ตอนที่17 คุณคือผู้หญิงของผม   1/    
已经是第一章了
ตอนที่17 คุณคือผู้หญิงของผม
โรงพยาบาล ไป่เซอยู่ในห้องน้ำสายตาจ้องมองไปที่ตัวเองในกระจกทบทวนเรื่องราวต่างๆในชาติที่แล้ว : ไป๋เจิ้นหลงกับมู่มู่จะรู้เรื่องราวในชาติที่แล้วมั้ยนะ แต่เท่าทีดูเหมือนพวกเขาจะไม่รู้ อืม งั้นก็ดีมีเราคนเดียวที่รู้น่ะดีแล้วจะได้ระวังตัวจากไป๋เจิ้นหลง อยู่ห่างๆเขาเอาไว้ :  ไป่เซคิดในใจแล้วก้มหน้าล้างหน้าล้างตาออกมาจากห้องน้ำพอเปิดประตูออกถึงกับสะดุ้งเมื่อเห็นไป๋เจิ้นหลงยืนพิงขอบประตู “ อ๊ะ !  มายืนเป็นผีทำไมตรงนี้ ”  ไป่เซพูดด้วยน้ำเสียงต่ำๆราบเรียบแฝงด้วยความไม่พอใจจากนั่นไป่เซก็ผลักเขาไป่เซเดินไปที่เตียงแล้วถามขึ้นว่า “ คุณเห็นโทรศัพท์ฉันไหม ” “ ทำไมฟื้นขึ้นมายังไม่ทันพ้นค่ำคืนมาถามหาโทรศัพท์แล้ว ”  ไป๋เจิ้นหลงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเดินมายืนข้างเตียงไป่เซก้มลงจ้องหน้าไป่เซแววตาดำลุ่มลึกคู่นั้นของเขาทำให้ไป่เซรู้สึกกลัวและอึดอัด แต่ไป่เซก็เก็บความกลัวไว้ไม่แสดงออกมาให้คนอื่นจับได้เช่นกันแล้วเอ่ยว่า “ เรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับคุณ ตกลงโทรศัพท์ฉันอยู่ไหน ” “ อ่อ คุณอย่าลืมสถานะตัวเองสิ คุณเป็นน้องสาวผมเรื่องของคุณล้วนเกี่ยวกับผม ” พูดจบไป๋เจิ้นหลงก็ยืดตัวตรงหยิบเอาโทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อยื่นให้ไป่เซพร้อมกับพูดว่า “ คุณไทรไปบอกเลิกผู้ชายคนนั้นซะ ”  “ มันจะมากเกินไปแล้วนะไป๋เจิ้นหลง คุณมีสิทธิ์อะไรมาบงการชีวิตฉัน ” ไป่เซขึ้นเสียง หน้านิ่วคิ้วขมวดความโมโหจนหน้าดำหูแดงไปหมด เธอกำโทรศัพท์แน่นสายตาจ้องไป๋เจิ้นหลงอย่างไม่กะพริบ แต่ไป๋เจิ้นหลงคนเย็นชาก็ยังไม่มีความรู้สึกอะไรใดๆ “ สิทธิ์ในการเป็นคู่หมั้นในอนาคตของคุณ ”  ไป๋เจิ้นหลงพูดอย่างมั่นใจ “ คิดเองเออเอง คุณมันบ้าไปแล้วควรไปพบจิตแพทย์ได้แล้ว ” พูดจบไป่เซเบือนหน้าหนีไปทางอื่นกดดูข้อมูลในโทรศัพท์เช็กการโทรเข้าโทรออกรับสายเห็นเบอร์มู่มู่โทรเข้ามาตลอดเป็นพันครั้งและมีเบอร์พ่อกับแม่ของเธอเธอจึงกดโทรหาพ่อกับแม่แต่โทรไม่ติดแล้วไป๋เจิ้นหลงจึงเอ่ยขึ้นว่า “ ผมให้คนของผมแจ้งพ่อแม่คุณแล้วว่าคุณปลอดภัยดี แต่อีกคนผมก็แจ้งเขาแล้วเช่นกัน ”  ประโยคสุดท้ายไป๋เจิ้นหลงพูดพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย แต่ไป่เซไม่สนใจเธอคิดว่าคุยกับมู่มู่ด้วยตนเองดีที่สุดจึงกดโทรออกทันที ทางมู่มู่ที่กำลังประชุมอยู่เห็นว่าเบอร์ที่โทรเข้ามาเป็นเบอร์ของไป่เซจึงรีบรับทันทีอย่างตื่นเต้นดีใจ “ ไป่คุณเป็นยังไงบ้าง สบายดีมั้ย ทำไมอยู่ๆคุณถึงกลายเป็นหลานบุญธรรมของตระกูลไป๋ล่ะ ผมเห็นข่าวต่างประเทศลงข่าวว่าคุณประสบอุบัติเหตุ ผมร้อนใจเป็นห่วงคุณมากเลยนะไป่ ติดต่อคุณไม่ได้เลย ”  มู่มู่เอ่ยไม่เว้นให้ไป่เซได้ตอบทีละคำถามทำให้ไป่เซรู้รับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงของมู่มู่ยิ่งเธอนึกภาพในอดีตชาติก็ยิ่งรู้สึกผิดต่อเขาเธอจึงเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ ฉันขอโทษนะคะที่ทำให้คุณเป็นห่วง ฉันปลอดภัยแล้วคุณไม่ต้องคิดมากนะ ตอนนี้ฉันสบายดีอีกไม่กี่วันก็จะกลับไทยแล้วจะกลับไปตอบทุกคำถามที่คุณอยากรู้เลยดีมั้ย ”  ใบหน้าไป่เซที่คุยกับมู่มู่นั้นอ่อนโยนจนไป๋เจิ้นหลงที่นั่งบนโซฟาเกิดความไม่พอใจ : ผู้หญิงคนนี้นี่ทีกับฉันไม่เห็นจะพูดจาดีๆเลย : ไป๋เจิ้นหลงพึมพำในใจ  “ อืม ผมคิดถึงคุณมากนะโทรหาคุณตลอดเลยไม่มีคนรับ ไป่คุณจำไว้นะทั้งชีวิตผมจะรักแค่คุณคนเดียว ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็แล้วแต่ขอให้จำไว้ว่าในใจของผมมีเพียงคุณเท่านั้น ”  น้ำเสียงของมู่มู่ฟังดูเปลี่ยนไปไป่เซเลยถามออกไปว่า “ ทำไมคุณพูดแปลกๆ มีอะไรหรือเปล่า ”   “ รอคุณกลับมาผมจะเล่าทุกอย่างให้ฟังนะ เดี๋ยวผมโทรหาใหม่นะตอนนี้ประชุมอยู่ ”   “ อ้อ! ค่ะ ” หลังจากวางสายไป่เซก้มมองโทรศัพท์นั่งคิดถึงคำพูดของมู่มู่ที่ว่า :ไป่คุณจำไว้นะทั้งชีวิตผมจะรักแค่คุณคนเดียวไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็แล้วแต่ขอให้จำไว้ว่าในใจของผมมีเพียงคุณเท่านั้น : “ มู่มู่คุณเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้นกับคุณกันแน่ ”   ไป่เซครุ่นคิดแล้วพึมพำเบาๆ “ ผมให้เวลาคุณหนึ่งเดือนบอกเลิกเขาซะแล้วเตรียมตัวเป็นคู่หมั้นผม ” “ ไร้สาระ คุณเลิกหาเรื่องฉันสักทีจะได้มั้ย ขอร้อง ”   ไป่เซรู้สึกรำคาญ “ ทำไมความหล่อของผมไม่ทำให้คุณหวั่นไหวบ้างเลยเหรอ ” “ ไม่ ! ”  เธอตอบอย่างมั่นใจ “ ไหนลองพูดอีกทีซิ ”  ไป๋เจิ้นหลงเข้ามาใกล้ไป่เซโค้งตัวลงเล็กน้อย “ คุณอย่าคิดว่าจะรังแกฉันได้ง่ายๆนะ ”  ไป่เซพูดจ้องตาเขม็ง “ งั้นก็ลองดูแล้วกัน ” ไป่เซจับไหล่ไป๋เจิ้นหลงแล้วพลิกตัวกระโดนลงจากเตียงไปอยู่หลังไป๋เจิ้นหลงแล้วยกมือขึ้นเตรียมจะฟาดลงบนท้ายทอยของเขาไป๋เจิ้นหลงหันหน้ามามือใหญ่รวบเข้าที่เอวของไป่เซมืออีกข้างจับมือของไป่เซเอาไว้แล้วดึงเธอเข้ามาแนบชัดกับอกอันแข็งแกร่งของเขา ล้มตัวลงบนเตียง มือทั้งสองของไปเซถูกจับรวมไว้บนเหนือศรีษะ ไป่เซตกใจ ดวงตาเบิกกว้าง คงจะเป็นครั้งแรกของไป่เซที่แสดงอาการตกใจให้ฝ่ายตรงข้ามรับรู้และอ่านสีหน้าเธอได้ “ คุณ คุณคิดจะทำอะไร ” “ คุณยังไม่รู้อีกเหรอว่าผมจะทำอะไร ”   ไป๋เจิ้นหลงก้มลงเตรียมจะจูบ “ หยุดนะ! ”  ไป่เซตะคอกเสียงดัง ไป๋เจิ้นหลงยิ้มมุมปาก ไป๋เจิ้นหลงมองใบหน้าเรียวเล็กดวงตาสดใสคู่นั้นของไป่เซริมฝีปากกระจับเขายิ่งอยากจะกลืนกินเธอไป๋เจิ้นหลงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์โน้มตัวลงกระซิบข้างหูไป่เซว่า “ ผมทำให้คนหน้าแดงใจเต้นแรงขนาดนี้เลยเหรอ ”  น้ำเสียงแหบแห้งเซ็กซี่ของไป๋เจิ้นหลง ไป่เซถึงกับเสียวสันหลังขนลุกอาการนี้เธอไม่สามารถอธิบายได้ว่าเพราะอะไร เธอไม่เข้าใจว่าทำไมใจเธอเต้นแรงขนาดนี้ : ทำไมใจเราเต้นแรงขนาดนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกับเรากันแน่ :   ไป่เซพึมพำอยู่ในใจเธอสับสนไปหมด ไป๋เจิ้นหลงเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งได้ใจยิ้มมุมปากก้มลงจูบทันที ยิ่งจูบไป๋เจิ้นหลงยิ่งควบคุมตัวเองไม่ไหวร่างกายอยากจะรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับไป่เซมืออีกข้างเริ่มขยับไปตามร่างกายของไป่เซไป่เซส่ายหัว “ อื้ม ! ” ปล่อย \" ไป่เซพูด ไป๋เจิ้นหลงได้สติกลับมาก็หยุดมือข้างที่ซุกซนอยู่ทันที แววตาทรงเสน่ห์ของเขาจ้องไปที่แววตาหวาดกลัวสดใสคู่นั้นของไป่เซ แล้วประกบปากจูบอย่างดูดดื่มเร่าร้อนเอาแต่ใจจนไป่เซร่างอ่อนระทวยเหมือนสติหลุดลอยออกไปเธอไม่สามารถต่อต้านร่างสูงใหญ่นี้ได้ไป๋เจิ้นหลงพยายามควบคุมการตอบสนองของร่างกาย ปล่อยปากไป่เซแล้วพูดกระซิบกระซ่าบข้างหูเธอเบาๆว่า “ ผมรักคุณ คุณคือผู้หญิงผม ” ไป่เซที่สติหลุดลอยเมื่อได้ยินเสียงกระซิบข้างหูก็ได้สติกลับมาทันที : ผมรักคุณ : ข้ารักเจ้า :  แล้วเธอก็นึกภาพวันที่ถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวในคืนเข้าหอชาติที่แล้ว เธอรู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมารวบรวมพลังลมปรานดันไป๋เจิ้นหลงออกอย่างแรงจากนั้นน้ำตาเธอก็ซึมออกมาเธอรู้สึกเสียใจแล้วพูดว่า “ คนหลอกลวง อย่าคิดว่าฉันจะหลงเชื่อคุณอีก ”  พูดจบน้ำตาเธอร้องให้พรั่งพรูออกมาอย่างเจ็บปวด ไป๋เจิ้นหลงบาดเจ็บกระอักเลือดออกมาจนแทบลุกไม่ขึ้นทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออกคนที่เข้ามาก็คือจินฟาและจินซาเขารีบเข้ามาผยุงตัวไปเจิ้นหลงไป๋เจิ้นหลงเดินมาทางไป่เซรวบรวมแรงทั้งหมดถามออกไปว่า “ คุณพูดอะไรของคุณ  ”  ไป๋เจิ้นหลงถามอย่างเป็นห่วง จากนั้นสลบไป จินฟาและจินซารีบพาไป๋เจิ้นหลงไปที่รถแล้วขับออกไปมุ่งหน้าไปยังเขากัวซานทันทีไป๋เจิ้นหลงที่กำลังสลบอยู่ก็เห็นภาพในอดีตปรากฏขึ้นเป็นฉากๆ  ภาพที่เขาจูบไป่เซมีอะไรกันแล้วบอกรักไป๋ว่า : ข้ารักเจ้า :  ภาพคืนแต่งงานที่เขาทิ้งไป่เซแล้วไปนอนกับหญิงอื่นหญิงคนนั้นก็คือ อันอัน นั่นเอง  ภาพที่เขาตามไป่เซระหว่างทางเจอกับผู้หญิงคนหนึ่งเขาลุ่มหลงในตัวหญิงคนนี้มากจนเกิดปัญหาต่างๆ ผู้หญิงคนนี้หลอกให้ไป่เซใช้พลังลมปรานให้ไล่ตามเขาที่ลักพาตัวลูกของเธอ ขณะที่เพิ่งไป่เซเพิ่งคอลอดลูกร่างกายิ่อนแอไม่สามารถใช้พลังได้หากใช้เท่ากับเป็นการฆ่าทางอ้อม ภาพทั้งสองก็ต่อสู้กันจนไป่เซบาดเจ็บหนักแล้วแทงผู้หญิงคนนั้นตาย ผู้หญิงคนนี้ก็คือ เจียผิงเฟย เขาเห็นภาพผู้ชายร้องให้เสียใจกอดไป่เซ คนนั้นก็คือแฟนคนปัจจุบันของไป่เซ  จากนั้นภาพก็เปลี่ยนเป็นฉากที่ชายหนุ่มสองคนตามไป่เซไปเที่ยวน้ำตกแล้วบังเอิญเจอกันสารภาพความในใจสองคนนี้ก็คือไป๋เจิ้นหลงกับมู่มู่ในปัจจุบันนั่นเอง  ฉากที่เขากอดร่างไร้วิญญานของไป่เซรวมถึงคำพูดต่างๆของเขาคล้ายกับถูกฝังเข้าไปในสองเขาจากนั้นภาพก็สลายหายไปไป๋เจิ้นหลงค่อยๆได้สติขยับเปลือกตาได้เล็กน้อยแล้วก็สลบไปอีกครั้ง ไป๋เจิ้นหลงรู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ที่สำนักหัวซานแล้ว ร่างกายเริ่มหายดีแต่สมองเขาจำภาพในอดีตชาติได้หมด และถึงรู้สาเหตุที่ไป่เซไม่ชอบเขา ไป๋เจิ้นหลงความจำดีเป็นเลิศจำได้ทุกถ้อยคำ “ ฟื้นแล้วเหรอ ”  อาจารย์เทียนอวี่เอ่ยถามใบหน้ายิ้มอย่างอ่อนโยน “ ที่นี่ที่ไหนครับ ทำไมผมมาอยู่ที่นี่ได้ ”  ไป๋เจิ้นหลงถาม “ ที่นี่คือ สำนักหัวซาน จินฟากับจินซาเป็นคนมาส่งคุณ ตอนที่คุณบาดเจ็บหนักจนสลบไป ” “ แล้วคุณเป็นใคร \" ไป๋เจิ้นหลงเอ่ยถามอย่างสงสัย  \" ฉันเป็นทวดของคุณ คุณปู่ทวดของคุณกับไป่เซหรืออวี้เฟิ่ง  คุณถูกพลังลมปรานของฉันที่ถ่ายทอดให้อวี้เฟิ่งพลังนี้คนทั่วไปไม่สามารถรักษาได้จินฟากับจินซาจึงต้องพามาที่นี่ ตอนนี้คุณก็หายดีแล้ว   ความทรงจำในอดีตที่คุณที่ปรากฏให้คุณเห็นนั้นอวี้เอ๋อร์เขาเห็นก่อนคุณดังนั้นการที่เขาเผลอทำร้ายคุณน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องดับความทรงจำในอดีตชาติ คุณลองนึกดูดีๆก่อนอวี้เอ๋อร์จะทำร้ายคุณคุณพูดอะไรทำอะไร \" ไป๋เจิ้นหลงนึกถึงคำพูดของตัวเองว่า “ ผมรักคุณ ” สมองของเขาก็นึกภาพที่เขาพูดก่อนแต่งงานตอนมีอะไรกับเธอว่า “ ข้ารักเจ้า ” ไป๋เจิ้นหลงก็เข้าใจทันที “ ผมเข้าใจแล้วครับ ขอบคุณมากครับคุณทวด ว่าแต่ทำไมคุณทวดถึงรู้ว่าผมกับไป่เซจำความทรงจำในอดีตชาติได้ล่ะครับ ” “ กระแสจิต สมาธิ ระลึกชาติ หากกระแสจิตนิ่งมีสมาธิสามารถระลึกชาติได้ เรื่องราวในอดีตชาติล้วนเกี่ยวข้องกับทวดทวดจะไม่รู้ได้อย่างไร ” “ คุณทวดทำไมผมไม่เคยเจอคุณเลย ” “ เคยเจอสิตอนคุณอายุประมานขวบสองขวบ ” อาจารย์เทียนอวี่กล่าว “ ออ ครับ ” จู่ๆไป๋เจิ้นหลงก็นึกถึงไป่เซขึ้นมาจึงขอลากลับ “ งั้นผมขอลากลับก่อนนะครับ ” “ อืม เดินทางปลอดภัย ”  ไป๋เยิ้นหลงโค้งคำนับหันหลังจากไป อาจารย์เทียนอวี่มองแผ่นหลังของเขาแล้วยิ้มอย่างอบอุ่น ขณะที่ไป๋เจิ้นหลงนั่งรถกลับเจียผิงเหอก็โทรเข้ามาไป๋เจิ้นหลงกดรับทันที “ มีอะไร ”  “ นายหายไปไหนตั้งสามวันติดต่อก็ไม่ได้รู้มั้ยคุณหนูอวี้เฟิ่งกลับไทยแล้ว ” “ ว่าไงนะ! เธอไปเมื่อไหร่ ”  ไป๋เจิ่นหลงพูดเสียงดังด้วยอารมณ์โมโหฉุนเฉียวขึ้นมาทันทีทันใดแล้วออกคำสั่งไปยังไปลายสายว่า “ นายจองตั๋วไปรอฉันที่สนามบินด่วนเลย ”  อาการตอนนี้บอกได้เลยว่าโกรธจัดยังดีที่คนที่อยู่ใกล้เขานั้นเป็นจินซากับจินฟาหากเป็นคนอื่นคงจะสั่นจนอึแตกฉี่ราดแล้ว ทั้งสองรู้งานรีบขับรถมุ่งไปยังสนามบินทีนทีแล้วบินต่อไปยังเมืองไทย : ไป่เซเธออย่าได้คิดว่าจะหนีฉันไปได้ ไม่ว่าชาติไหน เธอคือผู้หญิงของฉัน : เมื่อถึงไทยพวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์สุดหรูที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางบนเนื้อที่300ไร่ ตกแต่งอย่างสวยงามตระการตา ไป๋เจิ้นหลงที่กำลังฟังรายงานก็เอ่ยออกไปอย่างเด็ดขาด “ ทุกการประชุมเลื่อนออกไปเป็นอาทิตย์หน้าให้หมด ”  “ ครับท่านประธาน ”  เจียผิงเหอขานรับจากนั้นก็ยกหูโทรศัพท์จัดการเคลียร์การประชุมต่างๆ พวกเขาสองคนเวลางานก็จะเป็นเจ้านายกับลูกน้องเวลาอยู่ส่วนตัวหรือนอกเวลางานก็เป็นแค่เพื่อนธรรมดาๆที่สนิทสนมกันทั่วๆไป ไป่เซนั่งกินข้าวกับมู่มู่ในห้องอาหารส่วนตัวของร้านอาหารสุดหรู \" ไป่คุณบอกผมได้มั้ยที่คุณหายไปห้าเดือนเป็นจริงอย่างในข่าวหรือเปล่า \" มู่มู่เอ่ยถาม “ จริงค่ะ ฉันตกลงมาจากยอดเขาจากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย หมอบอกว่าฉันกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราไปแล้วนานถึงห้าเดือนค่ะ ”  แน่นอนว่าเธอไม่ได้เล่าเรื่องที่จิตหลุดออกจากร่างกลับไปรับรู้เรื่องราวในชาติที่แล้ว “ ดีแล้วที่คุณฟื้นตอนเห็นข่าวต่างประเทศรายงานผมรีบบินไปจีนพยายามติดต่อคุณโทรเข้าไปที่บริษัทตระกูลไป๋อยากจะเข้าเยี่ยมคุณแต่ทางตระกูลไป๋ไม่อนุญาตให้ใครเข้าพบคุณผมพยายามหลายครั้งก็ไม่สำเร็จ  ”   มู่มู่กล่าวอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ ฉันขอโทษแทนพวกเขาด้วยค่ะ หมอบอกว่าตระกูลไป๋กลัวจะเกิดอันตรายกับฉันน่ะค่ะเพราะท่านประธานใหญ่ไป๋เพิ่งจะประกาศเรื่องรับฉันเป็นหลานบุญธรรมให้สำนักข่าวทราบ ” “ ครับผมเข้าใจ ยินดีกับฐานะใหม่ของคุณด้วยจากนี้ไปคุณก็คือคุณหนูแห่งตระกูลไป๋แล้ว ”  มู่มู่ยิ้มอ่อนแต่ในใจกลีบรู้สึกขมขื่นเขารู้สึกว่าฐานะใหม่ของไป่เซนี้ทำให้พวกเขาห่วงกันออกไปมากขึ้นทุกที ไป่เซเองก็รู้สึกไม่สบายใจที่มู่มู่พูดยังกับเธอไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปจึงเอ่ยว่า “ ยังไงฉันก็คือฉันคนเดิม ไป่เซคนเดิม หญิงสาวชนเผ่าคนเดิมวันยังค่ำไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ที่สำคัญฉันคือแฟนของคุณคนเดิมค่ะ ” พูดจบทั้งสองมองหน้ากันราวกับโลกหยุดหมุนไปห้าวิการกลับมาครั้งนี้ของไป่เซกลับมาพร้อมกับความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตชาติเธอจึงรู้สึกรักมู่มู่มากขึ้นไป่เซพึมพำในใจว่า : มู่มู่ขอโทษนะก่อนหน้านี้ฉันลังเลใจที่จะรักคุณทั้งที่คุณรักและดีกับฉันทุกภพชาติขนาดนี้ จากนี้ไปฉันจะรักคุณให้มากขึ้นรักแค่คุณคนเดียว : ณ คฤหาสน์ “ คุณชายครับสายรายงานมาว่าคุณหนูไป่ไปดินเนอร์กับประธานมู่ครับที่… ”  จินฟารายงานยังไม่ทันจบไป๋เจิ้นหลงลุกขึ้นยืนหยิบเสื้อสูทมาสวมใส่แล้วเดินออกจากห้องพร้อมกับพูดว่า “ ไปที่นั่น ” “ ครับคุณชาย ”  จินฟาตอบรับ ทั้งสามคนตามไปเจิ้นหลงขับรถมุ่งไปยังสถานที่ที่ไป่เซและมู่มู่อยู่ มู่มู่กับไป่เซนั่งทานข้าวไปคุยไปมู่มู่อยากจะบอกบางอย่างแก่ไป่เซแต่อีกใจก็ไม่กล้าเขารู้สึกเสียใจและรู้สึกอึดอัดมากที่ทำผิดต่อไป่เซ  : ไป่ผมขอโทษผมทำผิดต่อคุณทรยศความรักของเรา :  มู่มู่พึมพำในใจ ก่อนหน้านี้ช่วงที่มู่มู่บินไปหาไป่เซอยู่ๆบริษัทเขาเกิดมีปัญหาหุ้นบริษัทเขาดิ่งลงมากและไม่มีเงินทุนลูกค้าปฏิเสธร่วมงานด้วยและถูกบริษัทคู่แข่งกว้านซื้อหุ้นของเขาไปหมด บริษัทเกือบจะล้มละลายพ่อแม่ของเขาเครียดมากจากนั้นตระกูลลี่จึงยื่นมือเขามาช่วยกอบกู้ให้ความช่วยเหลือในทุกด้านจนบริษัทมามั่นคงได้อีกครั้ง ต่อมาตระกูลลี่และตระกูลมู่ได้ตกลงร่างสัญญาหมั้นหมายขึ้นเพื่อผลประโยชน์ของการทำธุรกิจร่วมกันเพียงแค่บุตรของทั้งสองตระกูลหมั้นหมายแต่งงานกันตระกูลลี่จะคอยซับพอร์ตสร้างความแข็งแกร่งให้บริษัทตระกูลมู่ ความจริงแล้วทั้งหมดเพราะความเอาแต่ใจของคุณหนูตระกูลลี่ ลี่เหม่ยเอิน เธอวางแผนทั้งหมดเพื่อครอบครองมู่มู่ ที่เธอแอบชอบครั้งเจอกันโดยบังเอิญที่จีนตอนที่มู่มู่ไปหาไป่เซตระกูลลี่เป็นคนไทยเชื้อสายจีนที่อาศัยอยู่ที่จีนและมาทำธุรกิจในไทยเป็นโรงงานอุตสาหกรรมเสื้อผ้าแบรนด์ดังส่งออกในหลายประเทศ ลี่เหม่ยเอินเป็นบุตรสาวคนเดียวของตระกูลเธอค่อนข้างเอาแต่ใจ อายุเท่ากับไป่เซมีใบหน้าที่สวย น่ารัก ผมยาวถึงบ่าบุคลิกดีมีความมั่นใจในตนเองสูง ขณะที่ทั้งสองสบตากันทันใดก็มีเสียงดังขึ้นจากประตูทางเข้า “ พี่มู่ ! ”  ทั้งสองหันไปทางเสียงนั้นพร้อมกันอย่างประหลาดใจ ลี่เหม่ยเอิน เดินเข้ามาทางพวกเขาและมาหยุดอยู่ตรงหน้าทั้งสองไป่เซไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้คือใครเธออยากจะถามออกไปแต่ก็เก็บความอยากรู้นั้นไว้ “ คุณมาได้ยังไง ”  มู่มู่เอ่ยถามสีหน้าน้ำเสียงไม่พอใจ “ พี่อยู่ที่ไหนฉันจะไม่รู้ได้ยังไงคะ ” เธอตอบกลับอย่างมั่นใจ “ คุณหมายความว่าไง คุณสะกดรอยตามผมเหรอ ” “ ก็หมายความอย่างนั้นล่ะค่ะ ฉันเปล่าสะกดรอยตามพี่นะแค่บังเอิญผ่านมาเห็นพี่เข้าร้านพอดี  ” หญิงสาวยิ้มสบตากับมู่มู่ ไป่เซมองทั้งสองคุยกันดูเธอไม่ใช่คนโง่ก็พอจะเดาอะไรออกบ้างแต่รายละเอียดเธอไม่รู้จริงๆ ตอนนี้เธอต้องการให้มู่มู่อธิบายแก่เธอ  ลี่เหม่ยเอินกันไปมองทางไป่เซพร้อมกับเอ่ยว่า “ สวัสดีค่ะ ฉันลี่เหม่ยเอินเป็นคู่หมั้นของพี่มู่มู่ค่ะ ถ้าเดาไม่ผิดคุณคงจะเป็นแฟนเก่าของเขาที่ชื่อไป่เซสินะ ยินดีที่ได้พบคุณค่ะฉีนอนุญาตให้คุณเป็นเพื่อนเขาได้แต่ไม่อนุญาตให้ใช้สถานะอื่นคุณคงเข้าใจนะคะพูดจบเธอก็เดินออกไป ” : ผู้หญิงคนนี้คุ้นๆ แต่จะเป็นไปได้ยังไงกัน หึ ช่างเหอะวันนี้บรรลุเป้าหมายจัดการแฟนเก่าพี่มู่เรียบร้อยก็พอใจละ : ไป่เซเมื่อได้ยินผู้หญิงคนนั้นประกาศตนว่าเป็นคู่หมั้นเธอกลับรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า เธอรู้สึกเสียใจเสียหน้าและผิดหวังเป็นอย่างมากมองมู่มู่ด้วยสีหน้าแสดงความผิดหวังออกมาชัดเจนน้ำตาซึมออกมาปนกับความเสียใจเธอไม่มีอะไรจะพูดแล้วจริงๆ  มู่มู่ไม่เคยเห็นไป่เซแสดงสีหน้าเสียใจผิดหวังเช่นนี้มาก่อนและไม่เคยเห็นเธอร้องให้เขาเองก็เจ็บปวดทรมานใจไม่ใช่น้อยแม้เขาจะรู้สึกว่าการหมั้นระหว่างเขากับลี่เหม่ยเอินจะดูไม่ปกติแต่เขาก็ยังสืบไม่ได้จึงไม่อาจพูดอะไรได้นอกจากยอมรับแต่เขาก็ไม่อยากเสียคนที่เขารักที่สุดไปเช่นกัน “ ไป่ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจทรยศความรักของเรานะแต่…. ” “ ไม่ต้องขอโทษฉันหรอกค่ะ ยังไงฉันก็ไม่คู่ควรกับคุณอยู่แล้วฉันก็แค่ชนเผ่าคนหนึ่งที่ฐานะยากจนไม่เหมาะสมไม่คู่ควรจะรู้จักกับคุณอีกต่อไป ” ไป่เซพูดด้วยความโกรธเคืองน้ำตาไหลอาบแก้ม “ ไป่คุณอย่าพูดอย่างนี้สิ คุณคือผู้หญิงที่ดีที่สุด เก่งที่สุดเพรียบพร้อมที่สุด คุณอย่าถ่อมตัวประชดผมเช่นนี้เลยผมเองก็เจ็บไม่น้อยไปกว่าคุณ ผมไม่อยากเสียคุณไปแต่ผมมันไม่ได้เรื่อง ช่วงที่คุณไม่สบายผมเอาแต่อยู่ที่จีนจนบริษัทเกิดปัญหาเกือบล้มละลาย ผมถูกบังคับให้หมั้นกับลี่เหม่ยเอินเพราะธุรกิจ ไม่ใช่เพราะผมชอบหรือว่ารักเขาคนที่ผมรักมีแค่คุณเท่านั้น ” ไป่เซปัดน้ำตาแล้วเอ่ยว่า “ ไม่ต้องพูดแล้วค่ะ ถึงอย่างไรเธอก็คือคู่หมั้นของคุณ ต่อไปฉันจะไม่มาเจอคุณอีกแล้วลาก่อนค่ะ ” ไป่เซพูดแล้วหยิบกระเป๋าเตรียมเดินออกมาแต่มู่มู่มาจับแขนเธอเอาไว้พูดว่า “ ไป่ผมรักคุณคุณอย่าไปจากผมนะผมจะรีบสืบเรื่องนี้เสร็จแล้วผมจะถอนหมั้นกับเขาทันทีคุณก็รู้ว่าผมรักคุณแค่ไหนผมเฝ้ารอวันที่คุณยอมเป็นแฟนผมมานานแค่ไหน เฝ้ารอวันที่คุณกลับมา คุณคือความหวังของผมผมจะไม่ยอมเสียคุณไป คุณรอผมนะไป่ ได้มั้ยแม้มันจะดูเห็นแก่ตัวเกินไปแต่ผมไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ ผมอยู่ไม่ได้หากไม่มีคุณ ” มู่มู่ดึงไป่เซเข้ามากอดเขาเสียใจน้ำตาซึมออกมารู้สึกผิดต่อคนที่เขารักมากๆอย่างไป่เซ ไป่เซรู้สึกว่าตอนนี้สมองเขาว่างเปล่าคิดอะไรไม่ออกนี่คงจะเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกแบบนี้ราวกับสมองถูกล้างทำความสะอาดจนว่างเปล่าไปหมดน้ำตาไหลออกมาไม่หยุดเธอรู้สึกเจ็บที่หัวใจ ไป๋เจิ้นหลงเดินเข้ามาเห็นทั้งสองกอดกันก็โกรธจัดเดินเข้ามาแยกทั้งสองออกจากกันแล้วต่อยมู่มู่ล้มลงพื้นแล้วดึงไป่เซเข้ามากอด  “ คุณอย่ามายุ่งกับว่าที่คู่หมั้นของผมอีกไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าผมไม่เตือนคุณนะ ”  ไป๋เจิ้นหลงพูดอย่างดุดันไป่เซกับมู่มู่และคนที่ตามมาต่างตกใจตกตะลึงกับความพูดของเขา มู่มู่ลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ คุณไป๋คุณเป็นพี่บุญธรรมของเธอคุณมีสิทธิ์ที่จะห่วงน้องสาวผมไม่ถือสาคุณ ผมดีใจในเวลานี้สภาพจิตใจย่ำแย่พวกเราทั้งสองต่างเสียใจอย่างน้อยไป่ก็ยังมีพี่ชายที่ดีอย่างคุณคอยอยู่เคียงข้างคอยดูแลผมก็สบายใจแล้ว ไป่คุณจำไว้ว่าผมทั้งชีวิตในหัวใจผมมีเพียงคุณเท่านั้น \" “ สงสัยคุณจะยังคงไม่เข้าใจที่ผมพูด ไม่นานคุณก็จะรู้ว่าที่ผมพูดมันคือความจริง เลิกยุ่งเกี่ยวกับเธอซะ ” พูดจบไป๋เจิ้นหลงก็เดินออกไป ไป๋เซจมอยู่กับความเสียใจผิดหวังเหม่อลอยไม่รู้อะไรเลยจนลงมาถึงที่รถ ไป๋เจิ้นหลงเปิดประตูข้างหน้าให้ไป่เซนั่งตัวเองก็ไปฝั่งคนขับแล้วพูดกับเจียผิงเหอว่า “ พวกคุณเรียกรถกลับเองนะ ” พูดจบก็ขับรถออกไปทันที ไป๋เจิ้นหลงรู้ว่าไป่เซกับมู่มู่รักกันมากตั้งแต่ชาติที่แล้วจนถึงชาตินี้ทั้งสองก็ยังมีใจรักกันไม่เปลี่ยนแปลงเหมือนเขาที่รักไป่เซมากเช่นกัน พรหมลิขิตนำพาให้พวกเขาได้มาพบกัน ไป๋เจิ้นหลงมองหน้าไป่เซอย่างเป็นห่วง : นี่คงเป็นโอกาสที่ฉันจะได้เข้าไปอยู่ในหัวใจคุณอีกครั้งใช่มั้ยไป่ ผมอยากขอโทษที่เคยทำร้ายคุณในชาติที่แล้วหากไม่ใช่ผมคุณคงไม่ต้องมาเจ็บปวดแบบนี้ เมื่อเราถูกกำหนดให้คู่กัน พรหมลิขิตนำพาให้เรากลับมาพบเจอกันอีกครั้งผมจะแก้ไขตนเองให้ดีขึ้น รักแค่คุณ ผมไม่ขอให้คุณอภัยใก้ผมแต่ขอเข้าไปอยู่ในกัวใจคุณก็พอ : “ ไป่คุณเป็นไงบ้าง คุณโอเคมั้ย \" ไป่เซไม่ตอบเธอหลับตาลงเอ็นหลังพิงเบาะไป๋เจิ้นหลงพูดต่อว่า \" อะไรที่ทำให้คุณเจ็บปวดทุกข์ใจคุณก็ลืมๆมันไป  ”  ไป่เซที่หลับตาอยู่เมื่อได้ยินคำพูดของไป๋เจิ้นหลงจึงพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ เจ็บแค่นี้ไม่ถึงตายหรอก เจ็บมากกว่านี้ฉันก็เคยมาแล้ว แค่นี้ฉันให้อภัยเขาได้อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ตั้งใจทรยศฉัน แต่บางคนทั้งนอกใจทั้งนอกกายทรยศความรักที่ฉันมีให้แถมเลือดเย็นไม่เคยอ่อนโยนต่อฉันเลยขังฉันไว้พอหนีได้ก็ส่งคนตามฆ่าฉัน ความเจ็บแค้นแบบนี้เป็นความเจ็บที่ไม่อาจลืมได้จริงๆ ” ไป๋เจิ้นหลงมองเขาอย่างรู้สึกผิด : ไป่ คุณคงปล่อยวางเรื่องในอดีตชาติไม่ได้จริงๆ : “ บางทีการจำเรื่องราวในอดีตได้ไม่ได้หมายความว่าจะมีผลดีเสมอไป หากจำสิ่งที่ดีๆไว้ก็จะส่งผลดีต่อสภาพจิตใจหากจำสิ่งที่เลวร้ายก็จะส่งผลเสียต่อสุขภาพ มีแต่ความคับแค้นใจไม่จบไม่สิ้น จะไม่ดีกว่าเหรอหากปล่อยทุกอย่างให้เป็นอดีตไปแล้วแก้ไขปัจจุบันให้ดีขึ้นต่อตนเองและคนรอบข้าง คุณคิดว่าไง ” ไป๋เจิ้นหลงพูดใช้น้ำเสียงอ่อนโยนดุจสายน้ำเย็นที่ไหลผ่านร่างกายที่กำลังเดือดพล่าน ไป่เซลืมตาขึ้นมองไปยังใบหน้าของไป๋เจิ้นหลงอย่างสงสัย “ คุณหมายความว่ายังไง ” : หรือว่าเขาจะจำเรื่องในอดีตชาติได้ : “ ก็หมายความอย่างนั้นแหละ เรามาแก้ไขปัจจุบันให้ดีขึ้น คุณเชื่อเรื่องพรหมลิขิตมั้ย ”   ไป๋เจิ้นหลงพูดไป่เซหันไปมองเขามือที่กำลังจับพวงมาลัยใบหน้าหล่อเหล่านี้หากตัดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชาติที่แล้วออกไป่เซเองก็ยากที่จะปฏิเสธเพราะคนทั่วไปก็ชอบคนหล่อกันทั้งนั้น ไป่เซจึงตอบว่า “ ฉันเชื่อตัวเองค่ะ ” ตอนนี้ไป่เซเริ่มกลับมาปกติแล้วจึงสามารถพูดคุยกับไป๋เจิ้นหลงได้ “ แต่ผมดันเชื่อเรื่องพรหมลิขิต และผมก็เชื่อว่าพรหมลิขิตกำหนดให้เราได้พบกัน คุณคิดดูสิคุณอยู่ตั้งไกลอยู่ในที่ที่คนอย่างผมไม่น่าจะไปแต่เมื่อเห็นบ้านคุณผมกลับอยากที่จะไปไม่สนใจความลำบากได้เจอคุณผมก็ชอบคุณแล้วแบบนี้จะไม่เรียกว่าพรหมลิขิตชักนำจะเรียกว่าอะไรล่ะ ” ไปเจิ้นหลงยิ้มอ่อน “ คุณอย่ามาเพ้อเจ้อ คิดเองเออเอง ”  น้ำเสียงราบเรียบเย็นชาไร้ความรู้สึกของไป่เซทำให้ไป๋เจิ้นหลงรีบหยุดรถทันที “ คุณหยุดรถทำไม ” ไปเซถาม “ อยากคุยกับคุณ ” “ ขับรถคุณก็คัยได้ ” “ ผมไม่มีสมาธิ อีกอย่างเสี่ยงอันตราย ” “ มีอะไรรีบๆพูดมา ฉันเหนื่อยอยากกลับไปพักผ่อน ” ไป๋เจิ้นหลงหันมาทางไป่เซแล้วพูดว่า “ ผมชอบคุณ เรามาคบกันมั้ย ” ไป่เซตะลึงอึ้ง เธอคิดไม่ถึงว่าผู้ชายคนนี้จะกล้าพูดแบบนี้กับเธอ เธอจึงตอบไปอย่างเย็นชาแววตาเย็นชาไร้ความรู้สึกราวกับเรื่องที่ไป๋เจิ้นหลงพูดนั้นไม่สำคัญไม่พิเศษอะไรต่อใจเขาเลย “ ฉันเป็นน้องสาวบุญธรรมของคุณค่ะ อีกอย่างฉันไม่เคยคิดจะคบกับคุณ ” : ฉันไม่อาจเชื่อใจไว้ใจมอบหัวใจให้คุณได้อีกแล้วชาติที่แล้วฉันเจ็บมามากพอแล้ว : “ ทำไมล่ะ ? ”  ไป๋เจิ้นหลงถามแต่ในใจกลับรู้สึกผิดหวังเสียใจและไม่พอใจมาก ไป่เซรำคาญคำถามของไป๋เจิ้นหลงหันมาสบตาเขาพร้อมกับพูดว่า “ ก็เพราะว่าคุณเคย……. ” เธอพูดได้แค่นี้ก็หยุดทันทีความจริงเธออยากจะพูดออกไปแต่มันพูดไม่ได้เธอกลัวว่าหากพูดไปไป๋เจิ้นหลงจะมองว่าเป็นเรื่องตลกไร้สาระหรือมองว่าเธอมีปัญหาทางจิตพูดเรื่อยเปื่อย ไป๋เจิ้นหลงกลับเข้าใจสิ่งที่เขาพูดจึงเอ่ยว่า “ ไม่เป็นไรผมรู้ว่าคุณจะพูดอะไร ผมหวังว่าสักวันคุณจะกลับมารักผมมอบหัวใจให้อีกครั้ง ผมจะรอ ”  : คุณปล่อยวางไม่ได้จริงๆ ผมจะต้องทำยังไงคุณถึงจะยอมปล่อยวาง : พูดจบไป๋เจิ้นหลงก็สตาร์ทรถขับออกทันที น้ำเสียงไป๋เจิ้นหลงเศร้าใบหน้าเหล่อเหลาหมองลง ไป่เซเมื่อฟังคำพูดของไป๋เจิ่นหลงเธอเองก็ประหลาดใจไม่น้อยกับคำพูดที่ว่า  “ ผมหวังว่าสักวันคุณจะกลับมารักผมมอบหัวใจให้อีกครั้ง ” : หรือว่าเขาจะรู้เรื่องชาติที่แล้วจริงๆ :  เมื่อคิดได้เช่นนี้เธอจึงถามออกไปด้วยสีหน้าปกติไร้ซึ่งความเย็นชา “ คุณหมายความว่าไง ” “ หมายความอย่างนั้นแหละ คุณจำไว้ว่าผมไม่ยอมแพ้ จำประโยคที่ผมบอกเมื่อกี้ให้ดี ผมจะรอ ” เจียผิงเหอกำลังคุยโทรศพท์กับน้องสาวอยู่ในห้องเขารู้ว่าน้องสาวเขาชอบไป๋เจิ้นหลงตั้งแต่เด็กไป๋เจิ้นหลงเคยเจ้าชู้เขาจึงไม่สนับสนุนให้น้องสาวคบกับไป๋เจิ้นหลงและตอนนี้ที่ไป๋เจิ้นหลงเปลี่ยนไปไม่สนใจผู้หญิงอื่นแล้วเพราะเขาสนใจน้องสาวบุญธรรมของตัวเองตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันบนดอย \" พี่ชายพี่เจิ้นหลงสบายดีมั้ยงานเขายุ่งมากเลยเหรอ \"  เจียผิงเฟยเอ่ยถาม “ อืมใช่ น้องรีบเข้านอนเถอะดึกมากแล้ว ” “ ค่ะพี่ชายแต่ผิงเฟยอยากเจอพี่เจิ้นหลงอยากขอบคุณเขาค่ะ ” “ อืมถ้าเขากลับมาพี่จะบอกเขาให้นะ ” “ ตอนนี้พี่ไม่ได้อยู่กับเขาเหรอคะพี่เขาไปไหน ” “ ผิงเฟยน้องอย่าไปใส่ใจเรื่องคนอื่นเลย หลับได้แล้ว พี่วางล่ะฝันดี ” “ ค่ะฝันดี ” : พี่ชายพูดเช่นนี้หมายความว่าไง : วางสายเสร็จเธอก็ปิดไฟหลับทันที ภายในรถที่บรรยากาศเงียบสงัดอากาศข้างนอกอึมอครึมคล้ายฝนจะตกอยู่ๆไป่เซก็เอ่ยขึ้น “ ฉันอยากดื่ม ” ไป๋เจิ้นหลงนึกว่าตนเองฟังผิดไปหรือเปล่าจึงหันไปถามไป่เซซ้ำว่า “ เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะ ” “ ฉันอยากดื่ม คุณจอดรถให้ฉันตรงนี้เลยฉันจะโทรเรียกเพื่อนให้มารับ ” ไป๋เจิ้นหลงไม่รู้จะพูดอะไรต่อ : คุณคงจะเสียใจมากเลยใช่มั้ยที่ถูกมู่มู่ทรยศความรักของพวกคุณชาติที่แล้วก็เป็นผมที่ทรยศคุณผมอยากขอโทษคุณแตไม่รู้จะเริ่มยังไง : “ ไม่ต้องรบกวนเพื่อนคุณหรอกไปดื่มที่บ้านผม ” “ ไม่! ฉันไม่ไปบ้านคุณ หากคุณดื้อด้านที่จะพาฉันไปให้ได้ฉันจะกรโดดลงจากรถคุณเดี๋ยวนี้ \"  ไป่เซพูดจริงจังใบหน้าแววตาก็จริงจังเช่นกัน ไป๋เจิ้นหลงขับรถไปยังบาร์แห่งหนึ่งเปิดห้องส่วนตัวให้ไป่เซ เธอสั่งไวท์ไปหลายขวดดื่มจนเมาไม่ได้สติ ปกติเธอก็ไม่ดื่มแอลกอฮอล์นานๆทีจิบดื่มแค่นิดหน่อยพอเป็นพิธีเธอจะสั่งไวท์เพิ่มอีกแต่ไป๋เจิ่นหลงห้ามไว้ \" น้องเอาไวท์มาเพิ่มอีก \"  พนักงานจะไปเอามาให้แต่ไป๋เจิ้นหลงบอกว่า “ ไม่ต้องแล้ว ” “ คุณมีสิทธิ์อะไรมาห้ามฉัน คุณรู้มั้ยวันนี้ฉันต้องเมาให้เมาจนปวดหัวระเบิดไปเลย ฉันไม่อยากจดจำอะไรทั้งนั้นคุณไม่เป็นฉันคุณไม่รู้หรอกว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน คนเลว คนเลวพวกคุณมันคนเลว  ” พอพูดจบเธอก็สลบไปบนโซฟาไป๋เจิ้นหลงวางเงินแล้วจึงอุ้มเธอออกมาไป๋เจิ้นหลงขับรถมุ่งไปยังคฤหาสน์สุดหรูของเขาถึงบ้านไป่เซก็ยังไม่ฟื้นไป๋เจิ้นหลงเปิดประตูลงจากรถแล้วเอากุญแจให้เจียผิงเหอที่ออกมารอจากนั้นก็เดินไปเปิดประตูอีกฝั่งอุ้มไปเซลงจากรถแล้วอุ้มขึ้นไปบนห้อง ไป่เซที่เมาไม่ได้สติพูดแต่คำว่า   “ คนเลว คนเลว ”  ไม่หยุด
已经是最新一章了
加载中