ตอนที่12 มู่หลง   1/    
已经是第一章了
ตอนที่12 มู่หลง
: ที่แท้คนบนรถก็คือพระชายานี่เอง ไม่ผิดที่ข้ารู้สึกแปลกใจในตอนแรก ชาวบ้านยากจนธรรมดาที่ไหนสวมเสื้อผ้าเก่าๆจะดูดีเพียงนี้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสะอาดเรียบเนียนหน้าตาสวยงามเอามากๆ :  คนขับรถม้าพึมพำคนใจยิ้มอย่างสุขใจ \" คุณหนูฮ่องเต้คงจะสงสัยพวกเราแล้วเจ้าค่ะ \" จางจิ้งพูด ไป่เซก็คิดเช่นกันคนฉลาดอย่างฮ่องเต้ฉีอินหลอกได้ไม่นานหรอก คิดได้ดังนั้นจึงบอกกับคนขับรถม้าว่า “ พี่ชายท่านควบม้าให้เร็วกว่านี้อีกหน่อยเถิด ” ไป่เซพูดเชิงออกคำสั่ง “ ได้ ” คนขับรถม้าก็ขวบเร็วขึ้นไปรีบไปยังจุดนัดพบกับเจ้านายของเขา “ ถึงแล้ว นายของข้ารอพวกเจ้าอยู่ในโรงเตี้ยมนี้ ” จางจิ้งและไป่เซมองไปรอบๆ ก็พยุงไป่เซลงมา “ มีโรงเตี้ยมขนาดใหญ่กลางป่าเช่นนี้ด้วยหรือ ” จางจิ้งพูด “ เป็นโรงเตี้ยมของนายข้าน่ะ ต้อนรับเฉพาะคนที่รู้จักผ่านไปมามาพักพิงชั่วคราว ” คนขับรถม้ากล่าว คนขับรถม้าก็เดินนำทั้งสี่คนเข้าไปในโรงเตี้ยมแล้วนั่งโต๊ะที่ใกล้ริมหน้าต่างอากาศถ่ายเทดี “ มาแล้วเหรอ ” ทุกคนหันไปทางเสียงนั่นชายหนุ่มรูปงามเดินลงมาใบหน้ายิ้มอ่อนโยนดูแล้วให้ความรู้สึกอบอุ่นแต่ดูยังไงก็ไม่เหมือนพ่อค้าเลย ไป่เซนั้นตกใจเบิกตากว้างจิตใต้สำนึกเอ่ยชื่อหนึ่งออกมาในใจ : มู่มู่  : ไป่เซหันไปกระซิบถามจางจิ้งว่า “ จางจิ้งเจ้ารู้มั้ยคุณชายคนนี้ใคร ” “ เอ่อ เป็นคนรู้จักของนายท่านที่ส่งมาช่วยพวกเราเจ้าค่ะ คุณหนูข้าลืมบอกคุณหนูเรื่องหนึ่งตอนที่ติดต่อรถม้าข้ากลับไปที่จวนพบท่านพ่อของคุณหนูปรึกษาเรื่องการเดินทางหลบหนี ”   ในวันนั้น “ มาแล้วเหรอ ซิ่วเอ๋อร์เป็นยังไงบ้าง ปลอดภัยดีใช่มั้ย ” หวังเหอหรงพูดอย่างเป็นห่วง “ ปลอดภัยอยู่เจ้าค่ะ ” “ อืม ดีแล้วๆ ” คำพูดอมทุกข์ของหวังเหอหรงนั้นฟังแล้วทำให้คนเศร้าใจ  สาวใช้รายงานว่าจางจิ้งมาคุณหญิงหวังรีบเดินเข้ามาสอบถามสภาพจิตใจบุตรสาวด้วยความเป็นห่วงทุกข์ใจ “ จางจิ้งลูกข้าสบายดีมั้ย กินข้าวกินน้ำได้เยอะอยู่มั้ย สภาพจิตใจเป็นยังไงบ้าง ข้าปวดใจเหลือเกินคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ที่ดูเหมือนจะรักซิ่วเอ๋อร์มากทำทุกอย่างอย่างอดทนมาหลายปีเพื่อได้ครอบครองนางสุดท้ายจะใจร้ายเยี่ยงนี้ ฮือๆๆ ”  “ จางจิ้งซิ่วเอ๋อร์มีเพียวเจ้าคนเดียวนางรักเจ้าเหมือนพี่สาวแท้ๆข้าฝากเจ้าดูแลนางให้ดีแทนข้าด้วยนะคอยปลอบใจนางแทนข้าที่อยู่ไกลมีเจ้าคนเดียวเท่านั้นข้าฝากด้วยทุกวันนี้ข้าเจ็บแทนซิ่วเอ๋อร์เหลือเกินเจ้ารับปากข้านะว่าจะดูแลนางอย่างดีจางจิ้ง ” คุณหญิงหวังจับมือจางจิ้งพูดถามเสียงสั่นคลอสะอึกสะอึ้นร้องให้อย่างปวดใจใบหน้าเศร้าหมอง “ เจ้าค่ะ ข้ารับปากข้าเองก็เจ็บปวดไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ ข้าสัญญาจะดูแลคุณหนูให้ดีที่สุดแม้ต้องสละชีวิตนี้ของข้าก็ตาม  ” จางจิ้งพูดอย่างหนักแน่นดวงตานั้นฉายแววความโกรธแค้น “ ดี ดีมากขอบใจเจ้ามากได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ข้าก็สบายใจขึ้นหน่อยอย่างน้อยซิ่วเอ๋อร์ก็ไม่ได้ตัวคนเดียวข้าขอบใจเจ้ามาก ” คุณหญิงหวังเฟยพูด นายท่านหรงเข้ามาโอบไหล่ปลอบภรรยาที่โศกเศร้าเสียใจ “ ข้ามีลูกแค่คนเดียว ข้าฝากเจ้าด้วยนะจางจิ้ง ข้ารู้ว่าซิ่วเอ๋อร์ทุกข์ขนาดไหนที่แต่งกับคนที่มากสนมเช่นฮ่องเต้แต่เมื่อชะตาฟ้าขิตถูกกำหนดไว้แล้วก็ไม่อาจหนีได้อย่างน้อยมีเจ้าร่วมเคียงข้างข้ากับฮูหญิงก็สบายใจ ” “ เจ้าค่ะ นายท่านกับฮูหญิงอย่าคิดมากหากคุณหนูรู้คงจะยิ่งรูสึกผิดต่อท่านที่แต่งกับฮ่องเต้เจ้าค่ะ ” “ นายท่านข้ามาวันนี้นอกจากมาแจ้งข่าวคุณหนูแล้วจะปรึกษาท่านเรื่องการหลบหนีเจ้าค่ะ ” ฮูหญิงหวังได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตากว้างแล้วถามขึ้นว่า “ เจ้าว่าอะไรนะ จะหลบหนี พวกเจ้าคิดดีแล้วเหรอ ” “ เป็นการตัดสินใจของคุณหนูเจ้าค่ะ ” จางจิ้งตอบ “ เพราะเหตุใดซิ่วเอ๋อร์ถึงตัดสินใจหนี ”  นายท่านหรงถามขึ้นด้วยความสงสัย จางจิ้งตอบอย่างลำบากปากแต่ก็ต้องพูดตามจริง ถ้าไม่ใช่เพราะนายท่านหรงเป็นคนรักเดียวเมียเดียวนางคงไม่ลำบากพูดเช่นนี้ เพื่อนๆของฮูหญิงต่างพากันอิจฉาที่ได้สามีรักเดียวบ้านอื่นมีปัญหาแก่งแย่งผิดกันแต่บ้านตระกูลหวังนั้นไม่มีเลย อยู่กันอย่างมีความสุข  ในยุคนี้หาผู้ชายที่มีฐานะร่ำรวยเมียเดียวนั้นยากมีแค่หนึ่งในล้านคน เพราะแบบนี้ซิ่วอิงถึงปฏิเสธฮ่องเต้หนุ่มผู้หล่อเหลารูปงามมาหลายปี ผู้คนต่างรู้กันทั่วทั้งใต้หล้านี้ ว่าบุตรสาวตระกูลหวังเป็นหญิงสาวสง่างามอัจฉริยะวรยุทธ์ล้ำเลิศ มีคุณธรรม จิตใจเมตตา เป็นที่หมายปองขององค์ชายต่างแดน  “ เอ่อ คือ…นายท่านคงยังไม่ทราบข่าวที่ฮ่องเต้ฉีอินจะอภิเษกกับบุตรสาวขุนนางตระกูลหลี่ หลี่อันหลี่ใช่มั้ยเจ้าคะ ” สองสามีภรรยาถึงกับอึ้งดวงตาเบิกกว้างสักพักก็เปลี่ยนเป็นแววตาทุกข์ใจ “ ฮ่องเต้ทรงลืมแล้วหรือไงใครกันที่ตามตื้อหลายปี ฮ่องเต้ทำร้ายใจซิ่วอิงมากเกินไปแล้ว ฮ่องเต้ของแผ่นดินทรงมีหัวใจอยู่บ้างมั้ย ถ้าทำตามสัญญาไม่ได้ก็ไม่ควรพูดให้หมดความน่านับถือเยี่ยงนี้ ข้าหลงคิดว่าจะแต่งกับแค่ซิ่วเอ๋อร์คนเดียวนึกไม่ถึงว่าจะเจ้าเล่ห์เพียงนี้ ข้าเกลียดฮ่องเต้ๆ  ” ฮูหญิงหวังพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆอย่างคนไม่มีสติแววตาโกรธแค้นแทนบุตรสาวนั้นน่ากลัวจนคนรอบข้างรู้สึกได้ก่อนแต่งงานไป่เซได้เล่าให้แม่เขาฟังว่าฮ่องเต้สัญญากับเขายังไง “ ฮู้หญิงท่านใจเย็นๆ ท่านอย่าคิดมากเลยลูกหญิงของเราฉลาดแค่ไหนเก่งแค่ไหนเจ้าลืมแล้วหรือ ฮื้ม ” นายท่านหรงโอบภรรยาพูดปลอบอย่างอ่อนโยนสักพักฮูหญิงก็รู้สึกดีขึ้นเมื่อนึกถึงความเก่งของลูก “ เจ้าบอกมาสิว่าซิ่วเอ๋อร์วางแผนยังไง ” นายท่านหรงพูด จางจิ้งเล่าทุกอย่างให้เขาหังจนหมด “ อืม เมื่อซิ่วเอ๋อร์ตัดสินใจเช่นนี้ข้าก็ถือว่าไม่ผิด เท่าที่ฟังดูฮ่องเต้ผิดคำพูดเอง ข้ารู้จักกับคุณชายต่างแคว้นคนหนึ่งเจอกันตอนทำการค้าขายทางเขตชายแดนใต้ ข้าจะส่งข่าวให้เขาส่งคนมารับพวกเจ้านอกวัง เขาต้องมาแน่เจ้าวางใจเถอ ” นายท่านหรงพูด เหมือนมั่นใจว่าเขามาช่วยเพียงแค่ทราบข่าว “ เหตุใดนายท่านถึงมั่นใจว่าเขาจะเสี่ยงช่วยพวกเราเจ้าคะ ” “ ข้าบอกเจ้าเจ้าอย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้แก่ซิ่วเอ๋อร์นะ คุณชายท่านนี้เป็นคนหนุ่มรูงามรูปร่างสูงใหญ่สง่าไม่แพ้ฮ่องเต้เลยทำมาค้าขายเก่งฉลาด ยามค้าขายชายแดนก็ช่วยข้าเจรจาหลายหน ข้าล่ะชื่นชอบเขาเสียจริง เขาชอบคุณหนูของเจ้าครั้งจะขอหมั้นหมายคุณหนูของเจ้าก็ตอบตกลงแต่งฮ่องเต้เสียแล้ว เขาเป็นคนจิตใจดีมั่นคงคนหนึ่งหากครั้งนี้ซิ่วเอ๋อร์ได้เจอเขามีใจให้เขาข้าก็ยินดีออกจากแคว้นนี้เพื่อความสุขของซิ่วเอ๋อร์ \" “ เช่นนี้ข้าก็มั่นใจแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะรายงานแผนการให้คุณหนูทราบเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ ” “ คุณหนูฝากมาบอกว่าระหว่างที่คุณหนูไม่อยู่ฮูหญิงกับนายท่านดูแลตัวเองดีๆไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ ” “ อื้ม ฝากดูแลซิ่วเอ๋อร์ด้วย ” ฮูหญิงพูดนายท่านหวังพยักหน้า “ ข้าน้อยขอลา ”  จางจิ้งโค้งคำนับแล้วหมุนตัวใช้วิชาตัวเบาลอยหายไป จางจิ้งเล่าให้ไป่เซฟังทุกคำพูด ยกเว้นเรื่องที่คุณชายท่านนี้ชอบคุณหนูของตนเพราะรับปากนายพ่อของคุณหนูของเขาเอาไว้ “ อื้มเข้าใจแล้ว ”  ไป่เซกล่าวใบหน้าเรียบเฉย ชายหนุ่มเดินเข้ามาที่โต๊ะหันไปพูดคุยกับคนขับรถม้าว่า “ หลงหลง เจ้าไปพักเถอะ ขอบใจเจ้ามากที่พาคุณหนูหวังซิ่วอิงมาอย่างปลอดภัย ” ชายหนุ่มพูดน้ำเสียงตุ้มต่ำแววตาอ่อนโยน “ ครับคุณชาย ” พูดจบก็หมุนตัวออกไป ชายหนุ่มเข้ามานั่งสายตาจ้องไปที่ไป่เซอย่างอ่อนโยน “ ท่านเดินทางมาไกลท่านจะเหนื่อยมากข้าจะพาท่านไปยังห้องพัก ” ชายหนุ่มพูด ทั้งสามคนลุกขึ้นเดินขึ้นไปชั้นบน ไป่เซนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ทราบชื่อเขาจึงพูดออกไปว่า “ เอ่อ คุณชายท่านรู้จักข้าแล้วข้าจะแนะนำให้ท่านรู้จัก คนนี้คือท่านหมอลี่เป็นหมอ คนนี้คือจางจิ้งคนสนิทของข้า ” ผู้ชายคนนี้ยิ้มอ่อนโยนแล้วพูดว่า “ อ่อ ขออภัยแม่นางซิ่วอิง เสียมารยาทแล้วข้าชื่อ มู่หลง ” หมอหลวงและจางจิ้งยิ้มพูดว่า “ ยินดีที่รู้จักครับคุณชายมู่/ยินดีที่รู้จักเจ้าค่ะคุณชายมู่ ” “ ขอบใจที่ช่วยเจ้าค่ะคุณชายมู่ต่อไปลำบากท่านแล้ว ” ไป่เซพูดมุมปากยกยิ้มแต่แววตาเศร้านั้นมู่หลงดูออกมองเธอด้วยแววตาอ่อนโยนลึกซึ้งยิ้มอ่อนจึงพูดว่า “ ลำบากอะไรกันขอเพียงแค่ท่านต้องการข้าก็เต็มใจช่วย ”  น้ำเสียงนุ่มนวลแววตาอ่อนโยนนั้นไป่เซยากจะปฏิเสธยิ้มตอบอย่างตั้งใจ “ ข้าจะรอท่านข้างล่างหากพวกท่านทำอะไรเสร็จก็ลงมากินข้าวกันข้าจะให้คนเตรียมไว้ ” คุณชายมู่พูด “ อืมได้ ” ทั้งสี่ก็แยกย้ายตามห้อง ไป่เซนอนกับจางจิ้ง หมอหลวงนอนอีกห้องหนึ่ง เมื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จทุกคนก็ไปรวมตัวกันกินข้าวที่ชั้นล่างของโรงเตี้ยม ในตอนที่พวกเขากินข่าวอยู่นั้นไป่เซสังเกตว่าผู้คนในโรงเตี้ยมเพิ่มขึ้นกว่าตอนมาและรู้สึกได้ถึงผู้มีวรยุทธ์รอบๆไป่เซจึงหยุดทานข้าวต่อ “ มีอะไรหรือแม่นางซิ่งอิง ”  คุณชายมู่เอ่ยถาม ไป่เซส่ายหัวพร้อมตอบว่า “ ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ” จางจิ้งและหมอหลวงมองไปยังไป่เซจางจิ้งอดถามไม่ได้จึงเอ่ยกระซิบเบาๆขึ้น “ มีอะไรแปลกหรือเจ้าคะคุณหนู ” “ ข้ารู้สึกได้ถึงผู้มีวรยุทธ์สูงส่ง ”  ไป่เซตอบเสียงต่ำใบหน้าเรียบเฉย คุณชายมู่มองใบหน้าไป่เซแล้วยิ้มจึงพูดขึ้นว่า “ แม่นางซิ่วอิงท่านเก่งจริงๆใต้หล้านี้ไม่อาจมีหญิงใดเทียบท่านได้เลยจริงๆ ” “ ท่านพูดเช่นนี้ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน ” “ ท่านออกมาเถิด ” คุณชายมู่พูด ทันใดนั้นชายชุดขาว หนวดเคราวยาวผมขาวก็ปรากฎ จิตใต้สำนึกของเธอเรียก  : คุณทวด คุณปู่ทวด : “ ท่านอาจารย์ ! \" ไป่เซเรียกอย่างตื่นเต้นดวงตาเศร้าหมองหายไปเปลี่ยนเป็นแววตาประกายแวววาวทันที “ คารวะท่านอาจารย์เจ้าค่ะ ”  ไป่เซแล้งจางจิ้งโค้งคำนับอาจารย์เขา “ ท่านอาจารย์ ท่านมาได้ยังไงเจ้าคะ ท่านรู้ได้ยังไงว่าข้ามาอยู่ที่นี่ ” “ ลูกศิษย์ของข้าอยู่ที่นี่พร้อมหน้ากันอาจารย์อย่างข้าจะไม่มาได้อย่างไรกัน ฮ่าๆๆ ” “ เอ๋ ท่านกล่าวเช่นนี้แสดงว่าท่านมีศิษย์คนอื่นอีกหรือเจ้าคะ ”  ไปเซถามด้วยความสงสัยเท่าที่นางรู้มีเพียงนางและจางจิ้งที่เป็นศิษย์ “ ถูกถึงเวลาข้าจะแนะนำให้พวกเจ้าได้รู้จักกัน ” “ เจ้าค่ะข้าจะรอ ” อาจารย์เชิญนั่งเจ้าค่ะ \" \" อ่าๆได้ทุกคนนั่งๆ \" อาจารย์พูดด้วยรอยยิ้ม การมาของอาจารย์สร้างความสุขให้ไป่เซไม่น้อยลืมความทุกข์ไปชั่วขณะ \" เอาข้าวมาเพิ่มอีกชุด \" คุณชายมู่หันไปบอกกับคนงานร้าน พวกเขากินข้าวไปพูดไป “ ท่านอาจารย์ไม่ได้เจอท่านสองปีแล้วท่านยังแข็งแรงดีมั้ยเจ้าคะ ” “ แข็งแรงดีสิไม่งั้นเจ้าจะเห็นข้าที่นี่หรือ ”  อาจารย์เทียนอวี่มองไป่เซอย่างเอ็นดู เขารู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ  คุณชายมู่คีบอาหารที่มีรสชาติอ่อนๆให้ไป่เซ ทำให้คนที่ร่วมกินข้าวนั้นรู้สึกถึงความห่วงใยที่เขามีต่อไป่เซโดยเฉพาะอารย์เทียนอวี่ สายตาที่มองพวกเขานั้นอ่อนโยนยิ่งนัก พวกเขากินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อยกินข้าวเสร็จก็นั่งคุยกันตามประสาคนรู้จักที่เพิ่งได้เจอกัน ทางด้านฮ่องเต้ฉีอินที่ตามมานั้นกลับไม่เจอร่องรอยของไป่เซแล้วทั้งที่แท้จริงแล้วเขาน่าจะตามทันตั้งนานแล้วแต่กลับไม่เห็นแล้วแม้แต่ร่องรอยเขารู้สึกโมโหมากกำมือแน่นโกรธแค้นคนที่พาไป่เซหนีใบหน้าแผ่รังศีอำมหิตพร้อมสังหารคนแต่เขาไม่ทำเช่นนั้นแล้วเหมือนถูกความมีเมตตาของไปเซหลอมละลายใจเขาความโหดเหี้ยมลดน้อยลง “ เจ้าไปสืบมา ใครพานางหนี ใครพานางหลบซ่อนข้า ” ฮ่องเต้กล่าวอย่างดุดันต่อชายชุดดำ “ ขอรับนายท่าน ” พูดจบชายชุดดำถอยออกไปใช้วิชาตัวเบาหายไป ฮ่องเต้เชื่อว่าไป่เซยังไปได้ไม่ไกลบวกกับร่างกายเขาที่ไม่ได้หลับนอนมาสามวันสามคืนก็เริ่มอิดโรยจึงสั่งทหาว่า “ คืนนี้พักที่นี่ก่อน ” ทหารเตรียมน้ำเตรียมอาหารให้เขา ท้องฟ้ายามค่ำคืนกลางป่าคืนนี้พระจันทร์เต็มดวงแสงนวลดวงจันทร์ส่องลงมาค่ำคืนที่เงียบเหงาใจของฮ่องเต้ฉีอินนั้นเหมือนทุกห่อหุ้มแช่ด้วยหิมะเย็นยะเยือก  สิ่งที่เขาหวนคิดถึงก็มีแต่ความเสียดายและเสียใจ นึกถึงช่วงเวลาก่อนแต่งงานกับไป่เซ ครั้งแรกที่เห็นภาพวาดนางที่ทหารลับนำมาให้เขาก็ตกหลุมรักใบหน้านางแล้วยิ่งได้ยินข่าวความเก่งความเฉลียวฉลาดความมีเมตตาที่ผู้คนเล่าขานกันก็ยิ่งอยากครอบครอง : เจ้าหนอเจ้าซิ่วอิง ข้าสู้ทำทุกวิถีทาง สู่ขอ นัดพบ กดดัน บีบบังคับสารพัดวิธีใจเจ้าก็แข็งกร้าวดุจเหล็กกล้าปฏิเสธข้าได้ทุกครั้งไป เจ้าทำข้าขายหน้า เป็นที่ซุบซิบนินทาของราษฎรในใต้หล้ามาแค่ไหนข้าก็ยอมเพียงเพราะต้องการเจ้า หากไม่ใช่เพราะความเมตตาปรานีของเจ้าที่มีต่อผู้อื่น ข้าคงไม่ได้เจ้ามาครอบครอง กว่าที่ข้าจะได้เจ้ามาทหารข้ายอมสละชีวิตสู้รบกับเจ้าตายไปเท่าไหร่ ข้าหวังจะได้ครอบครองเจ้าทั้งกายและใจพยายามจนทำสำเร็จ ข้ามันเลวเห็นแก่ตัว  ครั้งเจ้ามอบร่างกายและหัวใจให้ข้าข้ากลับทำลายมันสมควรแล้วที่เจ้าหนีข้าไปแต่ข้าไม่อาจทนต่อความเห็นแก่ตัวและความปรารถนาของตนเองได้ยังไงข้าก็จะตามเจ้ากลับมาครอบครองอีกครั้ง :  ฮ่องเต้ที่ใบหน้าเศร้าหมอพึมพำอยู่ดับตนเองจู่ๆก็มีหญิงสาวทำลายความเศร้าหมองความเป็นส่วนตัวของเขาผู้หญิงร่างเล็กบอบบางวิ่งมาทางพวกเขาด้านหลังมีชายฉกรรจ์ไล่ตามมาตามติดๆ “ ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย ”  หญิงสาวร้องขอความช่วยเหลือหน้าตาตื่นตระหนกหวาดกลัวฮ่องเต้เห็นจึงรีบเข้าไปช่วยนางจับแขนฮ่องเต้และหลบอยู่ข้างหลัง “ ท่านช่วยข้าด้วย ข้ารู้ว่าท่านต้องเป็นคนดี ช่วยข้าด้วย ”  น้ำเสียงนางสั่นคลอท่าทางหวดกลัว “ พวกเจ้าเป็นใครมาขวางข้าทำไม ส่งตัวผู้หญิงมา ” ชายร่างสูงใหญ่พูด หญิงสาวได้ยินก็เกิดสั่นกลัวส่ายหัวอย่างเร็วจับแขนฮ่องเต้ไว้พูดว่า “ ไม่นะ ไม่ท่านอย่าส่งข้าไปให้พวกเขา ขอร้องท่านช่วยข้าด้วย หากท่านต้องการอะไรข้าตะตอบแทนท่านทุกอย่างข้ากลัวพวกมัน อย่าส่งข้าให้พวกเขานะ ข้ากลัว ” ฮ่องเต้เห็นหญิงสาวก็รู้สึกสงสารจึงพูดว่า “ เจ้าไม่ต้องกลัวข้าไม่ส่งเจ้าให้พวกเขาหรอก ” “ เจ้าหมายความว่าอย่างไร ทางที่ดีอย่ายุ่งเรื่องผู้อื่นจะดีกว่า ส่งนางมาให้ข้า ” ชายฉกรรจ์พูด “ เจ้าไม่ได้ยินนางพูดเหรอ นางไม่ไปกับเจ้าทางที่ดีถ้าเจ้าไม่อยากตายก็ก็ไสหัวไปซะ ” ฮ่องเต้กล่าว “ เจ้า ” ชายฉกรรจ์พูดพร้อมชี้หน้าฮ่องเต้อย่างเดือดดาลแล้วดึงกระบี่ออกมาต่อสู้ฮ่องเต้ถอยให้เหล่าองครักษ์ต่อสู้จนชายฉกรรจ์สี่คนได้รับบาดเจ็บและถอยหนีไป หญิงสาวเข้ามาใกล้ฮ่อเต้แล้วพูดว่า “ ขอบคุณคุณชายมากที่ช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าจะไม่ลืมบุญคุณท่าน มีโอกาสข้าจะตอบแทนท่านสุดแล้วแต่ท่านต้องการข้าจะตอบแทนทุกอย่าง ” พูดจบนางหมุนตัวจะเดินจากไป “ เจ้าจะไปไหน ” ฮ่องเต้เอ่ยถาม “ ข้าจะหาทางออกจากป่านี้ ข้าถูกขายมามีโอกาสหนีก็หนีอย่างไม่รู้จุดหมายปลายทาง ” หญิงสาวพูด “ เจ้าไม่ต้องไปหรอก คืนนี้เจ้าค้างที่นี่ก่อนพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน อีกอย่างเจ้าเป็นหญิงมันอันตราย ” “ แต่ข้าคิดว่าคงจะไม่เหมาะที่หญิงสาวจะค้างคืนกับบุรุษมันดูไม่งามนักเจ้าค่ะ ” หญิงสาวกล่าว “ เจ้าไม่ต้องคิดมากหรอก ข้าจะให้คนเตรียมน้ำเสื้อผ้าที่นอนให้เจ้า ” “ ขอบคุณเจ้าค่ะขอบคุณมากข้าช่างโชคดีเป็นบุญของข้าที่พบเข้ากับท่านที่มีเมตตา ” ฮ่องเต้หันไปทางทหารแล้วพูดว่า \" เตรียมให้นาง \" ทหารองครักษ์ทั้งสองก็เดินไปตักน้ำในลำธารใกล้ๆที่พวกเขาใช้อาบกันสองคนคุยกัน “ ฝ่าบาทชักศึกเข้าบ้านอีกแล้ว ” องครักษ์คนหนึ่งพูด “ ข้าว่าไม่หรอกหญิงสาวคนนั้นดูบอบบางอ่อนแอใครเห็นก็ต้องช่วยดูแล้วไม่มีพิษมีภัย ” “ เจ้าจะไปรู้อะไรใจหญิงนั้นยากแท้หยั่งถึงเขาว่าความงามมักปิดบังตัวเองที่แท้จริงเสมอดูอย่างแม่นางอันหลี่สิ ” “ เฮ้ เจ้าคิดมากไปแล้วฝ่าบาทไม่ได้คิดอะไรดับหญิงสาวคนหนึ่งง่ายๆหรอก ฝ่าบาทยังทรงเสียพระทัยอยู่และก็อยู่ในช่วงเวลาตามกาพระชายาฝ่าบาทไม่มีกะจิตกะใจทำเรื่องนั้นหรอก ” “ เรื่องแบบนี้มันก็ไม่แน่ เท่าทีข้าดูหญิงสาวก็หน้าตาสะสวย ข้าแค่กลัวฝ่าบาทจะทำผิดต่อพระชายาอีกจนพระชายาไม่อาจใจอ่อนให้ได้อีกต่อไป เจ้าก็รู้พระชายาเราเหมือนผู้หญิงธรรมดาทั่วไปที่ไหนกัน ความจริงข้ารู้สึกสงสารพระชายามากถ้าข้ามีหญิงที่ชอบพอข้าจะมั่นคงกับเขาอค่คนเดียว ” “ เพ้อเจ้อๆรีบๆตักน้ำพูดมากหัวจะหลุดจากบ่าเอาได้ ” ทั้งสองรีบตักน้ำกลับไปเพียงพอให้หญิงสาวชำระร่างกายหญิงสาวลงไปในอ่างอาบน้ำชำระร่างกายเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เดินเข้าไปในกระโจนของฮ่องเต้ สะดุ้ง ฮ่องเต้ตกใจรีบคว้าดาบออกมา “ ข้าเองเจ้าค่ะ ”  หญิงสาวเอ่ยออกมา “ เจ้าเข้ามาได้ยังไง  ”  ฮ่องเต้เอ่ยถามน้ำเสียงราบเรียบในหน้าหล่อเหลาเฉยชานั้นทำให้หญิงสาวจ้องมองอย่างไม่ละสายตาหญิงสาวค่อยๆเงยหน้าขึ้นความงามบนใบหน้าปรากฎต่อหน้าฮ่องเต้ : ผู้หญิงคนนี้เมื่อกี้ดูไม่ออกเลยพอชำระร่างกายเสร็จนึกไม่ถึงว่าเป็นหญิงสาวงดงามคนหนึ่ง : ฮ่องเต้พึมพำในใจสายตาจ้องไปที่หญิงสาวหญิงสาวที่แต่งชุดผู้ชายก็เขินอายจนหน้าแดงนางตกหลุมรักฮ่องเต้นางค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ฮ่องเต้เอ่ยถามว่า “เหตุใดท่านถึงจ้องข้าเช่นนี้ ” ฮ่องเต้ได้สติพูดขึ้นว่า “ นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะดูสะอาดสะอ้านกว่าคนทั่วไปไม่เหมือนหญิงสาวชาวบ้านทั่วไป ”  หญิงสาวยิ้มเข้าใจดีว่าเป็นเพียงคำแก้ตัวของฮ่องเต้หญิงสาวรู้ดีจึงเอ่ยว่า “ ขอบคุณเจ้าค่ะข้าจะถือว่าเป็นคำชม แท้จริงแล้วพ่อข้าเป็นพ่อค้า ข้าตามท่านพ่อข้าไปค้าขายแต่ถูกโจรดักปล้นและฆ่าพ่อข้าตายมีเพียงข้าที่หนีรอดไปได้กลับไปหาแม่เลี้ยงแม่เลี้ยงก็จับข้าขายให้กับคนกลุ่มเมื่อกี้เจ้าค่ะ ข้าไม่มีที่ไปจึงอยากขอติดตามท่านด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ ” ฮ่องเต้ยืนขึ้นเอามือไขว้หลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบว่า “ ได้ แต่เจ้าต้องลำบากหน่อยนะ ” “ ข้าไม่เป็นไรขอแค่ปลอดภัยมีที่ให้ไปก็พอ ” หญิงสาวพูด “  อืม ก็ดีว่าแต่ เจ้ามีชื่อชื่อว่าอะไรล่ะ ” “ ข้าชื่อ หลันเอ๋อร์ เจ้าค่ะ ” ฮ่องเต้พยักหน้า อืม หญิงสาวสงสัย : คุณชายที่ดูดีมีคนคอยรับใช้เช่นนี้เหตุใดจึงมาอยู่กลางป่า : “ ท่าจะไปไหนหรือ ”  หญิงสาวเอ่ยถาม พอได้ยินประโยคนี้ฮ่องเต้ก็นึกถึงพระชายาขึ้นมาได้ทันที : ข้าเป็นอะไรเหตุใดข้าถึงลืมซิ่วอิงไปชั่วขณ :  ฮ่องเต้พูดในใจแท้จริงแล้วคือนิสัยที่แท้จริงของฮ่องเต้ที่ไม่รู้จักพอเพราะความเคยชินที่เขาสามารถมีสนมกี่คนก็ได้เห็นหญิงงามเป็นดั่งดอกไม้ที่พอใจก็เก็บมาเด็ดดม แต่ฮ่องเต้นั้นกลับไม่รู้สึกตัวเลย “ ข้ามาตามหาภรรยา ภรรยาข้าถูกลักพาตัวไป ” พอได้ยินคำว่าภรรยาหญิงสาวก็ก้มน้าลงเล็กน้อยสีหน้าหม่นหมองลง ฮ่องเต้เหลือบเห็นสีหน้านางจึงเอ่ยถามว่า “ เจ้าเป็นอะไรไปหรือ ” “ เปล่าเจ้าค่ะ ข้าแค่ เอ่อ แค่ ” หญิงสาวอ้ำอึ้ง “ แค่อะไรว่ามา ”  “ เอ่อ ข้าแค่ แค่ตกใจนิดหน่อย ” “ เหตุใดเจ้าจึงตกใจ ข้าพูดอะไรน่ากลัวรึ \" “ เปล่าเจ้าค่ะ แค่นึกว่าท่านยังไม่มีภรรยา พอรู้ว่าท่านมีภรรยาข้ารู้สึกผิดหวังเสียใจนิดหน่อยเท่านั้นเอง ” “ ทำไม ” ฮ่องเต้จองหน้านางแล้วเอ่ยต่อว่า “ เจ้าชอบข้าเหรอ ” หญิงสาวพยักหน้าอย่างเขินอาย แล้วรีบหมุนตัวออกไป แต่ฮ่องเต้กลับรู้สึกพอใจคว้ามือหญิงสาวเอาไว้ดึงเข้ามากอดทั้งสองจ้องตากันริมฝีปากประกบจูบอย่างเร่าร้อนแล้วฮ่องเต้ก็ผลักนางลงบนเตียงทั้งสองพรอดรักกันทั้งคืนเสียงคราญดังไปถึงข้างนอกเหล่าองครักษ์ บางคนถึงกับนอนไม่หลับ บางคนรู้สึกถอดใจในการตามหาพระชายา บางคนทนเข้าใจความรู้สึกของพระชายาไม่ได้ถึงกับหลั่งน้ำตาพรั่งพรูออกมา ตอนเช้า ชายชุดดำกลับมาถึงกับตะลึงเล็กน้อยเสียศูนย์ไปหน่อยนึงเมื่อเห็นหญิงสาวข้างกายฮ่องเต้แต่นายจะทำอะไรก็เรื่องของนายเขามีหน้าที่ทำตามคำสั่งจึงรายงานว่า “ ฝ่าบาทพบเบาะแสพระชายาแล้วพะยะค่ะ พระชายาพักอยู่ที่โรงเตี้ยมกลางป่า ได้รับการช่วยเหลือจากองค์ชายแคว้นหนานพะยะค่ะ ” ฮ่องเต้ได้ยินคนรายงานเอ่ยถึงแคว้นหนานสมองเขาก็ทำงานทันทีอย่างรวดเร็วจึงออกคำสั่ง “ เดินทาง จะต้องตามพวกเขาให้ทัน ชิงตัวพระชายากลับมา ”  ฮ่องเต้สั่งออกไปด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดดุดัน้วยอารมณ์โมโหแต่ทันใดนั้นมีทหารกล้าตายคนหนึ่งคุกเข่าลงพูดออกมาอย่างหมดความอดทน “ ฝ่าบาทรักพระชายามากแค่ไหน เหตุใดฝ่าบาทจึงเอาหญิงอื่นมาหยามพระชายาเยี่ยงนี้พะยะค่ะ ” ฮ่องเต้ได้ยินทหารองครักษ์พูดเช่นนี้ก็โกรธอย่างมาก ทหารไม่เคยกล้ากับ้ขาเช่นนี้มาก่อน เหตุใดพวกเขาถึงจงรักภักดีต่อพระชายาขนาดนี้นางทำอะไรเหล่าองครักษ์เขากันแน่ ฮ่องเต้ยิ่งไม่พอใจโกรธจนดวงตาแดงก่ำจึงพูดว่า “ เจ้ากล้ามาก ”  พร้อมกับชักดาบออกมาทันที ทันใดนั้น ทหารอีกคนก็รีบคุกเข่าตามพูดขึ้น “ ฝ่าบาทโปรดไตร่ตรองเถอะพะยะค่ะ หากพระชายารู้ว่าระหว่างทางตามหาพระองค์เกิดเรื่องอะไรขึ้นเกรงว่าพระชายาจะไม่ยอมกลับมาด้วยพะยะค่ะ ” อีกคนก็มาคุกเข่าต่อ  “ ฝ่าบาท ท่านรู้นิสัยพระชายาที่สุด โปรดไตร่ตรองให้ดีเถอะพะยะค่ะ ” จากนั้นทหารทั้งหลายจึงคุกเข่าต่อกน้าเขาพูดขึ้นพร้อมกันว่า “ ฝ่าบาทโปรดไตร่ตรองให้ดีเถิดพะยะค่ะ ” ฮ่องเต้โกรธมากพยายามกลั้นความโกรธไว้มือกำแน่นหน้าแดงเส้นเลือดปูดนูนเป็นเส้นๆคนรอบตัวต่างเสียวสันหลังวาบแต่เพื่อพระชายาเขายอมตาย เพราะในสายตาพวกเขาพระชายาเพรียบพร้อมสูงส่ง สามารถชนะทหารได้เป็นร้อยๆคนมีจิตใจดีมีเมตตาเป็นผู้มีวรยุทธ์แกร่งกล้าคนนี้หายากยิ่งที่จะอ่อนโยนและมีรูปโฉมที่งดงามที่สุด เรียกได้ว่าเป็นพระชายาในดวงใจของเหล่าราษฎรทั่วแคว้นรวมถึงเหล่าทการในวังแต่เบื้องหลังใครจะรู้ว่าพระชายานั้นอ่อนแอแพ้ต่อความรักจนน่าสงสารคืนเข้าหอสามีไปมีอะไรกับหญิงอื่น สามีทอดทิ้งถูกขังไว้นานถึงสามเดือนหลังจากแต่งงาน โลกภายนอกเล่าลือกันว่าฮ่องเต้หลงพระชายา รักพระชายา มีใจที่มั่นคง อดทนรอหลายปี ทำสารพัดวิธีเพื่อครอบครองใจพระชายา แท้จริงมันเป็นแต่ตำนานเล่าขานน่าขันสิ้นดี สติและอารมณ์ของฮ่องเต้เริ่มเข้าที่จึงเอ่ยว่า “ หากพระชายารู้ว่าเจ้าจงรักภักดีต่อนางเยี่ยงนี้คงจะซาบซึ้งใจน่าดู  พวกเจ้าทำเช่นนี้จะใก้ข้าทิ้งผู้หญิงที่ข้าร่วมหลับนอนด้วยทั้งคืนอย่างนั้นหรือ ” ทหารก้มหน้าเงียบกริบไม่รู้จะตอบอย่างไรดีและแล้วก็มีหน่วยกล้าตายพูดเสริมคิด เหมือนเขาจะคิดวางแผนไว้แล้วจึงเอ่ยว่า “ เอ่อ..ฝ่าบาทส่งแม่นาง..เอ่อ..คุณหนูท่านนี้ไปพักในโรงเตี้ยมใกล้ๆเขตชายแดนก่อนแล้วให้ทการคอยคุ้มกันความปลอดภัยไว้แบบนี้ดีหรือไม่พะยะค่ะ ”  ทหารนายนี้ไม่รู้จะเรียกหญิงสาวว่าอะไรจึงพูดติดขัด ฮ่องเต้ครุ่นคิดอย่างหนัก หญิงสาวเห็นเช่นนั้นก็ทำหน้าหมองลงสีหน้าศร้าดูน่าสงสารแล้วเอ่ยว่า “ ฝ่าบาทไม่ต้องสนใจข้าหรอกเพคะ ข้าแค่หญิงชาวบ้านต่ำต้อยธรรมดาคนหนึ่งจะไปเทียบความสำคัญกับพระชายาได้เช่นไรเพคะเห็นทีจะดูไม่เหมาะสม ส่งข้าไปเถิดข้าใจง่ายที่หลงรักท่านเผลอมอบกายใจให้ท่านข้าโง่เขลายิ่งนักที่ไม่คิดไตร่ตริงให้ดีเสียก่อน ข้าไม่ตามท่านไปตามหาพระชายาก็ได้เพคะหากทำให้ท่านกับพระชายาผิดใจกันซ้ำยังทำใก้เหล่าทหารที่จงรักภักดีไม่พอใจ ข้าไม่สบายใจเพคะ \"  หญิงสาวสะอึกสะอื้นพูดน้ำเสียงสั่นคลอทำตัวน่าสงสารฮ่องเต้โอบนางเข้ามากอดในอ้อมอกอย่างทนุถนอม คำพูดของหญิงสาวทำเอาเหล่าทหารและชายชุดดำถึงกับตะลึงต่างคิดไม่ถึงว่าหญิงสาวจะร้ายกาจเพียจนี้เจ้าเล่ห์มายายิ่งนักตั้งแต่พวกเขาติดตามฮ่องเต้ไม่เคยมีใครร้ายในสายตาพวกเขาเท่านี้มาก่อนในใจอดห่วงพระชายาไม่ได้บางคนถึงกับถอดใจ หากพระชายาอยู่ที่อื่นแล้วมีความสุขเขาก็ยอมดีกว่ามาทนทุกข์กับอะไรแบบนี้ “ อ่า เอาเถอะๆ ข้าไตร่ตรองดีแล้ว หากพบพระชายาข้าจะอธิบายเอง พวกเจ้าไม่ต้องห่วงข้ารู้ว่าพวกเจ้าหวังดีออกเดินทางเถอะ ” พูดจบฮ่องเต้ก็อุ้มหญิงสาวกระโดดขึ้นขี่ม้าไปหญิงสาวก็อยู่ในอ้อมอกเขาทั้งสองออดอ้อนกันไปมาเหล่าทหารแม้จะไม่พอใจแต่ก็พูดอะไรไม่ได้แล้วเพราะพูดไปหมดแล้วสุดแล้วแต่บุญแต่กรรมของฝ่าบาทเขา ทหารคนหนึ่งก็อดที่จะพูดไม่ได้จึงพูดว่า “ ข้าว่าฟ้าลิขิตให้พระชายากับฝ่าบาทเกิดมาเพื่อครองคู่ครองแผ่นดินร่วมกันแต่ฝ่าบาทนั้นกำลังฝ่าฝืนลิขิตสวรรค์กำหนดชีวิตตนเองหากพระชายายอมเดินตามลิขิตสวรรค์ก็อาจจะไม่มีการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ หากว่าไม่อะไรจะเกิดเจ้าลองคิดดู สุดท้ายใครจะเสียใจที่สุดเราเป็นแค่ตัวช่วยน้อยๆไม่อาจรู้ได้ เฮ้อ ! ”  เพื่อนที่รับฟังก็พูดขึ้นว่า  “ เจ้าเป็นหมอดูตั้งแต่เมื่อไหร่ คิดมากไปได้มันจะมีการสูญเสีย การเสียใจได้เช่นไร ฮ่องเต้เราเก่งวรยุทธ์สูงส่งขนาดไหนไม่มีใครต่อกรได้เจ้าก็รู้ดี ” “ อืม ข้าพูดไปเรื่อยน่ะ พูดตามลางสังหรณ์ที่ข้ารู้สึกได้เท่านั้นเองแต่เกรงว่าคนที่จะเสียใจมากที่สุดคือฮ่องเต้ ” “ เอาล่ะๆ เลิกคิดมากได้ละ รีบตามพระชายากลับมาเร็วเถิด ” “ อื้ม ”  ทั้งสองรีบควบม้าไปอย่างรวดเร็วฮ่องเต้ที่อยู่ด้านหลังเขาได้ยินหมดทุกคำพูดสนธนานั้นเพราะคนที่มีวรยุทธ์สูงส่ง ทางด้านไป่เซ เธอนั่งอยู่ในรถม้ามีจางจิ้งอยู่ข้างๆ หมอหลวงนั่งในรถม้าอีกคันตามหลัง มู่หลงที่ควบม้าอยู่ข้างๆอยู่ๆก็มีชายชุดดำมารายงาน ชายชุดดำรายงานเสร็จมู่หลงทำท่าให้เขาไปชายชุดดำก็หายวับไปไปเซเห็นก็รู้สึกไม่สบายใจจึงเอ่ยถาม “ คุณชายมู่ มีอะไรหรือเปล่า ” “ เปล่าหรอกท่านพักผ่อนเถอะอย่าคิดมากจะไม่ดีต่อสุขภาพเอา ” มู่หลงผู้ชายที่แสนอบอุ่นอ่อนโยนคอยเอาใจใส่ไป่เซอย่างดีมาตลอดทางลึกๆจางจิ้งก็แอบหวังให้คุณหนูของเธอชอบคุณชายมู่คนนี้  จางจิ้งจึงหาโอกาสให้คุณชายมู่นั้นอยู่ใกล้ชิดกับคุณหนูของเขาจึงพูดขึ้นว่า “ คุณหนูข้าอยู่แต่ในรถม้าหลายวันข้ารู้สึกปวดเมื่อยข้าขอลงไปขี้ม้าสูดอากาศข้างนอกหน่อยนะเจ้าคะ ”จางจิ้งพูดพลางยิ้มร่า “ อืม ได้สิ ว่าแต่เจ้าจะเอาม้าจากไหนล่ะ ” “ ข้าขอยืมขี่ของคนพวกนั้นเอา ”  จางจิ้งพูดพร้อมชี้ไปยังกลุ่มคนติดตาม “ อืมๆได้ข้าเข้าใจเจ้า ” พอคุณหนูรับปากจางจิ้งก็เปิดม่านออกแล้วพูดว่า  “ คุณชายมู่ รบกวนท่านช่วยมาผลักเปลี่ยนอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูข้าหน่อยได้มั้ยเจ้าคะ ข้ารู้สึกปวดเมื่อยอยากยืดเส้นยืดสายหน่อยเจ้าค่ะแต่ก็เป็นห่วงคุณหนู ” ไป่เซเห็นเช่นนั้นจึงพูดขึ้นว่า   “ จางจิ้งเจ้าจะไปรบกวนคุณชายมู่ทำไมเจ้าไม่ต้องห่วงข้าหรอกข้าน่ะเก่งกว่าเจ้าตั้งเยอะเจ้าห่วงตัวเองก่อนเถอะ ” ไป่เซพูดสายตามองเขม็งไปที่จางจิ้ง จางจิ้งยิ้มเจื่อๆใครใช้ให้คุณหนูแต่งงานกับฮ่องเต้ล่ะถ้าไม่แต่งแต่แรกก็ไม่ต้องมาทุกข์และได้แต่งกับคุณชายมู่ไปนานแล่วป่านนี้คงจะอยู่กันอย่างมีความสุขแล้ว จากนั้นจางจิ้งก็กระโดดลงจากรถม้าทันทีแล้วหันไปพูดกับคุณชายมู่บนม้าว่า  “ คุณชายมู่ข้าฝากคุณหนูด้วย ” “ อืมได้ ไม่ต้องห่วง ”  พูดจบคุณชายมู่ก็ขึ้นไปในรถม้าพร้อมกับเอาน้ำยื่นให้ไป่เซดื่ม “ ขอบคุณเจ้าค่ะคุณชายมู่ ลำบากท่านแล้ว ” “ ลำบากอะไรกันข้ากับพ่อของท่านรู้จักกันข้าเต็มใจ ”  คุณชายมู่ยิ้มมองตาไป่เซด้วยแววตาอบอุ่นไปเซเองเจอเข้ากับผู้ชายอบอุ่นอ่อนโยนเช่นคุณชายมู่นั้นเธอก็ต้านทานแววตาเขาแทบไม่อยู่ถึงกับต้องหลบสายตาใบหน้าแรงระเรื่ออย่างเขินอาย เพราะฮ่องเต้ฉีอินไม่เคยปฏิบัติกับเขาแบบอ่อนโยนมาก่อนแต่ปฏิบัติกับหญิงอื่นอย่างทนุถนอมอ่อนโยนและอบอุ่นเธอเองก็เพิ่งจะได้รับความอบอุ่นจากผู้ชายเช่นนี้เป็นครั้งแรกเธอสามารถพูดได้ว่ารู้สึกดีก็ว่าได้ พอคิดถึงฮ่องเต้ที่ดูแลเอาใจใส่หญิงอื่นอย่างอ่อนโยน ส่งเสียงควรญคราญตอนมีอะไรกับคนอื่นให้เธอได้ปวดใจ และไปมีอะไรกับคนอื่นวันคืนเข้าหอทิ้งให้เธอเฝ้ารอเขาเกือบทั้งคืน สีกน้าเธอดูหมองลงแววตาหม่นหมองน้ำตาซึมออกมากนัยตำดำขลับนั้นฉายแววความเกลียดแค้นขึ้นมา คุณชายมู่เห็นแววตาของเธอก็เข้าใจทันทีจึงเอ
已经是最新一章了
加载中