ตอนที่ 16
ข้าวเดินเข้ามาดูรองเท้าสานอย่างชื่นชอบความแปลกตาพาตื่นเต้น หลวงเสนามองตามด้วยรอยยิ้มเอามือเท้าไม้เท้าก้าวเข้ามายืนข้างหญิงสาวที่ก้มลงดูรองเท้าสีหน้าสดใสพาคนมองอดยิ้มตามไม่ได้
“ลองได้ไหม” เธอเอ่ยถามพร้อมมองหน้าพ่อค้าวัยชรา
“เชิญเลือกเชิญลองได้เลยแม่หญิง ช่างงดงามเหมาะสมกันยิ่งนัก” พ่อค้ายิ้มกริ่มมองหน้าข้าวที่ค่อยๆเหล่เงยหน้ามองหลวงเสนาที่ยืนยิ้มให้อยู่ข้างๆจนรองเท้าในมือที่ถืออยู่หลุดไปหนึ่งข้าง
“เอ่อ ไม่ใช่ตา เข้าใจผิดแล้ว” ข้าวรีบก้มลงหยิบรองเท้าวางไว้ที่เดิมยกมือตอบพลางยิ้มแหยๆส่งให้พ่อค้าที่เลิกคิ้วยิ้มกริ่มก่อนเดินไปเลือกดูอย่างอื่นกับบ่าวสามรำ หลวงเสนามองตามไปที่ส้นเท้าของเธอก่อนหันกลับมาที่แผงรองเท้าด้วยรอยยิ้มเอื้อมมือหยิบรองเท้าที่เธอเคยถือไว้ขึ้นมาจับดูแล้วเอ่ยปากบอกกล่าวพ่อค้า
“ข้าเอาคู่นี้แต่ข้าวานให้ไปส่งที่เขตอภัยทานได้หรือไม่”
“ขอรับ ขอรับ”
“ส่งให้ถึงมือขุนภาพย์บุตรชายท่านเจ้าพระยาประเดี๋ยวข้าจะเข้าไป กล่าวตามนี้”
“ขอรับ” สิ้นเสียงการตอบรับหลวงเสนายื่นรองเท้าสานให้พร้อมจ่ายอัฐก่อนเดินออกก้าวขาตามหลังหญิงสาวและบ่าวสามรำ
ข้าวหยุดยืนมองเด็กกระโดดลงเล่นน้ำด้วยความนิ่งก่อนเดินไปยืนที่ตลิ่งมองสายน้ำที่แน่นิ่งหลวงเสนาเดินเข้ามายืนข้างๆเท้าไม้เท้ามองตามเธออย่างฉงนสงสัย
“ขุนภาพย์เล่าว่าเจ้าตกน้ำตกท่าครั้งมาที่นี่หากแม่สร้อยทองไปรับไม่ทันอาจเกิดเหตุไม่สู้ดีนัก”
“เรื่องราวมันอาจซับซ้อนกว่านี้ก็ได้ คุณหลวงพอจะรู้ไหมว่าเมืองเหนือไปยังไง” ข้าวเอียงหน้ามองหลวงเสนาที่เลิกคิ้วทำทีสุขุม
“ข้าว่าเจ้าอย่าสนใจเมืองเหนือเลยเสียดีกว่า จริงอยู่ที่เจ้าเป็นคนเมืองเหนือแต่จะไปก็ไร้ประโยชน์ คนเราต้องเดินหน้าหาได้นึกย้อนหลัง” คำกล่าวของหลวงเสนาทำข้าวเริ่มสนใจเพิ่มมากขึ้น
“ถ้าคุณหลวงจะบอกว่าการที่บุพการีสิ้นต่อให้กลับไปเมืองเก่าก็ไม่อาจใช้ชีวิตได้อย่างเดิม แล้วถ้าบอกว่าลืมบางอย่างที่จำเป็นมากไว้ที่นั้น แบบนี้พอจะมีเหตุผลบ้างไหมเจ้าคะ” ข้าวมองเด็กว่ายน้ำเล่นอย่างสนุกสนานทำให้หวนนึกถึงเพื่อนสนิทสองคนที่เคยกินเคยเที่ยวไปไหนมาด้วยกันบ่อยครั้งแต่เธอกลับไม่สามารถทำได้อีกต่อไปแม้กระทั่งการเห็นหน้าเพื่อนของตน
“เยี่ยงนั้นข้าจักบอกการเดินเรือมีทางเดียวที่ไปเมืองเหนือได้คือเส้นทางน้ำ ขึ้นเหนือไปเรื่อยๆย้อนทวนน้ำก็จะถึงจุดหมาย เมืองเหนือเป็นต้นน้ำนี่คือหลักของตำแหน่งการเดินเรือ แต่หากเจ้าคิดจะกระทำการเดินเรือเพียงลำพังข้าจะนำเรื่องนี้ไปบอกกล่าวกับขุนภาพย์”
“คุณหลวง” ข้าวเอียงหน้ามองหลวงเสนาคิดหาข้อโต้แย้ง
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามีความทรงจำอะไรหลงเหลืออยู่บ้างเกี่ยวกับความผูกพันของเจ้ากับขุนภาพย์แต่ข้าขอพูดในบรรดาศักดิ์อาวุโสกว่าเจ้า เจ้าคือดวงใจของขุนภาพย์เพียงผู้เดียว ไม่ว่าจะมีแม่หญิงมาเกี่ยวข้องมากมายเท่าใดแต่ในใจบุรุษอย่างขุนภาพย์หาใช่คนเจ้าชู้หลายใจไม่ ดวงใจมีเพียงหนึ่งเมื่อขาดไปก็ไม่สามารถหลอมขึ้นมาใหม่ได้ ข้าอยากให้เจ้าเข้าใจในสิ่งที่ขุนภาพย์กำลังพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเจ้า” หลวงเสนาหันมามองข้าวหน้าตรงถือไม้เท้าอย่างหนักแน่นสุขุม
“แต่ว่า” ไม้เท้ายกขึ้นห้ามปรามหยุดคำพูดต่อไปของเธอ
“ความรักเกิดขึ้นระหว่างคนสองคนหาใช่คนอื่น อย่าใช้ผู้อื่นมาเป็นตัวควบคุมหัวใจของเจ้า ตัวของเจ้า ใจของเจ้า เหตุใดต้องสนรอบข้าง ถูกหรือไม่แม่หญิงผู้แสนห้าวหาญ” หลวงเสนาวางไม้เท้าลงพร้อมวางมือประกบเท้าไม้เท้ามองหน้าข้าวที่นิ่งฟังเหตุผลคำกล่าวของชายตรงหน้าก่อนฉีกยิ้มเอามือกอดอกเลิกคิ้วมองหน้าเขา
“จริงเจ้าค่ะ คุณหลวงพูดถูกและน่าฟังที่สุดไม่ใช่คำสั่งหรือการดุแต่เป็นเหตุผลที่ทำให้ข้าฉุกคิดได้อย่างมีสติ งั้นข้าขอถามบางเรื่องได้หรือไม่เจ้าคะ”
“อันใดรึ”
“ข้าไม่ใช่นักโบราณคดีหรือรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับประวัติศาสตร์มากมายแต่ข้าก็ชอบสะสมของโบราณจะย้อนยุคหรือร่วมสมัย อาวุธทุกชนิดข้าล้วนชื่นชอบ รวมทั้งไม้เท้าของคุณหลวงด้วย”
“ข้าจะพยายามเข้าใจสิ่งที่เจ้าเอ่ยแล้วกัน ไม้เท้าข้าทำไมงั้นรึ” หลวงเสนายกไม้เท้าขึ้นมองก่อนมองหน้าหญิงสาว
“ดูมีเอกลักษณ์ไม่ธรรมดาคุณหลวงคงไม่ใช่ลูกนายยศเจ้าพระยาใช่ไหมเจ้าคะ และจะให้พูดต่อไม้เท้านั่นไม่ใช่แค่ไม้เท้าที่ใช้ค้ำยันตน ไม้เท้าซ่อนคมที่คนชนชั้นสูงนิยมพกพา” ข้าวมองหน้าหลวงเสนาลดไม้เท้าลงกระตุกยิ้มวางมือลงจับหัวไม้เท้า
“ไม่เพียงแต่ห้าวหาญยังฉลาดเป็นกรด เจ้าต่างจากที่ขุนภาพย์กล่าวไว้ก่อนหน้าจริงๆ”
“แล้วคุณหลวงคิดว่าจันทร์หอมที่ขุนภาพย์กล่าวไว้เป็นแบบไหน”
“แม่หญิงจันทร์หอมคู่หมายของขุนภาพย์กิริยาเรียบร้อยว่านอนสอนง่ายไม่ผิดไปจากแม่หญิงสร้อยทองผู้เป็นพี่สาว”
“แล้วกับแม่จันทร์หอมที่อยู่ตรงหน้าคุณหลวงตอนนี้ คุณหลวงคิดว่ายังไง” ข้าวถามต่ออย่างสนใจ
“แม้นจักผิดเพี้ยนไปบ้างแต่ก็ทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้สบายใจ เจ้าเป็นหญิงที่ไม่เหมือนผู้ใดทั้งทางกายและใจ ข้าว่าสิ่งนี้เป็นจุดเด่นมัดใจของเจ้าโดยที่เจ้าไม่รู้ตัว นี่ก็เย็นมากแล้วข้าต้องกล่าวลาเสียก่อนไม่อาจอยู่ต่อได้”
“เจ้าค่ะ” ข้าวยิ้มรับก่อนยกมือไหว้ลาส่งชายตรงหน้าที่ยกมือรับไหว้แล้วหมุนตัวเดินออกก่อนหยุดเหลียวหลังมองหญิงที่ยืนมองตาม
“เขตอภัยทานต้อนรับเจ้าเสมอ” ทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นก่อนเดินออกไปด้วยรอยยิ้ม ข้าวมองตามพร้อมพยักหน้ารับเอามือไขว้หลังหันกลับมามองบ่าวสามรำที่ยืนอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่รีบกรู่เข้ามาหาทันที
“แม่หญิงเจ้าคะ” เสียงประสานดังขึ้นพร้อมกัน
“ไม่ดีไม่งามสินะคุยกับชายอื่นจะเป็นขี้ปากชาวบ้าน ถามหน่อยเราควรจะให้ความสำคัญกับเรื่องอุปโลกน์ที่ไม่ใช่เรื่องจริงด้วยหรอ ไม่ได้ยินที่คุณหลวงบอกหรือไงใจเรา ตัวเรา ใครจะกำหนดได้นอกจากเรา แค่ตนรู้ตนว่าทำสิ่งใดอยู่แล้วทำสิ่งที่ถูกต้องก็ดีแล้วนี่ จะให้ขี้ปากชาวบ้านมาตัดสินชีวิตเราทำไม แบบนี้แหละลอดช่องที่สุด รู้จักไหมลอดช่องอะ คำสบถหยาบคายที่ฟังดูน่ารักน่ากิน เอาไปใช้ได้นะไม่ห้าม” ข้าวอมยิ้มหมุนตัวกลับไม่รอฟังบทต่อความจากบ่าวรับใช้เดินจ้ำอ้าวก่อนกลับไปหาที่นั่งพัก บ่าวสามรำมองหน้ากันก่อนอมยิ้มรีบวิ่งตามไปอย่างฟังรู้เรื่องได้ความบ้างไม่ได้บ้าง
ภายในเขตอภัยทาน หลวงเสนาเดินเข้ามานั่งที่ขอนไม้จับไม้เท้ามองวงล้อมที่กำลังส่งเสียงเชียร์คนสองคนกำลังฝึกต่อสู้ด้วยมือเปล่าอยู่ก่อนสังเกตเห็นชายหนุ่มที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีเดินถือรองเท้าสานยืนสนทนากับผู้ที่ครองยศเดียวกัน รอยยิ้มเจ้าเล่ห์เผยขึ้นบนใบหน้ามองชายดังกล่าวเดินเข้ามา
“หลวงเสนา”
“อันใดเล่า เจ้ายังไม่เข้าใจอีกรึ ข้าแลเห็นคู่หมายของเจ้าอยากได้มัน เจ้าก็สมควรแลเห็นสิ่งนี้ ช้าอยู่ไยเอาอัฐมาให้ข้าสิข้าหาใช่คนใจกว้างหากเจ้าไม่จ่ายมาเท่ากับว่าข้าเป็นผู้มอบให้ ต้องการเยี่ยงนั้นรึ” หลวงเสนายิ้มมุมปากมองหน้าภาพย์ที่ล้วงหยิบอัฐออกมายื่นให้อย่างง่ายได้
“สมเป็นหลวงเสนาเสียจริง”
“ยังมีอีกเรื่องที่ข้าต้องบอกกล่าว”
“อันใดรึ” ภาพย์นั่งลงข้างๆอย่างสุขุมก้มมองรองเท้าในมือที่ถืออยู่
“ดูเหมือนแม่หญิงของเจ้าต้องการกลับเมืองเหนือ ข้าว่าเจ้าควรจัดพิธีซัดน้ำได้เสียแล้วมิเช่นนั้นอาจเกิดความผิดพลาดที่คาดไม่ถึง การที่แม่หญิงไร้ซึ่งความจำในอดีตที่ผ่านมาข้าคิดว่าน่าจะเป็นผลมาจากสติที่ไม่อาจทนแบกรับสิ่งที่เกิดจากการสูญเสียโดยฉับพลันหาใช่จมน้ำเพียงอย่างเดียว” หลวงเสนาหันมองหน้าภาพย์อย่างจริงจัง
“ข้าเองก็ต้องการเช่นนั้น” ภาพย์ก้มหน้ามองรองเท้าสานอย่างนิ่งเงียบขมวดคิ้วผ่อนลมหายใจยาวเพื่อคลายความอึดอัดสิ่งที่ไม่อาจเปิดเผยบอกกล่าวออกไปได้