ตอนที่ 23
เมื่อเรือเทียบท่าข้าวรีบขึ้นจากเรือก้าวขาเดินอย่างฉับไวจนบ่าวสามรำตามแทบไม่ทันมุ่งตรงไปที่เขตอภัยทานทันที ข้าวเดินผ่านเข้ามาอย่างง่ายดายพร้อมเอียหูฟังเสียงระนาดแล้วยกมุมปากฉีกยิ้มเดินก้าวขาฉับไวมุ่งหน้าเดินตรงไป เหล่าชายฉกรรจ์มากมายที่กำลังซ้อมหมัดมวยหันมองเป็นตาเดียวก่อนถูกไม้เท้าที่ทรงอำนาจโขกเข้าที่หัว ชายฉกรรจ์ที่ยืนออหันมองหลวงเสนาแล้วรีบหลีกทางถอยไปคนละทิศละทางอย่างรู้ตัว
“เห็นทีต้องมีเรื่องสำราญเป็นแน่” หลวงเสนายิ้มกว้างเดินถือไม้เท้าตามหลังหญิงสาวที่เดินดุ่มๆเข้ามายืนอยู่หลังต้นไม้มองระนาดที่ถูกบรรเลงจากออกพระสุรัสวดีที่นั่งอยู่ในวงปี่พาทย์ หลวงเสนาหยุดอยู่ด้านหลังข้าวจับไม้เท้าค้ำยันตนมองตามสายตาหญิงสาว
“มาแล้วรึ” เสียงทักทำข้าวสะดุ้งตกใจหันขวับทันที
“คุณหลวงตกใจหมดมาดีๆไม่เป็นหรือเจ้าคะ” ข้าวลูบอกมองหน้าบูด
“หากมาตรงๆข้าจะรู้รึว่าเจ้าจดจ้องสนใจสิ่งใดอยู่ อยากลองดูไหมเล่าข้าเชื่อว่าเจ้าต้องมีอะไรซ่อนอยู่ในตัว” หลวงเสนานำเสนออย่างชักจูง
“ไม่ถนัดหรอกเจ้าคะ” ข้าวยิ้มแหยบ่ายเบี่ยง
“เลือกหนึ่งอย่างแล้วกัน” หลวงเสนาผายมือเชิญข้าวเดินเข้าไปที่วงปี่พาทย์ ออกพระสุรัสวดีลุกขึ้นเอามือไพล่หลังรับไหว้ข้าวด้วยรอยยิ้ม ข้าวมองเครื่องดนตรีไทยอย่างประหม่าใจก่อนก้มลงหยิบฉิ่งมาถือไว้มองหน้าหลวงเสนา
“ชิ้นนี้แล้วกัน” ข้าวอมยิ้มก่อนนั่งลงพับเพียบอยู่ตรงข้ามระนาดลงมือจับฉิ่งซ้อมตีด้วยรอยยิ้มขบขันกับฝีมือการตีที่ไร้จังหวะจนหลวงเสนาต้องยกมือปิดปากกลั้นหัวเราะ ออกพระสุรัสวดีมองรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของหญิงสาวที่นั่งก้มหน้าก้มตาตีก่อนได้จังหวะฉิ่งฉับทำหลวงเสนาหยุดชะงักก้าวถอยหลังไปยืนรอบนอกอย่างสนใจ ออกพระสุรัวสดีเดินกลับเข้ามานั่งที่ระนาดมองหน้าหญิงที่นั่งอยู่ตรงข้าม เสียงฉิ่งยังคงดังเป็นจังหวะตามด้วยเสียงตะโพนตีเคล้าร่วมด้วยก่อนเสียงขับร้องจะเกริ่นนำจากเสียงใสที่กระตุกยิ้มมุมปาก
“เออ...เอิง...เอย...ยย เออ..เอิง วันนี้แสนสุดยินดี เออ...พระจันทร์วันเพ็ญ เออ...เอย...เออ...เอิง...เอย วันนี้แสนสุดยินดี เออ...พระจันทร์วันเพ็ญ ขอเชิญสายใจเจ้าไปนั่งเล่นลมพัดเย็นเย็น หอมกลิ่นมาลี เออ...เอย หอม...อืม...ดอก หอมดอกราตรี แม้ไม่สดสีหอมดีน่าดม...เอย” ออกพระสุรัสวดีจับจังหวะลงมือตีระนาดรับจังหวะ หลวงเสนาวางไม้เท้ายิ้มกริ่มก่อนเหลือบมองคนที่เดินเข้ามายืนข้างๆอย่างไม่ให้สุ่มให้เสียง “ เหมือนงามน้ำใจ เออ...เอิง...เอย แม้ไม่ขำคม เออ...เอิง...เอย กิริยาน่าชม เอิง...เออ...เอิง...เอย สมใจจริงเอย เอิง...เออ...เอิง...เอย ชมแต่ดวงเดือน ที่ไหนจะเหมือนได้ชมหน้าน้อง เออ...เอิง...เอย ชมแต่ดวงเดือน ที่ไหนจะเหมือนได้ชมหน้าน้อง พี่อยู่แดเดียวเปลี่ยวใจหม่นหมอง เจ้าอย่าขุ่นข้องจงได้เมตตา เออ...เอย หอม...ดอก หอมดอกชมนาด กลิ่นไม่ฉูดฉาดแต่หอมยวนใจ เออ..เอย เหมือนน้ำใจดี เออ...เอิง...เอย ปรานีปราศรัย เออ...เอิง...เอย ผูกจิตสนิทได้ เออ...เอิง...เอย เอิง...เออ...เอย ให้รักจริงเอย…”
ทุกสายตาที่ล้อมรอบเข้ามารับฟังพร้อมเสียงฉิ่งที่ลดหายไปพร้อมตะโพนและระนาด ข้าวกวาดสายตามองรอบถือฉิ่งค้างไว้และยิ่งทำเธอผงะจนฉิ่งหลุดจากมือคือชายหนุ่มที่ยืนอมยิ้มอยู่ข้างหลวงเสนา
“เป็นเสียงที่แสนไพเราะ” ออกพระสุรัสวดีนั่งอยู่หน้าระนาดก่อนวางไม้นวมลงบนรางระนาดแล้วยกมือไหว้ลุกขึ้นเช่นเดียวกับข้าวที่ลุกขึ้นยืนตรงเกาคางแก้เขินยิ้มแหยๆ
“ข้าเห็นด้วยเสียงของเจ้าราวกับนกการเวกขับกล่อม” หลวงเสนาเดินมาร่วมชื่มชม
“ไม่รู้เลยว่าแม่จันทร์หอมจะมีเสียงที่สะกดราวกับหญิงชาววัง” ออกพระสุรัสวดียังคงชื่นชมอย่างชอบใจก่อนยกมือจับไหล่ภาพย์อย่างยินดีไปถึงชายหนุ่ม ข้าวเหล่มองตามก่อนยกมือเก็บผมทัดหูเงยหน้าช้าๆสะกดภาพย์ให้หยุดนิ่งตกอยู่ในภวังค์ เธอจึงเลื่อนสายตาหนีกระพริบตาถี่ยกมือปัดผมออกแล้วตอบกลับข่มเสียงให้นิ่งที่สุด
“เพลงราตรีประดับดาวเจ้าค่ะเป็นบทเพลงพระราชนิพนธ์เพลงแรกในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ที่ ๗ แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์ทรงโปรดดนตรีไทยเป็นอย่างยิ่ง และทรงมีพระปรีชาสามารถในการบรรเลงเครื่องดนตรีไทยโดยเฉพาะการทรงซอเจ้าค่ะ”
“ราชวงศ์จักรี” ทั้งออกพระสุรัสวดีและหลวงเสนาพ่วงด้วยภาพย์หันมองหน้ากันก่อนหยุดสายตามองข้าวที่กรอกตาไปมาทำเฉไฉยิ้มกลบเกลื่อน
“เอ่อ อย่าสนใจข้าเลยเจ้าค่ะ สมองข้ากระทบกระเทือนหนักข้าอาจพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่อย่าถือสาเลยเจ้าคะ” ข้าวยิ้มแห้งตอบกลับพยายามเบี่ยงประเด็นหรี่ตามองชายสองคนกำลังฝึกซ้อมหมัดมวยพาชายสามคนมองตามสายตา
“ข้าว่าคู่หมายของขุนภาพย์ฝีมือไม่ธรรมดา” หลวงเสนาเลิกคิ้วเหล่มองภาพย์ที่ยืนยิ้มกรุ้มกริ่มมองข้าวหันกลับมายิ้มแหยๆ
“นอกจากเป็นลิงเป็นค่างแล้วยังเล็กพริกขี้หนูอีกด้วย” ภาพย์กอดอกมองหน้าข้าวที่หันมาค้อนใส่เขา
“สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นต่างหากเล่า คนเราชอบตัดสินคนจากภายนอกทั้งๆที่ไม่รู้จักกันดีด้วยซ้ำ ทั้งๆที่มีหูสองข้างแต่กลับไม่ฟังหูไว้หู” ข้าวเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้
“งั้นข้าขอสักประโยคแล้วกัน ถึงพริงถึงขิงจริงๆ” หลวงเสนาปิดบทพาขบขัน ข้าวฉีกยิ้มเลื่อนสายตามองไปทางอื่นก่อนหันกลับมาสบตาชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าทำให้เธอต้องเบี่ยงหลบเดินหนีแยกตัวไปอีกทาง หลวงเสนากับออกพระสุรัสวดีมองตามอย่างชอบอกชอบใจ
“แม่จันทร์หอม” เสียงสุขุมเอ่ยขึ้นพร้อมเดินตามจนเกือบถึง การเร่งจังหวะเดินของหญิงสาวที่ไม่มีทีท่าจะผ่อนลงเดินดุ่มๆไม่ฟังเสียงใดทำให้เขาต้องเอื้อมมือคว้าแขนเธอให้หยุดเดินหันกลับมาสบตาตนในระยะประชิด
“จะหนีพี่ไปไหนเล่า”
“เปล่าไม่ได้หนี ไปหาอะไรกิน หิวแล้ว คิดเองเออเองหลงตัวเองจริงๆเลย” ข้าวเลิกคิ้วยกมือแกะมือภาพย์ทำเฉไฉแต่ไม่หลุดจึงเงยหน้ามองจ้องเขา
“ทางออกอยู่ด้านนู้นทางนี้ไม่มีของที่เจ้าจะกินได้หรอก ดีไม่ดีมีแต่ชายถอดผ้าหรือเจ้าต้องการเห็น” ภาพย์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ใบหน้าเธอที่สูดลมหายใจถอยหน้าออกแทบหยุดหายใจยกมือผลักอกชายหนุ่มต้านไว้ไม่ให้ชิดมากกว่าเดิม
“เห็นของพี่ไม่พอรึ” คำพูดหวานคมสองแง่สองง่ามชวนกระตุ้นใจให้เต้นแรงบวกกับรอยยิ้มที่มีเสน่ห์จนน่าหลงใหล
“จะบ้าหรือไง พูดจาแบบนี้คิดอะไรเนี้ย” ข้าวเลื่อนสายตาหนีพยายามข่มใจให้สงบ
“แล้วเจ้าคิดอันใดอยู่เล่า หือ...” ภาพย์ปล่อยมือออกมองแก้มแดงใสเบี่ยงหลบสายตาซ้ายขวาทำให้จับทางได้ไม่ยาก
“ผู้หญิงปีสองพันอย่างข้าไม่คิดก็บ้าแล้ว ว่าแต่คุณขุนทองมาทำอะไร” ข้าวเชิดปลายคางขึ้นตัดสินใจสู้หน้าเขาที่ขมวดคิ้วเข้มพร้อมขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น
“เรียกว่าอะไรนะ” น้ำเสียงเริ่มแข็งขึ้นก้าวตามขาที่ถอยหลังช้าๆ
“เอ่อ คุณ คุณพี่ไง” ข้าวเหลียวหลังมองต้นไม้ที่กำลังจนมุมหลังชิดผงะมองหน้าภาพย์ที่ยกมือกันตัวเธออย่างได้จังหวะ
“เหตุใดพี่ถึงต้องมาหลงชอบหญิงแสนดื้อผู้นี้ด้วยเล่า เจ้ารู้หรือไม่”
“ข้าจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้หรอก” ข้าวหันหน้าหนีทำตัวหดชิดหลังจนแทบจะสิงต้นไม้พยายามข่มใจไม่ให้หวั่นไหวตามชายหนุ่มตรงหน้า
“ไม่ได้เกี่ยวกับอดีตแต่อย่างใด ที่กล่าวคือเพลานี้ หญิงที่เรียบร้อยกิริยางามเมื่อก่อนแปรเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ แต่กลับทำชายผู้นี้รักจนไม่อาจละเลยไปไหนได้ เจ้าว่าพี่ควรทำอย่างไรดีแม่จันทร์หอม” ดวงตาสองคู่สบกันอย่างลึกซึ้งพาหัวใจสองดวงเต้นรัวปั่นป่วนไม่เป็นจังหวะ ข้าวยกมือจับแก้มที่เริ่มร้อนผ่าวแดงก่ำลดสายตาลงต่ำไม่กล้าสบตาชายที่อยู่ตรงหน้าจนมีบางอย่างห้อยลงมาอยู่ตรงหน้าทำให้ต้องเงยหน้ามอง รอยยิ้มกรุ้มกริ่มเผยขึ้นบนใบหน้าชายหนุ่มที่มองท่าทีของหญิงสาวเมื่อเห็นสิ่งที่ตนถือสร้อยคอสีทองเรืองรองก่อนนำไปสวมห้อยคอให้เธอ
“อะไร” ข้าวจับมือภาพย์รั้งไว้พร้อมสบตาเขาพาหัวใจเต้นรุกเร้าไม่เป็นจังหวะด้วยความตื่นเต้น
“ถือว่าพี่จองแม่ไว้แล้วกัน” คำเอื้อนหวานหูทำมือข้าวหลุดออกปล่อยให้ชายหนุ่มสวมสร้อยคอที่ห้อยทับทรวงฝังเม็ดทับทิม ดวงตาสองคู่มองกันและกันตลอดระยะความใกล้ชิดจนสร้อยประดับคู่คอระหงจึงได้แยกจากกัน