ตอนที่ 4
“ท่านขุนขอรับ” แก้ววิ่งเข้ามาสีหน้าตื่นป้องปากกระซิบข้างหูภาพย์ที่เอียหูรับฟังทำให้ข้าวมองดูอย่างสงสัยแต่ก็ไม่ใส่ใจเลื่อนหน้าหนีมองบรรยากาศรอบข้าง
“อืม” ภาพย์พยักหน้ารับก่อนแก้วจะลดตัวลงกุมมือยืนอยู่ห่างๆรอผู้เป็นนาย ภาพย์หันกลับมาบอกสร้อยทองกับข้าวที่ทำทีไม่มองหน้าตน “ข้ามีกิจสักประเดี๋ยวจะมารับเจ้าทั้งสองกลับเรือน เชิญเจ้าทั้งสองหยิบจ่ายใช้สอยชมตลาดรอได้หรือไม่”
“เชิญขุนภาพย์ทำกิจของตนเถิด ข้ากับแม่จันทร์หอมจักชมตลาดสักประเดี๋ยวเช่นกัน หาได้เร่งรีบไม่” สร้อยทองยิ้มรับตอบกลับ
“ใครว่าร้อนจะตาย ดูแดดสิพาดำกันพอดี ร้อนตับปลิ้นขนาดนี้ทำอย่างกับตลาดติดแอร์” แม้จะเข้าใจอะไรมากขึ้นแต่ไม่กระจ่างเสียหมด ความกวนของข้าวยังไม่หมดไปง่ายๆ
“กล่าวอันใดของเจ้า” สร้อยทองหันมองข้าวที่อมยิ้มส่งกลับทำทีไขสือก่อนหุบยิ้มเมื่อสบตากับภาพย์
“ข้าจะรีบมา” ภาพย์หันหลังกลับเดินนำคนของตนออกไป ข้าวยืนกอดอกมองตามก่อนยักไหล่แบะปากหันมาสบตากับสร้อยทองที่ยืนมองเธออย่างแปลกใจแต่ก็ไม่พูดไม่ถามอะไรต่อเดินนำข้าวไปที่ตลาดท้ายทุ่ง ข้าวมองแผงขายอย่างชอบใจนึกสนุกให้สร้อยทองเดินนำบ่าวล่วงหน้าด้วยความเพลินเมื่อหันมาอีกทีผู้เป็นน้องได้หายไปแล้ว
“แม่จันทร์หอม” สร้อยทองตะโกนเรียกวนหาอยู่หลายรอบอย่างกังวลใจผิดกับคนกระทำที่เดินนำทีมบ่าวสามรำมาที่ร้านตีเหล็ก
“แม่หญิงเจ้าคะ แม่นายจะเป็นห่วงเอานะเจ้าคะ” รำเพยเอ่ยเสียงแผ่วเดินตามอยู่ด้านหลังอย่างกล้าๆกลัวๆกับหญิงที่ถูกให้ดูแล
“ฉันแค่มาชมอะไรสนุกๆ มีอะไรน่าห่วงที่ไหน ชาวบ้านก็ไม่ได้เห็นฉันเป็นผีแล้วนี่ กลัวอะไรนักหนา” ข้าวหยุดมองหน้าสามรำที่สะดุ้งเฮือกหลบสายตาเฉียบของข้าว ก่อนเธอจะหันกลับมามองการตีมีดดาบอย่างสนอกสนใจ
“นี่ไม่ใช่เขตของหญิง แม่หญิงรีบไปเสียดีกว่า” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นหลังจากลุกยืนจากเปลร่างกายกำยำผิวเข้มหน้าคมไว้ผมหางเปียยาวดั่งจีนอพยพ ข้าวมองร่างสูงยืนลูบคมถอดเสื้อเผยแผงอกเหงื่อไหลเป็นเม็ดรับอากาศที่อบอ้าว
“ก็ไม่เห็นมีป้ายปักว่ายืนไม่ได้ ทำไม ผู้ชายสมัยนี้ทำอะไรก็ได้งั้นหรอ ทึนทึกสมความโบราณจริงๆ ฉันต้องการสักเล่ม” ข้าวเลิกคิ้วต่อปากต่อคำต่ออย่างไม่ลดละและไม่สนใจอะไร
“ข้าทำให้เฉพาะชายหาใช่หญิงปากคอเราะร้ายเยี่ยงแม่หญิง” การโต้กลับของชายหนุ่มร่างกำยำทำข้าวเริ่มหงุดหงิดยื่นมือแบไปทางรำไพ
“อะไรหรือเจ้าคะ” รำไพยิ้มแห้งๆถามกลับอย่างอ่อนน้อม ข้าวตวัดหางตามองเธอทันทีอย่างเหนื่อยใจ
“เงินไง ยืมก่อนสิ”
“อะไรนะเจ้าคะ อีรำเพยเงินคืออันใดวะ” รำไพหันไปหาตัวช่วยที่มึนงงอาการไม่แพ้กัน
“จะรู้หรือ”
“เฮ้อ จะบ้าตาย ยุคนี้ใช้อะไรซื้อของ ตำลึง แลกของ อ่อ อัฐ อัฐไงยืมอัฐหน่อยฉันอยากได้มีดดาบ” ข้าวเร่งเร้ามองหน้าบ่าวสามคนที่ลุกลนหาสิ่งที่ต้องการรอบตัวก่อนยิ้มแห้งๆส่งกลับพร้อมเพรียง
“บ่าวไม่มีหรอกเจ้าค่ะ บ่าวเป็นทาสนะเจ้าคะ แม่หญิงหยุดหยอกบ่าวเถิดเจ้าค่ะ ใจบ่าวจะวาย” รำพันพูดแทนสองคนที่พยักหน้าเห็นด้วย ข้าวหยุดนิ่งมองหน้าบ่าวรับใช้ของตนอย่างไม่เข้าใจ
“แม้นแม่หญิงจะมีอัฐมากมายก่ายกอง ข้าก็ไม่ทำให้ หญิงไม่ควรจับอาวุธคู่บ้านคู่เมือง แม่หญิงถอยกลับไปเถิด” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นทำให้ข้าวหันมองตาขวางกำมือแน่น
“ทำไมจะจับไม่ได้ วีรสตรีเคยผ่านศึกมามากมาย จับมีดดาบร่วมรบทั้งนั้นอะไรที่ไม่สมควรกันแน่ คิดว่าฉันถอดใจง่ายๆอย่างนั้นหรอ ฉันจะมีสักเล่มสองเล่มมันจะไม่ได้เลยหรือไง”
“ข้าจะไม่กล่าวอันใดกับแม่หญิงอีกต่อไป หลีกไปเสียเกะกะ” ชายหนุ่มเดินไปหยิบถังน้ำมาสาดข้างๆข้าวที่หลีกตัวหลบหันมองหน้าอย่างเจ็บใจ
“ได้ ไม่ทำให้ก็ได้ งั้นเอาไปเลยแล้วกัน” ข้าวกระตุกยิ้มเหยียดคว้ามีดดาบที่แช่อยู่ในน้ำขึ้นมาถือดูอย่างชอบอกชอบใจก่อนตวัดจ่อไปทางชายหนุ่มที่เดินเข้ามาอย่างเคร่งเครียดกับการกระทำของหญิงตรงหน้า
“แม่หญิงผู้นี้กิริยาห้าวหาญนักข้านับถือแต่ถึงอย่างไรก็ไม่คู่ควรกับแม่หญิง เรื่องศาสตราวุธยกให้เป็นของชายเสียดีกว่า ชายต้องปกป้องหญิงปกป้องบ้านเมืองสิ่งนั้นคือหน้าที่หากให้หญิงจับมีดดาบเยี่ยงนี้ แล้วชายเราจะมีความแข็งแกร่งไว้เพื่ออันใด ขอมีดดาบข้าคืนเถิด” ชายหนุ่มยื่นมือมาทางข้าวเอ่ยด้วยเสียงอ่อนลงทำให้ข้าวผ่อนลมหายใจยาวส่งดาบคืนอย่างเบื่อหน่ายเดินออกไปทางอื่น ชายหนุ่มรับมีดดาบมาถือไว้ก่อนเลื่อนสายตามองข้าวเดินจากไปจนลับตาตามด้วยบ่าวทั้งสาม
ข้าวเดินมาหยุดยืนนิ่งอยู่กลางตลาดสองฝั่งทางก่อนหมุนตัวมองหน้าบ่าวสามคนอย่างสงสัย รำไพสะดุ้งเฮือกก้มหน้างุดเช่นเดียวกับรำพันและรำเพยที่ยืนก้มหน้านิ่งตัวสั่นระริกอย่างหวั่นเกรง ข้าวมองทั้งสามอย่างพิจารณาก่อนยกมือมองตัวเองและเส้นผมสีแดงที่ทำการย้อมมาบ่งบอกว่านี่คือตัวเองชัดเจน
“ที่นี่ยังไม่เลิกทาสใช่ไหม” คำถามของข้าวทำแม่สาวสามรำเหล่มองกันก่อนเงยหน้าตอบอย่างงุนงง
“เจ้าค่ะ” เสียงประสานทั้งสามตอบพร้อมกัน
“ถ้านี่คือเรื่องจริงเล่ามาสิว่าฉันอยู่บนเรือนไทยได้ยังไง” ข้าวถามต่ออย่างหาข้อจับผิดและเริ่มสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ข้าว ข้าว” เสียงแหบแห้งดังแว่วมาทางด้านหลังทำให้ข้าวซึ่งได้ยินหันมองตามต้นเสียงทันทีจนเจอหญิงผมเผ้ารุงรังผอมแห้งผิวหยาบกร้านยื่นกะลาขอข้าวปลาอาหารทั่วแผง “ขอข้าวหน่อย หิวเหลือเกิน”
“ระวังเจ้าค่ะแม่หญิง” รำเพยเข้ามาประคองตัวข้าวหลบหญิงมอมแมมดังกล่าวที่หันมองช้าๆก่อนวิ่งเข้ามาใกล้ข้าว รำไพกับรำพันเข้ามาขวางกั้นยกขายันถีบไม่ให้หญิงมอมแมมเข้ามาถูกตัวข้าว
“มึงนี่บ้าไม่พอนะอีม้วยแม่นายน่าจะเฆี่ยนมึงให้ตายเสียด้วยซ้ำ อย่าริแตะต้องนายกู” รำไพชี้หน้าต่อว่าก่อนยกขายันหญิงมอมแมมให้ถอยห่าง
“แม่นาย แม่นาย ผี ผี” หญิงมอมแมมยกมือกุมหัวอย่างหวาดกลัวรีบวิ่งหนีไปทันที ข้าวมองตามอย่างแปลกใจ
“อีบ้านี่อย่าให้เจออีกนะ แม่หญิงกูพบพระคุณเจ้ามาแล้วจะเป็นผีสางได้เยี่ยงไร เจออีกครากูจะกดให้จมน้ำเลยทีเดียวเหมือนที่มึงทำกับแม่หญิงนี่กระไร” รำพันเท้าเอวด่าไล่หลังอย่างหัวเสียสร้างความสงสัยให้กับข้าวไปอีก
“เริ่มไม่สนุกแล้วแฮะ” ข้าวขมวดคิ้วยกมือจับหน้าผาก
“แม่หญิง!” สามรำอุทานเสียงหลงเมื่อข้าวเริ่มเซถลาถอยหลังกุมขมับ
หมับ!
มือหนาเรียวยาวจับแขนทั้งสองข้างของข้าวรั้งตัวไม่ให้ชนอกตนเองที่ยืนอยู่ด้านหลัง ข้าวลดมือลงก้มมองมือที่ละออกก่อนหมุนตัวเงยหน้ามองร่างสูงล่ำบดบังย้อนแสงอาทิตย์ ความผ่าเผยของชายหนุ่มทำข้าวคุ้นเป็นอย่างดีแม้จะเพิ่งพบกันไม่นาน
“แม่สร้อยทองไปไหนหรือ” ภาพย์เอ่ยอย่างสุภาพมองหน้าข้าวที่ขมวดคิ้วมองสบตาก่อนตอบ
“จันทร์หอม ขุนภาพย์” ยังไม่ทันตอบเสียงเรียกดังเข้ามาขัดจังหวะ ข้าวเอียงหน้ามองสร้อยทองที่ยกมือลูบอกเดินเข้ามาจับมือข้าวพร้อมลูบผมอย่างห่วงใยจนสัมผัสถึงไออุ่น ข้าวมองหญิงตรงหน้าอย่างนิ่งคิด
“รู้หรือไม่ข้าเป็นห่วงเจ้ามากเพียงใด เจ้าเองยังไม่หายดี เรากลับกันเสียดีกว่า ขุนภาพย์เสร็จกิจแล้วใช่หรือไม่” สร้อยทองจับมือข้าวก่อนหันมาถามภาพย์ที่พยักหน้ารับพร้อมตอบ
“ใช่ เช่นนั้นกลับกันเถิด ข้าจะไปส่งที่เรือน”
ข้าวมองหน้าสร้อยทองที่ดูร้อนใจจูงมือเธอเดินย้อนกลับไปที่ท่าเรือโดยมีภาพย์เดินตีคู่ไปพร้อมกัน ปิดท้ายด้วยบ่าวของทั้งสอง ความสับสนเริ่มก่อกวนอยู่ในหัวตลอดทางที่นั่งเรือกลับเรือน