ตอนที่ 10
ข้าวเดินมานอกวัดก่อนหยุดชะงักเมื่อมีชายหนุ่มสูงล่ำคมเข้มยืนรออยู่หน้าทางเข้าออก ข้าวแบะปากกอดอกเดินฟึดฟัดไม่สบอารมณ์เหล่มองภาพย์เดินเข้ามาใกล้ๆ
“พี่จะทำโทษเจ้าที่ฝ่าฝืนเข้าเขตอภัยทาน เป็นแม่หญิงกระทำเช่นนี้ไม่เป็นผลดีแด่ตนเองรู้ตัวหรือไม่ ภายหลังจักได้เข็ดหลาบ”
“กล้าหรอ” ข้าวเชิดปลายคางเลิกคิ้วเท้าเอวอย่างหาเรื่อง
“แล้วเหตุใดพี่จะไม่กล้า หากไม่กำราบต่อไปภายหลังจักแข็งข้อหนักขึ้น” ภาพย์ก้าวเข้ามาช้อนตัวข้าวขึ้นพาดไหล่
“นี่! อย่าแตะต้องฉันนะ จะทำอะไรเนี้ย” ข้าวโวยวายลั่นดิ้นไปมาพร้อมทุบหลังภาพย์ระบายโทสะ เขาพาดตัวเธอแบกขึ้นไหล่เดินออกมานอกวัดมองบ่าวสามรำที่ยืนคอตกรออยู่ ข้าวฟาดมือลงหลังชายหนุ่มจนเหนื่อยมองพื้นที่เลื่อนด้วยการเดินของคนที่แบกอยู่ก่อนถูกปล่อยลงเท้าแตะพื้นอย่างนุ่มนวล ข้าวกวาดสายตามองรอบอย่างแปลกใจก่อนเหลียวมองบ่าวสามรำที่มองของขายอย่างตื่นตา เครื่องประดับมากมายวางเรียงรายอย่างสะดุดตา
“กำไลนี่งามเสียจริง เจ้าว่าอย่างไรแม่จันทร์หอม” ภาพย์จับมือข้าวพร้อมสวมกำไลหยกให้เธอด้วยรอยยิ้มก่อนสบตากัน
“กำไลหยกเนื้อดีข้ามน้ำข้ามทะเลจากแผ่นดินใหญ่มาเชียวนะนายท่าน” พ่อค้าเร่ตาตี๋บ่งบอกชาติกำเนิดชัดเจนเอ่ยสนับสนุนสินค้าตนเอง
“ของปลอม” ข้าวก้มมองกำไลหยกในมือก่อนดึงออกหมุนดูไปมา
“ไอหยาแม่หญิงกล่าวหาสินค้าชิ้นงามเยี่ยงนี้ได้อย่างไรกัน” พ่อค้าเร่ยกมือปัดป้องสีหน้าลุกลน ข้าวยกมุมปากเหยียดยิ้มก่อนเงยหน้ามองภาพย์ที่มองฉงนยืนนิ่ง
“ง่ายๆพิสูจน์ไม่ยาก หยกเป็นหินถ้าสัมผัสจะเย็น” ข้าวหันหน้าเข้าหาภาพย์ก่อนจับมือชายหนุ่มแบขึ้นวางหยกแล้วประกบมือตนเองทับหยกกุมมือชายหนุ่มไว้พร้อมมองหน้า
“อืม” ภาพย์อมยิ้มพยักหน้าเห็นด้วยก่อนที่ข้าวจะปล่อยมือออกถือกำไลหยกค้างไว
“รู้สึกอะไรบ้างเจ้าคะ” เสียงใสเอ่ยถามทันที
“รู้สึก…” ภาพย์เอ่ยค้างก่อนตั้งสติละสายตามองกำไลที่ข้าวถืออยู่ “ไม่มีทั้งความเย็นและความร้อนอันใดเลย”
“ไอหยา” พ่อค้าเร่เริ่มลุกลนมากขึ้น
“ไหนใครมีหยกแท้เอามาให้ข้า หากหยกนั้นคือของแท้จริง ข้าจะจ่ายอัฐ” ข้าวตะโกนป่าวประกาศอย่างเจ้าเล่ห์พร้อมจับสังเกตพ่อค้าเร่ที่คว้าหยกในมือข้าวมาไว้ในมืออย่างไม่พอใจ
“ไอหยาแม่หญิงผู้นี้ร้ายกาจนัก” ว่าจบก็ก้มลงเก็บของเดินหนีออกไป
“ฮ่ะ ฮ่า ฮา รู้จักเปล่าข้าวเจ้าแม่หยกอะ จะมาหลอกขาย ฝันไปเหอะ” ข้าวตะโกนไล่หลังอย่างสะใจพร้อมยกมือชูนิ้วกลางยิ้มเยาะก่อนชะงักเมื่อหันมาสบตากับภาพย์
“ทำอันใดของเจ้า”
“เปล่าสักหน่อย” ข้าวยืนตัวตรงปรายตามองค้อนก่อนก้าวขาเดินไปดูเครื่องประดับตามแผงขายตามติดด้วยบ่าวสามรำที่ยิ้มหน้าบานยืดคอชูชัน ภาพย์เดินตีคู่ชำเลืองมองหญิงข้างกายเป็นระยะสายตาจรดลงที่คอระหงไร้เครื่องประดับก่อนยิ้มกริ่มเอามือไพล่หลังเดินตามข้าวที่วิ่งแยกไปฝั่งของกิน
“หูย ขนมไทยน่ากินจังเลย หอมกรุ่นสดใหม่” ข้าวสูดกลิ่นก้มมองขนมที่ห่ออยู่ในใบตองอย่างน้ำลายสอมองตาปริบๆ
“ขนมเทียนแก้วเจ้าค่ะ เอากี่ห่อดีเจ้าคะ” หญิงผู้ขายเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นการแสดงออกของข้าวอย่างออกนอกหน้า
“เหมาหมดเลย”
“ไหวรึ เหตุใดละโมบโลภมากเยี่ยงนี้เล่า” ภาพย์ค้านขึ้นทันควัน
“ฝากพี่ฝากข้าทาสบริวาร ทำไมคนสมัยนี้แล้งน้ำใจหรือไง การซื้อบ่าวด้วยเงินไม่เท่าซื้อด้วยใจ ขงจื้อกล่าวไว้ว่าต้องทำให้คนที่อยู่ไกลอยากมาหา คนที่อยู่ใกล้ไม่อาจหนีไปไหน” ข้าวหันหน้าแย้งเขาก่อนชี้มือสั่งขนมด้วยรอยยิ้ม ภาพย์หันมองพลางคิดตามแล้วอมยิ้มหยิบถุงอัฐออกมายื่นจ่ายให้ทำเธอเอียงหน้ามองฉงน
“ฉันมีอัฐจะมาจ่ายให้เป็นหนี้กันทำไม เดี๋ยวชาติหน้าเจอกันอีก ลอดช่องตายเลย” ข้าวแบะปากมองบ่าวสามรำรับชะลอมใส่ขนมมาถือไว้ด้วยรอยยิ้มลอบมองเจ้านายอย่างดีใจ
“ข้าหาใช่คนแล้งน้ำใจไม่ ต้องทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้ไม่อาจหนีไปไหน” คำพูดของภาพย์สะกดสายตาข้าวให้เงยหน้ามองเขาด้วยความค้างก่อนกระพริบตาถี่ตั้งสติเบี่ยงตัวเดินต่อโดยมีภาพย์เดินประกบคู่อยู่ข้างๆก่อนสังเกตเห็นแก้ววิ่งเข้ามาหยุดชะงักยิ้มแห้งๆ
“หายหัวไปไหนมาไอ้แก้ว แอบไปพนันไก่อีกแล้วรึ!” เสียงเข้มดุขึ้นเมื่อพบบ่าวตนเอง แก้วก้มหน้างุดเหล่มองข้าวที่หันมาสนใจช้าๆ
“ฉัน เฮ้อ ข้า กว่าจะชิน ข้าใช้แก้วไปซื้อของมาให้ พนันไก่อะไรมีไก่สักตัวที่ไหน” ข้าวเข้ามาขวางสายตาภาพย์ที่จดจ้องดุบ่าว
“ของงั้นรึ ไหนเล่าของ”
“อีกสองวันขอรับหากได้ของแล้ว บ่าวจะรีบเอาไปให้ที่เรือนขอรับ” แก้วตอบพร้อมยิ้มแหยๆหลบสายตานายตนเอง
“ของอะไร”
“ของๆข้าทำไมถึงต้องอยากรู้ด้วย” ข้าวแย้งต่อพลางจ้องหน้าเขม็ง
“เพราะเจ้าเป็นคู่หมายของพี่ สิ่งใดที่เจ้าสนใจพี่จะต้องรู้และใส่ใจดูแลหามาให้ไม่ใช่ให้เจ้าหามาด้วยตนเอง สิ่งนั้นแสดงถึงการดูแลไม่ทั่วถึงของช้างเท้าหน้า”
“ช้างเท้าหน้า หึ มั่นเกินไปแล้วชายยุคนี้ จะเท้าหน้าเท้าหลังความเสมอภาคต้องเท่าเทียมกัน เอะอะหญิงต้องฟังชายท่าเดียว ถามจริงนี่หรอความรักแต่งหญิงเข้าเรือนประดับบารมีมากกว่า ไม่ได้ให้เกียรติอะไรหรอก พอแต่งเสร็จเอ้าดันเป็นเมียหลวง ฮ่ะ ฮ่า ฮา เห็นแก่ตัว!” ข้าวเดินชนแขนภาพย์อย่างแรงมุ่งหน้าที่ท่าเรือตามด้วยบ่าวสามรำที่รีบจำอ้าวไปติดๆ ภาพย์ผ่อนลมหายใจยาวมองตามก่อนกดสายตามองมาทางแก้วแล้วจำใจเดินไปที่ท่าเรือ
หัวค่ำหลังจากเสร็จกิจวัตรที่ควรดำเนินข้าวเดินออกมายืนมองแสงจันทร์กลมโตอยู่บนเรือนจับขอบระเบียงผ่อนลมหายใจยาวก่อนสร้อยทองจะเดินเข้ามาทักอย่างแปลกใจ
“นอนไม่หลับหรือจันทร์หอม ประเดี๋ยวน้ำค้างลงจะไม่สบายเอา” เสียงทักหวานหูทำข้าวหมุนตัวกลับมามองหญิงสาวตรงหน้าที่มีรอยยิ้มอบอุ่นมอบให้เสมอ เธอเลื่อนสายตาลงมองพื้นหวนนึกถึงสิ่งที่ได้ยินโดยบังเอิญ
“มีเรื่องอันใดรึ สีหน้าเจ้าดูไม่ดีเลยแม่จันทร์หอม”
“คงเหนื่อยใจมากสินะพี่สาว” ข้าวเงยหน้ามองหญิงที่ทำหน้าฉงนงุนงง
“เจ้าว่ากระไรของเจ้า”
“ช่างเถอะ พี่ควรไปนอนพักผ่อนเยอะๆถ้าป่วยใครจะดูแลเรือน ข้าทาสบริวารต้องการพี่ทั้งนั้น” ข้าวเลี่ยงการตอบโยงไปอีกเรื่อง
“เจ้าเองก็เป็นที่ชื่นชมของบ่าวเช่นกัน แจกจ่ายขนมให้บ่าวราวกับเป็นญาติตน” สร้อยทองเดินเข้ามาจับไหล่ข้าวด้วยรอยยิ้ม
“น้ำใจเล็กน้อยนายอิ่มบ่าวก็ต้องอิ่ม เลิกทาสเมื่อไหร่ก็จะเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย การยืนหยัดด้วยตัวคนเดียวไร้เพื่อนฝูงเหมือนหมาป่าหลงฝูงเมื่อเจอฝูงก็ต้องดูแลเอื้อเฟื้อปกครองก้าวสู่การเป็นผู้นำเป็นจ่าฝูงที่แข็งแกร่ง” ข้าวหมุนตัวกลับมาจับราวระเบียงเชิดหน้ามองดวงจันทร์อย่างนิ่งเฉยหวนนึกถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้น
“ขอเชิญสายใจเจ้าไปนั่งเล่น ลมพัดเย็นเย็นหอมกลิ่นมาลี หอมดอกราตรีแม้ไม่สดสีหอมดีน่าดม เหมือนงามน้ำใจแม้ไม่ขำคม กิริยาน่าชมสมใจจริงเอย” ข้าวยิ้มกริ่มเอ่ยอย่างชอบใจ
“ช่างไพเราะ” สร้อยทองก้าวเข้ามายืนอยู่ข้างๆ
“หอมดอกชมนาด กลิ่นไม่ฉูดฉาดแต่หอมยวนใจ เหมือนน้ำใจดีปรานีปราศรัย ผูกจิตสนิทได้ให้รักจริงเอย” ข้าวกล่าวบทต่อพร้อมมองหน้าสร้อยทองช้าๆก่อนเอ่ยบทสรุป “บทเพลงพระราชนิพนธ์เพลงแรกในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ที่เจ็ดหากข้าแต่งเองเละเทะแน่”
“ที่เจ็ดรึ อย่างไรกัน”
“เฮ้อ ง่วงแล้วนอนก่อนนะ ฝันดีพี่สาว” ข้าวยิ้มกริ่มยกมือบิดไปมาเดินหนีเข้าห้องทิ้งความสงสัยงุนงงให้กับสร้อยทองที่มองตามก่อนฉีกยิ้มให้กับความแปลกประหลาดของท่าทางคำพูดคำจาของผู้เป็นน้องต่างมารดา