ตอนที่ 12
แก้วเดินเข้ามานั่งรอหน้าต้นโพธิ์เท้าคางมองข้าทาสที่เป็นชายเดินผ่านหน้าไปอย่างฉงนลุกขึ้นยืนก้าวขาเดินแต่ดันชนกับรำเพยที่เดินไม่มองทางเกือบล้มลงกับพื้นดินดีที่แก้วคว้ามือจับไว้ทันฉีกยิ้มแห้งๆ
“พาคนไปทำอันใดรึ” แก้วละตัวออกมองหน้ารำเพยที่ขยับตัวยืนมองหน้าพร้อมตอบกลับ
“แม่หญิงบอกว่าจะทำห้อง ห้องอันใดสักอย่าง ข้าจึงรีบไปดู เอ็งจะไปด้วยหรือไม่หากไปก็รีบไป”
“ไปก็ได้ข้าอยากรู้แล้วสิ” แก้วพยักหน้ารับเดินตีคู่ไปกับรำเพย
รำพันคลานเข่าเข้ามาหาข้าวกับภาพย์ที่นั่งมองหน้ากันราวกับหยุดเวลาไว้เพียงเท่านี้ จนข้าวต้องเป็นฝ่ายเลื่อนสายตามองรำพันช้าๆ
“แม่หญิงเจ้าคะ มากันครบแล้วเจ้าค่ะ”
“อืม ดีมาก จะรีบลงไปเดี๋ยวนี้แหละ” ข้าวตอบรับพร้อมลุกขึ้นวางจานไว้บนที่นั่ง
“จะไปไหนหรือ” ภาพย์ลุกขึ้นมองหน้าหญิงข้างๆอย่างแปลกใจ
“ทำห้องน้ำ” ข้าวตอบสั้นๆห้วนๆรีบเดินลงเรือนไปยังด้านหลัง ภาพย์ขมวดคิ้วนิ่งคิดก่อนเดินตามลงไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ข้าววิ่งมาหยุดอยู่หน้าบ่าวทั้งหลายมองชายบึกบึนที่อยู่ในเรือนนี้อย่างพึงพอใจก่อนมองท่าน้ำที่ไว้อาบแล้วเอามือจับคางเดินไปเดินมาหาทำเลที่ตั้งใหม่
“เอาตรงนี้แล้วกันใกล้ๆกับท่าน้ำจะได้ตักน้ำใส่ตุ่มง่ายหน่อย” ข้าวเดินมายืนอยู่ริมท่าบนฝั่งก่อนชี้นิ้วลงพื้นทำบ่าวที่ยืนมองอยู่แปลกใจเช่นเดียวกับภาพย์ที่เดินเข้ามาทีหลังมายืนอยู่ข้างๆเธอ
“ฟังให้ดีจะออกแบบแปลนให้ กั้นไม้ตีเป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดสิบคนโอบ เอาแบบเปิดประทุนไร้หลังคาชมนกชมไม้ใช้บังกายไว้อาบน้ำ ตีผนังให้ทึบหน่อยนะห้ามมีรอยรั่วรอยร้าวหากใครแอบดูได้ละก็ จะจับเผาทั้งเป็นเลยคอยดู” ข้าวกดสายตาจิกต่ำไล่มองบ่าวที่เป็นชายทุกคนก่อนหันมาสบตาคนข้างๆ
“ขอรับ” เสียงตอบรับพร้อมเพรียงทำข้าวหลีกทางออกจากพื้นที่
ภาพย์เดินตามข้าวมาที่ใต้ต้นโพธิ์ก้าวตามเธอทุกฝีก้าวจนเธอหยุดกะทันหันทำให้ชายหนุ่มไม่ทันระวังชนหลังเธอ หญิงสาวหมุนตัวกลับหลังหันเงยหน้ามองร่างสูงล่ำอยู่ตรงหน้าก่อนค่อยๆก้าวถอยทิ้งระยะห่างหนึ่งช่วงตัว
“มีอะไรหรอเจ้าคะท่านคุณพี่ขุน” ข้าวยกมือกอดอกเลิกคิ้วหาเรื่องเขา
“พี่อยากรู้ว่าเจ้าจะไปทำอันใดอีก ดูน่าสนใจ”
“ไม่มีงานทำหรือไงเจ้าคะ” ข้าวเถียงเสียงแข็ง
“งานหรือ มีสิแต่งานสำคัญคือเจ้ามากกว่า”
“เหอะ! เกี้ยวพาราสีคิดว่าหลงกลหรือไง ต่อให้หล่อเลือดทะลักเทพบุตรเรียกพ่อ ฉันก็ไม่สนหรอก” ข้าวแบะปากยักไหล่หมุนตัวกลับขึ้นเรือน ภาพย์ยิ้มกริ่มมองตามก่อนหันหลังหลับมาเจอแก้วและรำเพยที่ยืนทำทีไม่สนใจก้มหน้างุดเมื่อผู้เป็นนายกระแอมไอยืดอกวางมาดสุขุม
“ไปกันได้แล้วไอ้แก้ว”
“ขอรับทูลหัวของบ่าว” แก้วยิ้มแป้นก่อนเดินตามภาพย์ออกไปที่ท่าน้ำขึ้นเรือ
ข้าวยืนกอดอกพิงบานหน้าต่างมองไปยังท่าน้ำที่มีชายหนุ่มกำลังก้าวลงเรือก่อนเงยหน้าชำเลืองสบตาคนบนเรือนที่อยู่ตรงบานหน้าต่าง รอยยิ้มสุดแสนเสน่ห์ส่งหาข้าวทำเธอชะงักรีบเบี่ยงหลบละตัวออกจากหน้าต่างยืนหันหลังยกมือลูบอกเบาๆพลางเดินมานั่งบนเตียงไม้สัก
“อืม เตียงแข็งปวดหลังตายหานุ่นทำเมาะมารองดีกว่า” ข้าวอมยิ้มดีดนิ้วอย่างนึกบางอย่างออกรีบหมุนตัวเดินออกจากห้องกวาดสายตามองหาบ่าวของตนก่อนเอ่ยปากเรียก “แม่สาวสามรำ รำอะไรบ้างนะ รำเพย รำ รำไพ รำพัน!”
“เจ้าขาาาา” เสียงประสานดังมาสามทิศจนข้าวหมุนมองรอบก่อนพบสาวสามรำที่ว่าเดินจ้ำอ้าวเข้ามาหาอย่างสำรวม
“แม่หญิงมีอันใดหรือเจ้าคะ” รำพันเชยหน้าขึ้นมองข้าวช้าๆอย่างฉงน
“มีนุ่นหรือเปล่า”
“นุ่นหรือเจ้าคะ เรือนเอกไม่มีเจ้าค่ะ” รำไพตอบกลับอย่างงุนงง
“เรือนท่านขุนมีเจ้าค่ะ” รำเพยตอบพลางเสนอ
“จริงเจ้าค่ะหากแม่หญิงต้องการเอ่ยปากขอท่านขุนรับรองได้นุ่นมาเยอะแน่เจ้าค่ะ” รำพันยิ้มกริ่มหันไปยิ้มกับรำเพยอย่างเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
“ท่านขุนไหน” ข้าวเลิกคิ้วกอดอก
“ขุนภาพย์ไงเจ้าคะ” รำไพตอบสมทบทำข้าวแบะปากหน้างอ
“บ้านอื่นไม่มีหรือไง”
“หากแม่หญิงจักไปเยี่ยมเรือนท่านขุนก็ไม่มีปัญหาหรอกเจ้าค่ะ เป็นคู่หมายกันไปมาหาสู่เป็นเรื่องธรรมชาติ” รำพันยิ้มกริ่มเหลือบมองข้าวที่เหลือกตามองบนยกมือไล่ความคิดของสามบ่าวอย่างไม่ชอบใจก่อนเดินไปนั่งที่ลานโล่ง
“เรื่องของม้วยไปถึงไหนแล้ว” ข้าวเปลี่ยนเรื่องนั่งกินเงาะที่คว้านเม็ดออกแล้วหันมองบ่าวสามรำคลานเข่าเข้ามานั่งอยู่ที่พื้นตรงหน้า
“มันหนีกระเจิงไปไหนไม่ทราบได้เจ้าค่ะ บ่าวให้คนไปตามจับมันทั่วบางยังไม่เห็นวี่แว่วหนังหัวมันเลยเจ้าค่ะ” รำไพตอบทันทีอย่างไม่รอช้า
“แล้วเมืองเหนือเนี้ยอยู่ที่ไหน พาไปหน่อยได้ไหม” ข้าวขมวดคิ้วพยายามไล่เรียงลำดับเหตุการณ์ที่พอรู้
“บ่าวไปไม่ถูกหรอกเจ้าค่ะหากแม่หญิงต้องการกลับเมืองเหนือท่านขุนพาไปได้เจ้าค่ะ” รำเพยฉีกยิ้มกว้างก่อนก้มหน้างุดเมื่อข้าวหันขวับตวัดหางตามองเธอ
“ขุนไหน” เสียงจิกต่ำบ่งบอกความเย็นชาของอารมณ์ชัดเจน
“ขุนภาพย์เจ้าค่ะ” รำพันก้มหน้าตอบพร้อมยกมือตีแขนรำเพยมองค้อน
“เฮ้อ ขุนภาพย์ควรคู่กับพี่สร้อยทองมากกว่า หากได้แต่งกันจะเป็นคู่ที่เหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยกสามสิบชั้น หรือสามสิบชั้นคงไม่พอห้าสิบชั้นไปเลย” ข้าวยิ้มกริ่มวางมือลงบนหน้าตักมองแจกันทองเหลืองใส่ดอกไม้
“แม่หญิงกล่าวอันใดเจ้าคะ ท่านขุนเป็นคู่หมายของแม่หญิงนะเจ้าคะ” รำไพขมวดคิ้วเงยหน้ามองผู้เป็นนายอย่างไม่เข้าใจ
“ฉันต้องรู้เรื่องจันทร์หอมให้ลึกกว่านี้”
“แม่หญิงไม่ได้แย่งท่านขุนจากแม่นายนะเจ้าคะ ท่านขุนชอบคอกับแม่หญิงใครๆก็รู้กันทั่วบาง” รำเพยเอ่ยขึ้นทำข้าวสับสนมากกว่าเดิม
“เธอสามคนอยู่เรือนนี้จะรู้เรื่องที่เรือนอื่นได้ยังไง” ข้าวมองหน้าทั้งสามอย่างหาเหตุผล
“แต่แม่หญิงเจ้าคะหากท่านขุนไม่ได้ถูกใจแม่หญิงจักให้ท่านเจ้าพระยาข้ามฟากข้ามเมืองไปสู่ขอหรือเจ้าคะ แม่นายอยู่ที่นี่มานานรู้จักมักคุ้นกับท่านขุนตั้งแต่เด็ก หากต้องการดองกันเป็นฝั่งเป็นฝาจริงจักเสียเวลาไปข้ามฟากข้ามเมืองด้วยเหตุอันใดเล่าเจ้าคะ” รำเพยร่ายยาวหยิบยกเหตุผลที่น่าฟังจนข้าวคิดตามด้วยความอึ้งพยักหน้าเห็นด้วย
“แล้วทำไมถึงมีข่าวว่าจันทร์หอมไปแย่งขุนภาพย์มา” ข้าวแย้งต่อบท
“อีพวกปากหอยปากปูแม่หญิงอย่าไปใส่ใจเลยเจ้าค่ะ” รำไพตอบกลับทันควันชนิดไม่ต้องคิดไตร่ตรอง
“ข้าว่ามีคนใส่ร้ายแม่หญิงมากกว่า” คำพูดของรำพันทำข้าวมองฉงนคว้าหมอนสามเหลี่ยมมาเท้าแขนอย่างตั้งใจสนทนา
“จริงเจ้าค่ะทางเรือนท่านขุนมีแม่หญิงผู้หนึ่งคิดจะจับท่านขุนเจ้าค่ะ” รำไพขยับเข้ามาใกล้กระซิบกระซาบมองซ้ายมองขวาดูลาดเลาบ่าวคนอื่น
“จริงแท้แน่อย่างไรไม่รู้เจ้าค่ะแต่มีแม่หญิงมาอาศัยอยู่ที่เรือนท่านเจ้าพระยาจริงๆ” รำเพยสมทบสร้างรากฐานข้อมูลที่เริ่มโยงกันพันวุ่นวายพาข้าวหัวหมุนจากสามคนกลายเป็นมีบุคคลที่สี่มาเพิ่ม
“หญิงใดบ้างจะไม่อยากออกเรือนกับท่านขุนที่เพียบพร้อมเช่นนั้น” รำพันมองหน้ารำเพยกับรำไพอย่างเห็นด้วยก่อนเงยหน้าสบตาข้าวที่ผ่อนลมหายใจยาวส่ายหน้าไปมา
“เฮ้อ ยิ่งฟังยิ่งเครียดหาอะไรกินแก้เครียดดีกว่า” ข้าวหยิบหมอนวางลงแล้วลุกขึ้นเดินอ้อมไปหลังเรือนตรงดิ่งไปทางครัว บ่าวสามรำมองหน้ากันก่อนวิ่งตามไปทันที