ตอนที่ 9   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 9
ปึก! ผ้าขาวม้าปาใส่อกภาพย์อย่างแรงจากมือของหญิงสาวที่จ้องเขม็งไม่พอใจพาคนมองดูหยุดชะงักกับการโต้ตอบที่ดุเดือด “ใช่! ฉันมันไร้มารยาทปากร้ายแล้วใครจะทำไม ฉันไม่ใช่จันทร์หอม ฉันเป็นผีห่าซาตานที่ใช้หน้าตาเหมือนคู่หมายของนาย รู้ความจริงแบบนี้แล้วจะเผาฉันทั้งเป็นไหมล่ะคุณพี่ขุนทอง” คำจิกกดต่ำลงท้ายด้วยความโมโหจ้องหน้าเขม็งจนภาพย์เริ่มผ่อนอารมณ์ลงมองตามจังหวะการเบี่ยงหลบเดินหนีของเธอ มือขวาคว้าข้อมือร่างบางไว้แต่ถูกสะบัดออกอย่างแรง “อย่ามาแตะต้องตัวฉัน!” ข้าวหันไปตวาดเสียงแข็งจนเหล่าชายฉกรรจ์สะดุ้งโหยงหยุดชะงักไปตามๆกัน “เอะอะเสียงดังมีเรื่องอะไรกันงั้นรึ” เสียงสุขุมดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง ภาพย์ก้าวไปยืนข้างชายผู้ถือไม้เท้าก่อนเหลือบมองข้าวที่ยืนประชันหน้ากับชายวัยกลางคนท่าทางสง่าผ่าเผยมองเส้นผมสีแดงที่แปลกตาของข้าวอย่างนึกบางสิ่งบางอย่างออก “เจ้าเองรึผู้มีเส้นผมที่ไม่เหมือนผู้ใด อืม เป็นบุญตาที่ได้เห็นตรงตามที่ขุนภาพย์กล่าวไว้ไม่มีผิด ข้าออกพระสุรัสวดีเจ้ากรมอาลักษณ์ เมืองเหนืออยู่ในการปกครองของข้า เจ้ามาจากเมืองเหนือมิใช่หรือ” รอยยิ้มผูกมิตรส่งให้อย่างเอ็นดู “มาจากกรุงเทพไม่เคยขึ้นเหนือ จริงๆก่อนมานี้อยู่อันดามัน” ข้าวตอบกลับอย่างเหนื่อยหน่ายแต่คนฟังกลับหัวเราะชอบใจกับวาจาประหลาดที่ไม่เคยได้ยิน “ช่างน่าสนใจเสียนี่กระไร อยู่สนทนากับข้าสักประเดี๋ยวได้หรือไม่ ไหนๆเราก็ได้เจอกันแล้ว” “ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ เพราะที่นี่ไม่ใช่ที่ของผู้หญิง ไม่สมควรฝ่าฝืน” ข้าวตอบกลับพลางเหล่มองเขม็งไปทางภาพย์ที่ขมวดคิ้วไม่พอใจให้กับความยียวนของหญิงสาว “จริงอยู่ที่ค่ายห้ามหญิงเข้ามาแต่ในเมื่อเหตุเกิดขึ้นมาแล้วจะแก้ไขอันใดได้ พระอาจารย์กล่าวไว้ว่าไม่มีเหตุบังเอิญใดที่ชะตาไม่ลิขิตไว้ เจ้าคิดว่านี่คือเรื่องบังเอิญที่พาเรามาพบกันงั้นรึ” ออกพระสุรัสวดียิ้มกริ่มมองหน้าข้าวก่อนมองไล่ไปทางชายอีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างกันแล้วเดินนำไปนั่งที่แท่น ข้าวนั่งอยู่ในชุดสไบที่สวมอยู่ก่อนไร้เครื่องแต่งกายชายบดบังความเป็นหญิงปล่อยผมสีแดงยาวสลวยนั่งอยู่บนแท่นฝั่งตรงข้ามภาพย์ที่นั่งอย่างสง่าหลังจากสวมชุดเต็มนั่งอยู่ข้างชายที่มีไม้เท้าคู่กาย ข้าวเลื่อนสายตามองชายผู้ถือไม้เท้าเป็นเอกลักษณ์ “เรียกข้าว่าหลวงเสนาก็พอ มีศักดิ์เป็นญาติผู้พี่ของขุนภาพย์” “ขุน หลวง พระยา เจ้าพระยา น่าจะเรียงถูก ปวดหัวชะมัด” ข้าวยกมือนับนิ้วก่อนกุมขมับส่ายหน้าไปมาผ่อนลมหายใจยาว “เข้าเรื่องเสียดีกว่า เส้นผมของเจ้าได้แต่ใดมา ขุนภาพย์มาหารือกับข้าว่าคู่หมายผิดแปลกไปจากเดิม อาการของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ออกพระสุรัสวดีเริ่มเปิดบทสนทนาอย่างเป็นทางการทำให้ข้าวต้องตั้งสติในการตอบ “ไม่ใช่โรค เอ่อ เจ้าค่ะ ไม่ใช่โรคร้ายอะไรเลยเจ้าค่ะ เป็นเพียงการย้อมสีผมเหมือนย้อมผ้าเจ้าค่ะ ไม่นานสีก็เลื่อนจางลงตามวันเวลา” “ย้อมเยี่ยงนั้นรึ ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าเส้นผมจักสามารถแปรเปลี่ยนได้” ออกพระสุรัสวดีวางมือลงไว้บนหน้าตักอย่างสนใจ “ตอนนี้อาจทำไม่ได้แต่ต่อไปจะทำได้ ยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เหมือนตอนข้าศึกตีกรุงศรี ชายฉกรรจ์นักรบจับดาบต่อสู้แล้วตอนนี้เป็นอย่างไงเจ้าคะ แทบไม่ต้องจับดาบด้วยซ้ำ บรรพบุรุษส่งต่อเป็นทอดๆสืบทอดจนชั่วลูกชั่วหลานเมื่อมีปัจจุบันก็ต้องมีอดีตมีอนาคต” ข้าวตอบฉะฉานทำทั้งสามคนพยักหน้าเห็นด้วย “ความคิดแม่หญิงผู้นี้ช่างล้ำลึกยิ่งนักแม้นจักต้องใช้ความเข้าใจอยู่มาก แต่ข้ากลับเห็นความแข็งแกร่งในตัวเจ้า น่าสนใจดั่งที่ออกพระกล่าวไว้จริงๆ เจ้าเองก็อย่าได้เอ็ดแม่หญิงมากเกินควรนักเลยขุนภาพย์” หลวงเสนาใช้ไม้เท้าเขี่ยเท้าภาพย์ที่นั่งนิ่งยืดอกผายทำทีสุขุม “เอ็ดรึ มันคือการกล่าวความจริงเสียมากกว่า” ภาพย์ตอบกลับอย่างวางมาดนิ่งมองหน้าข้าวที่ปรายตาเชิดคางเหล่มองเขาเช่นกัน “ไม่ชอบก็ยกเลิกถอนการหมั้นหมายซะสิ” ข้าวพูดลอยๆมองกิ่งไม้สายลมพัดเอื่อยๆ ออกพระสุรัสวดียิ้มกริ่มฟังคำต่อล้อต่อเถียงของหนุ่มสาวก่อนหยิบกระดานชนวนขึ้นมาขีดเขียน “ขี้แพ้ชวนตี” ภาพย์สวนกลับลอยๆตามหญิงสาวที่หันขวับจ้องเขม็งขมวดคิ้วไม่พอใจทำหลวงเสนาตบหน้าขาหัวเราะขบขันชอบอกชอบใจ “เจ้าดูมีความรู้เกินหญิง ไม่ว่าชาววังหรือชนชั้นธรรมดาก็ไม่อาจเปรียบได้ รู้อันใดอีกบ้าง” ออกพระสุรัสวดีฉีกยิ้มวางกระดานชนวนไว้บนหน้าตักมองหน้าข้าวที่เลื่อนสายตามองตอบกลับ “รู้ยันอนาคต ท่านออกพระอยากรู้เรื่องอะไรล่ะเจ้าคะ” ข้าวกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ “อนาคตคืออันใดรึ” หลวงเสนามองฉงนถามขึ้น “กาลเวลาที่ยังมาไม่ถึง อดีตคือบทเรียน อนาคตคือปริศนา ปัจจุบันคือชีวิต” ข้าวอธิบายขยายความพร้อมมองหน้าหลวงเสนาที่ยกมือลูบคาง “แล้วที่โยมอยู่นี่คืออดีตหรือปัจจุบัน” เสียงสุขุมเอ่ยขึ้นจากทางด้านหลังพาทั้งหมดก้มลงกราบเช่นเดียวกับข้าว พระภิกษุสงฆ์เดินเข้ามาหยุดยืนมองข้าวที่เงยหน้ามองอย่างจับใจความคิดทบทวนก่อนเหลือบมองออกพระที่ดูรุ่นราวคราวเดียวกับพระภิกษุสงฆ์แต่ความนับถือนั้นเปี่ยมล้น “สนทนาธรรมกันอยู่หรือโยม” “สอบสวนเสียมากกว่าค่ะ” ข้าวลุกขึ้นยืนพร้อมทั้งสาม “พระอาจารย์มีอันใดหรือ” ออกพระสุรัสวดียืนขึ้นอย่างสำรวม “อาตมาต้องการสนทนาธรรมกับสีกา” “นิมนต์เลยเจ้าค่ะ” ข้าวรีบรับคำทันทีเหล่มองภาพย์อย่างยียวนก่อนอมยิ้มส่งให้ออกพระสุรัสวดีกับหลวงเสนาแล้วเดินตามพระภิกษุสงฆ์ออกจากเขตอภัยทานมุ่งไปที่โบสถ์ของวัด ข้าวเดินตามพระภิกษุสงฆ์เข้ามาในโบสถ์มองพระพุทธรูปองค์ใหญ่ทำให้เธอต้องนั่งลงพับเพียบก้มลงกราบก่อนเงยหน้ามองพระภิกษุสงฆ์ยืนอยู่ที่ผนังเลื่อนสายตาเงยมองภาพประติมากรรมฝาผนังไร้สี ข้าวลุกขึ้นเดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆโดยทิ้งระยะห่างก่อนหันมองพระภิกษุสงฆ์ที่ยิ้มกริ่มมองจ้องไปทางฝาผนังทำให้ข้าวต้องมองตามสายตาอย่างงุนงง “เอ๊ะ!” เธอถึงกับอุทานเสียงหลงอย่างตกใจก้าวไปยืนดูใกล้แล้วขมวดคิ้วเพ่งมองประติมากรรมฝาหนังเหนือศีรษะที่เป็นรูปวาดของพระภิกษุห่มผ้าเหลืองนั่งอยู่ใต้ต้นไม้มีญาติโยมในชุดลำลองเสื้อยืดบ้างก็นุ่งกระโปรงบ้างก็สวมกางเกง ข้าวเลื่อนสายตามองถัดไปอย่างตื่นตาจนมาถึงภาพที่พระภิกษุก้าวขาเดินผ่านแสงถัดไปเรื่อยๆเป็นภาพชาวบ้านนุ่งจูงกระเบนคาดผ้ารัดอกกราบไหว้แทบเท้าพระภิกษุ “อาตมาอุปสมบทมานาน โยมรู้หรือไม่ว่านานเท่าใด โทรโข่งขาดแคลนมาก ณ ที่นี่ หากมีสักหนึ่งจะช่วยเป็นกระบอกเสียงได้ดี” พระภิกษุสงฆ์หันข้างมองข้าวด้วยรอยยิ้มเมื่อจับสีหน้าเหวอค้างของเธอได้ “หลวงพี่ เอ่อ หลวงพ่อ ย้อนเวลามาเหมือนกันหรือค่ะ” ข้าวมองฉงนด้วยความทึ้ง “อาตมาอยู่มาตั้งแต่ครั้งแรกอุปสมบทจวบจนบัดนี้ อาตมากลับมาเพื่อแทนที่ตัวอาตมาเอง กาลเวลาจะทำให้โยมเข้าใจความหมาย บทสรุปจะอยู่หรือไปขึ้นอยู่กับโยม” “ต้องกลับไปอยู่แล้ว ใครจะทนติดอยู่กับอดีตได้” ข้าวเลิกคิ้วตอบอย่างมั่นใจ “ความบังเอิญไม่มีอยู่จริงหากฟ้าไม่ได้ลิขิตไว้ วาสนาบุญกรรมต่างคนต่างมีต่างกระทำขึ้นอยู่กับจิตใจว่าจะระยับยั้งใจได้หรือไม่ และไม่มีโอกาสใดที่มาโดยง่ายดายหากไม่แลกกับบางสิ่งบางอย่าง อาตมาขอให้โยมรู้ตนให้โดยไว มีสติก่อนกระทำเสมอ” “ค่ะ สาธุ” ข้าวยกมือพนมตอบรับด้วยรอยยิ้มก่อนมองพระภิกษุสงฆ์เดินไปจุดเทียนนั่งอยู่หน้าพระพุทธรูป เธอมองชายผ้าเหลืองที่สีซีดตามกาลเวลาก่อนอมยิ้มลดลงตัวก้มกราบแล้วเดินออกไป
已经是最新一章了
加载中