังตุบๆๆๆๆ จนแม้แต่ตัวเองยังได้ยิน เป็นครั้งแรก ที่หญิงสาวรู้สึกว่าวันเวลาช่างยาวนาน และในหนึ่งวัน เธอต้องเผชิญกับความรู้สึกอันหลากหลายจนแทบจะยืนไม่อยู่ ทว่า...ใช่จะมีแต่เธอเท่านั้น เมื่อกลับถึงคฤหาสน์หลังงาม หม่อมราชวงศ์กรภัทรก็ได้พบกับหม่อมวิลาวัณที่นั่งหน้าตูมรออยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่เห็นบุตรชายก้าวขึ้นมาบนคฤหาสน์ นางก็ขว้างแจกันดอกไม้ลงพื้นดังเพล้ง! จนแม่บ้านที่ยืนปรนนิบัติต้องล่าถอยออกไป กรภัทรตกใจไม่น้อย แต่ไหนแต่ไรมารดาไม่เคยโกรธถึงขั้นทำลายข้าวของ นี่ถึงกับทุ่มแจกันใบละหมื่นทิ้ง แสดงว่าท่านเองก็ถึงขีดสุดแล้วเหมือนกัน “ทำไม...คุณเล็ก...ต้องทำกับแม่แบบนี้” เอาแล้วไง...บีบน้ำตาอีกแล้ว “เรื่องอะไรครับ...เรื่องของกวิน หุ้น หรือว่าเธอ” เธอ ของเขา ก็คือปรารถนา แสร้งถามไปทั้งๆ ที่ทั้งสามเรื่องที่กล่าวมาล้วนเกี่ยวพันกันหมดสำหรับท่าน แต่สำหรับเขามันไม่ใช่ “นี่เป็นเรื่องที่คุณเล็กทำให้แม่เสียใจมากที่สุด” “แสดงว่ายังมีเรื่องอื่นที่ผมเองก็ทำให้คุณแม่เสียใจใช่ไหมครับ?” หม่อมวิลาวัณสะอึกไปเมื่อบุตรชายย้อนถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ถึงอย่างไรนางก็ไม่อยากให้ลูกชายโกรธ แม้ภายนอกเขาจะดูนุ่มนวลสุภาพ แต่ใครจะรู้ดีเท่านาง ว่าเนื้อแท้นั้น คุณเล็กของเธอดื้อเงียบและเย็นชาแค่ไหน เขาไม่เคยโกรธ ไม่เคยบ่น หากแต่ก็ไม่มีใครบังคับเขาได้เหมือนกัน “ผมพูดชัดเจนแล้วนะครับ ว่าผมไม่ได้คิดอะไรกับกวินตรา ไม่เคยคิด และไม่มีวันคิด ผมคิดว่าผมพูดกับเธอเข้าใจแล้ว แต่เหตุการณ์วันนี้ทำให้ผมรู้ว่า ผมกำลังถูกบีบบังคับทางอ้อม ในวันและเวลาที่ไม่สมควร เพื่อผลประโยชน์ของใครบางคน” เขากล่าวทั้งมองดูมารดาที่นั่งก้มหน้าซ่อนสายตาหลุกหลิกด้วยความผิดหวัง “แม่ครับ...ผมไม่สนใจตำแหน่งประธานของเอ็มไพร์กรุ๊ป ต่อให้แม่พยายามแค่ไหน ผมก็จะไม่เป็นเครื่องมือแย่งชิงอำนาจของแม่ ได้โปรดอย่าบังคับผมเลยนะครับ” “แต่ต้องไม่ใช่เด็กคนนั้น...” เสียงของมารดาดูแคลนเต็มที่อย่างที่เขาคิดไว้ หากแต่เขาไม่ได้เก็บความรู้สึกของท่านมาคิด กลับพูดในสิ่งที่ทำให้หม่อมวิลาวัณแทบร้องกรี๊ดว่า “เรื่องนี้ผมก็ไม่มีอำนาจตัดสินใจเหมือนกัน อยู่ที่เธอจะรับรักผมหรือไม่ก็เท่านั้นเอง” สองวันหลังจากนั้น คฤหาสน์ของตระกูลเอ็มไพร์กรุ๊ป ก็ได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ในบ้านอย่างเป็นทางการ ปรารถนาเพิ่งจะได้เจอมารดาก็วันนี้ เธอแทบจะรู้สึกว่าแม่และเธอดูห่างเหินกันอย่างไม่น่าเชื่อ อาจเป็นเพราะเมื่อก่อนยังได้กินอาหารเช้าด้วยกันบ้าง แต่หลังจากที่แม่ประกาศแล้วว่าจะแต่งงาน ก็เสมือนท่านทิ้งเธอไว้คนเดียว เธอมิได้โทษคุณกุลธรในข้อนี้ อย่างไรเสียแม่ก็ไม่ต้องลำบากเรื่องค่าใช้จ่าย แม้ว่าครึ่งหนึ่งในบ้าน จะเป็นเงินที่เธอหามาได้ด้วยงานพิเศษก็ตาม อะไรที่แม่ทำแล้วมีความสุข เธอเห็นด้วยทั้งนั้น เพียงแต่... ทำไม...จะต้องมีจอมอหังการ์อย่างเขา เป็นสมาชิกคนหนึ่งในคฤหาสน์หลังนี้ด้วย
已经是最新一章了
加载中