ตอนที่21 คุณไม่ถือแต่ผมถือ   1/    
已经是第一章了
ตอนที่21 คุณไม่ถือแต่ผมถือ
“ มีอะไร ” น้ำเสียงมู่มู่เย็นชา แต่ปลายสายกลับไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกรู้สาอะไรกับน้ำเสียงเช่นนี้จะเรียกว่าชินแล้วก็ได้ แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงใส “ พี่มู่มู่พี่อยู่ไหนคะ ”  “ ผมไม่ชอบให้ใครมาล้ำเส้นความเป็นส่วนตัว ” “ พี่ไม่บอกก็ได้งั้นฉันจะสืบเอง ”  หญิงสาวพูดขึ้นอย่างดื้อรั้นทำให้มู่มู่โกรธเคืองเป็นอย่างมากพยายามควบคุมอารมณ์แต่ก็อยากที่จะพูดให้หญิงสาวรู้สึกเสียใจและรู้ตัวขึ้นบ้างจึงตัดสินใจพูดจาแรงๆเพื่อให้หญิงสาวโกรธและเลิกตามเขา “ คุณรู้ตัวมั้ยยิ่งคุณทำแบบนี้ผมยิ่งรังเกียจคุณคุณดูไร้ค่ามากเลยนะรู้ตัวบ้างมั้ย ” หญิงสาวยืนนิ่งชงัก เงียบไปชั่วครู่ คำพูดของมู่มู่เธอยอมรับว่ามันทำให้ใจเธอเจ็บแปล๊บ และรู้สึกราวกับโดนตบหัวจนมึน เธอคิดทบทวนตัวเองใหม่ : นี่เราน่ารังเกียจขนาดนี้เลยเหรอ? เขาเกลียดเราขนาดนี้เลยเหรอ? ไป่เซดีกว่าเรามากเลยเหรอ?  : ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครกล้าว่าเธอเช่นนี้มาก่อน ชีวิตเธอมีแต่คนคอยตามเอาอกเอาใจ มีแต่คนเข้าหาเธอแน่นอนเพราะเธอสวยเธอรวย แม้หญิงสาวจะรู้สึกเสียใจเสียศักดิ์ศรีมาก แต่เธอก็ฝืนพูดขึ้นแสร้งทำน้ำเสียงสดใสว่า “ พี่พูดแบบนี้แสดว่าชอบฉันแล้วใช่มั้ย งั้นวันนี้ฉันไม่รบกวนพี่แล้ว ” พูดจบหญิงสาวก็วางสาย เธอนั่งลงก้มหน้ากอดเข่าร้องให้พรั่งพรูออกมาทันที มู่มู่มองโทรศัพท์เขาแปลกใจเล็กน้อยเขารู้สึกว่าวันนี้หญิงสาวแปลกไป ปกติตื้อไม่เลิกถ้ารู้ว่าใช้คำพูดแรงๆแบบนี้แล้วทำให้เธอเลิกตามเขาเขาทำไปนานแล้ว จากนั้นเขาก็เดินกลับเข้าไปในร้านอาหาร “ ขอโทษด้วย รอนานมั้ย ”  มู่มู่ถามอย่างคนรู้สึกผิด ไป่เซยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วส่ายหัวตอบไปว่า “ ไม่ค่ะ ” “ ฉันสั่งอาหารให้คุณแล้วนะคุณจะสั่งอะไรเพิ่มอีกมั้ยคะ ” “ ไม่ละครับ ”  มู่มู่นั่งลงอาหารก็มาเสิร์ฟที่โต๊ะเป็นข้าวผัดปูสองจาน ต้มส้มปลาช่อน ชุดน้ำพริกกะปิ ต้มยำกุ้ง มู่มู่เป็นคนชอบทานอาหารรสจัด  ไป่เซจึงสั่งในสิ่งที่เขาชอบทานแต่เธอดันลืมว่าเขาเป็นคนไม่ชอบพวกกะปิปล้าร้า “ คุณไม่ชอบกะปินี่ ” ไป่เซพูด ไป๋เจิ้นหลงยิ้มแล้วพูดว่า “ ไม่เป็นไรคุณชอบผมก็ทานได้ คุณจำได้มั้ยเมื่อก่อนคุณผมไม่ชอบปลาร้าแต่พอคุณสั่งส้มตำมาทานผมก็ทานได้เริ่มชอบตามคุณ ”  มู่มู่ใบหน้าอันหล่อเหลาจ้องมองใบหน้าขาวใสเรียวเล็กอย่างหลงไหล “ นั่นเป็นเพราะเมื่อก่อน ฉันอยากแกล้งคุณ ” ไป่เซมองใบหน้าหล่อไร้ที่ติพูดพลางยิ้มอ่อนจากนั้นก็พูดว่า “ ทานข้าวเถอะค่ะหิวแล้ว ”  ทั้งสองนั่งทานอาหารในร้านอาหารธรรมดาเล็กๆข้างทางไป่เซอยู่ยังไงใช้ชีวิตแบบไหนมู่มู่ก็อยู่ด้วยอย่างงั้นไม่เคยบ่นหรือแสดงท่าทีเบื่อหรือรังเกียจเลยสักครั้งมู่มู่ด้วยความที่ชอบไป่เซตั้งแต่แรกพบก็พยายามทำความรู้จักกับเธอและปรับตัวเข้าหาเธอทุกอย่างตลอดเสมอต้นเสมอปลายหลายปีจนไป่เซใจอ่อน พอทานข้าวเสร็จทั้งสองเดินออกมาจากร้านแล้วไปขึ้นรถมู่มู่ยังไม่อยากแยกจากเธอจึงเอ่ยขึ้นว่า “ ไป่เราไปเดินย่อยอาหารในห้างมั้ย นานๆทีพวกเราจะได้อยู่ด้วยกัน ” “ แล้วคุณไม่ทำงานเหรอคะ ”  “ ก่อนจะออกมาเจอคุณผมเคลียร์งานในบริษัทไว้เรียบร้อยแล้วครับ ” “ งั้นก็ได้ค่ะ ” มู่มู่ขับรถมุ่งไปที่ห้างZ ทั้งสองเดินเที่ยวเล่นในห้าง ร้องเพลงคาราโอเกะ เล่นเกมส์ และมู่มู่พาเธอไปกินไอติมในสเวนเซ่นส์ อย่างมีความสุข ชวนให้นึกถึงสมัยเรียนเขาชอบพาเธอมากินบ่อยๆกับกลุ่มเพื่อนของเธอ มู่มู่นั่งมองดูเธอทานไอติมแล้วยิ้มอย่างมีความสุข  “ มองอะไรคะ ” ไป่เซเอ่ยถาม “ คิดถึงวันเก่าๆคิดถึงรุ่นน้องคนหนึ่งที่ไม่ค่อยพูดจาแต่เวลาเธอยิ้มเหมือนโลกทั้งใบสดใสเต็มไปด้วยความสุขเสียง ” ไปเซยิ้ม เขินจนหน้าแดงแล้วก้มหน้าทานไอติมต่อ “ ขอบคุณนะไป่ที่เชื่อใจผมไว้ใจผม ไม่โกรธผม ” มู่มู่เอ่ย “ เพราะฉันเข้าใจคุณค่ะ ฉันเชื่อว่าคุณไม่มีทางเลือก เพื่อช่วยตระกูลและพนักงานของบริษัทจึงจำเป็นต้องหมั้นไว้ก่อนเป็นแบบนี้ถ้าฉันโกรธคุณก็ดูจะไม่มีเหตุผลและเห็นแก่ตัวเกินไป ”  ไป่เซพูดเช่นนี้มู่มู่ยิ่งรู้สึกรักและขอบคุณเธอมากยิ่งขึ้นทั้งสองสบตากันอย่างหวานซึ้งแต่ถ้ามองลึกเข้าไปในแววตาข้างในของเธอซ่อนความรู้สึกผิดบางอย่างของไป่เซไว้ : พี่มู่ฉันขอโทษเป็นฉันต่างหากที่ไม่ดีทรยศต่อความรักที่มั่นคงอันบริสุทธิ์ของพี่ ฉันทำผิดต่อพี่ ฉันขอโทษค่ะ : ขณะที่ทั้งสองสบตากันราวกับโลกทั้งใบมีแค่พวกเขาแค่สองคน จู่ๆก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำลายห้วงแห่งภวังค์นั้นลง ไป่เซสะดุ้งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเป็นเบอร์ของไป๋เจิ้นหลงที่โทรเข้ามาเธอขี้เกียจรับจึงกดวางสายแล้วปิดเสียงแล้วพูดขึ้นว่า “ ฉันอิ่มแล้วพวกเรากลับกันเถอะค่ะ ” “ อืมได้ ” ทั้งสองก็ออกจากห้างไปที่ลานจอดรถมู่มู่ขับรถไปส่งไป่เซที่บ้าน ไป๋เจิ้นหลงมองดูโทรศัพท์กำไว้แน่นด้วยความโกรธเมื่อไป่เซกลับมาถึงก็เดินเข้ามาในบ้านอย่างไม่คิดอะไรลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเขาเพิ่งกดวางสายไป๋เจิ้นหลง เธอกำลังจะเดินขึ้นข้างบนก็มีเสียงๆหนึ่งดังขึ้นอย่างเย็นชา “ จะไปไหน ดูมีความสุขจังเลยนะ ” เมื่อได้ยินเสียงประชดประชันไป่เซก็หยุดลงทันทีแล้วหันมามองทางเสียงนั้นพร้อมกับพูดว่า “ ขึ้นห้องค่ะ สร่างเมาแล้วเหรอ คุณทานข้าวหรือยัง ” ไป๋เจิ้นหลงฟังคำพูดของไป่เซยิ่งโมโหมากขึ้นไปอีกเพราะไป่เซเหมือนจะไม่สนใจอารมณ์โกรธหรือน้ำเสียงของเขาเลยว่าเขาอยู่ในอารมณ์ไหนราวกับเขานั้นไม่สำคัญ ไป่เซเดินเตรียมเดินขึ้นก้องอีกครั้งก็ถูกหยุดไว้อีก “ ผมอนุญาตให้คุณขึ้นไปแล้วเหรอ ” ไป๋เจิ้นหลงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำอย่างเย็นชา ไป่เซหันมาทางเขาอย่างหงุดหงิดแล้วถามออกไปว่า “ คุณมีอะไรจะคุยกับฉันงั้นเหรอคะ ” ไป่เจิ้นหลงเดินเข้าไปใกล้เขาแล้วพูดว่า  “ พรุ่งนี้ผมจะกลับจีนและคุณก็ต้องไปกับผมด้วย ” “ นี่คุณคุณอยากกลับคุณก็กลับไปคนเดียวสิให้ฉันไปด้วยทำไม ฉันไม่ไป ”  ไป่เซปฏิเสธอย่างเด็ดขาดแล้วหันไปทางอื่นอย่างไม่พอใจ “ แต่คุณต้องไป คุณอย่าลืมสิสถานะคุณนอกจากเป็นน้องสาวบุญธรรมแล้วยังเป็นผู้หญิงของผมอีกด้วย ”  ไป๋เจิ้นหลงทำเสียงดุขึ้น “ คุณอย่ามาพูดมั่วๆนะ ฉันไปเป็นผู้หญิงของคุณเมื่อไหร่ ”  ไป่เซเริ่มพูดเสียงดังอย่างโมโห ไป๋เจิ้นหลงยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ก้าวเดินมาทางเธอทีละก้าวพร้อมกับพูดว่า “ เป็นผู้หญิงของผมเมื่อไหร่งั้นเหรอ หากคุณลืมผมยินดีที่จะทำให้คุณจำได้อีกครั้งนะว่าร่างกายของคุณเป็นของผมคนเดียว ”   ไป๋เจิ้นหลงอยากพูดมากว่าทั้งร่างกายและหัวใจของเธอเป็นของเขาคนเดียวแต่เขายังไม่ลืมเรื่องที่ถูกปฏิเสธเมื่อคืนลึกๆแล้วใจยังคงรู้สึกเจ็บปวดไม่น้อยเพียงแต่เขาไม่ยอมแพ้เท่านั้นเอง ไป่เซถอยจับราวบันไดพร้อมกับพูดด้วยท่าทางระมัดระวังว่า  “ คุณอย่ามาทำสัยต่ำๆแถวนี้นะ ” ไป๋เจิ้นหลงยิ้มเจ้าเล่ห์ มองใบหน้าที่กำลังหวาดระวังแล้วเอ่ยว่า  “ ต่ำยังไงแบบนี้เรียกว่าต่ำเหรอ แค่มีอะไรกับคนที่ตนเองรัก หื้ม ”   ไป่เซโกรธจนหน้าแดงตะคอกออกไปเสียงดังว่า “ ไป๋เจิ้นหลง มันจะมากเกินไปแล้วนะ ” ป้าจิ่วและหลานสาวของเขาเมื่อได้ยินเสียงตะคอกด้วยความโมโหของไป่เซพวกเขาก็รีบออกจากพื้นที่ใกล้เคียงนั้น “ ใจเย็นสิคุณ แค่นี้ก็ทนไม่ไหวแล้วเหรอ ” น้ำเสียงราบเรียบใบหน้าเผยรอยยิ้มแห่งความพอใจ ไป่เซกำมือแน่นมองไป๋เจิ้นหลงอย่างดุร้าย เธอพยายามพูดเสียงทุ้มต่ำปกติอย่างใจเย็นว่า “ ไป๋เจิ้นหลงขอร้องล่ะอย่ามายั่วโมโหฉันต่างคนต่างอยู่ อีกอย่างเรื่องที่เคยพลาดฉันไม่ถือหากคุณยังเป็นลูกผู้ชายอย่าเอ่ยมันขึ้นมาอีก ” ไป๋เจิ้นหลงสีหน้าจริงจังและพูดออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ คุณไม่ถือแต่ผมถือ ผมทำคุณผมต้องรับผิดชอบเพราะผมเป็นผู้ชาย แม้จะได้แค่ร่างกายคุณผมก็จะเอาต้องมีสักวันที่ผมจะต้องได้หัวใจคุณมาครอบครอง พรุ่งนี้เตรียมตัวกลับกับผมคุณไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธแล้ว ” ไป่เซเป็นคนสมัยใหม่การคิดการอ่านค่อนข้างทันสมัยและเธอมองว่าผู้หญิงและผู้ชายมีสิทธิเท่าเทียมกันดังนั้นการเสียตัวไม่ใช่ต้องเอาตัวเองมาผูกมัดเธอจึงเลือกที่จะลืมเรื่องนั้นไปแม้ว่าครั้งแรกจะสำคัญต่อคนที่ตนรักก็ตามแต่เมื่อเธอพลาดแล้วทำยังไงล่ะนอกจากให้อภัยตนเองใก้โอกาสตนเอง : มู่มู่ถ้าพี่รู้เรื่องพี่จะรับได้มั้ยฉันขอโทษ : “ เหม่ออะไรอยู่ขึ้นไปข้างบนสิ ผมไปส่ง ” ไป่เซจ้องเขม็งไปที่ไป๋เจิ้นหลงแล้วพูดว่า “ ไม่ต้อง! ” พูดจบก็หมุนตัวเดินขึ้นไปชั้นบน ตอนเย็นป้าจิ่วกับหลานสาวเตรียมมื้อเย็นยกอาหารมาจัดวางบนโต๊ะเรียบร้อยไป่เซลงมาเป็นคนแรก ตามด้วยจินฟาจินซาทั้งสองสามคุยกันระหว่างรอไป๋เจิ้นหลงกับเจียผิงเหอ เจียผิงเหอคุยโทรศัพท์เสร็จก็ไปเคาะห้องไป๋เจิ้นหลง “ เข้ามา ” ไป๋เจิ้นหลงเอ่ย พอเจียผิงเหอเข้าไปไป๋เจิ้นหลงก็ถามออกไปว่า “ มีอะไรหรือเปล่า ” “ บริษัทD ส่งบัตรเชิญร่วมงานอีเว้นท์อาทิตย์หน้าครับ ” “ ไม่ไป ” ไป๋เจิ้นหลงปฏิเสธอย่างเย็นชา เจียผิงเหอรับรู้ได้ถึงอารมณ์หงุดหงิดของเขา แต่ก็พยายามโน้มน้าวเขาในฐานะเลขาคนหนึ่ง “ แต่ว่าบริษัทนี้แบรนด์ของเขาอยู่ใน…”  “ ส่งตัวแทนไป จองตั๋วกลับพรุ่งนี้ด้วย ” เจียผิงเหอพูดไม่ทันจบไป๋เจิ้นหลงก็พูดตัดทันที  “ ห๋า! กลับพรุ่งนี้ ” เจียผิงเหออุทานออกมาด้วยความแปลกใจมองไป๋เจิ้นหลงอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าผู้ชายที่หยิ่งยโสบัดนี้ได้กลายเป็นเพียงผู้ชายขี้หึงคนหนึ่ง จึงเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจว่า “ นายแน่ใจแล้วเหรอว่าจะให้จองตั๋วกลับพรุ่งนี้ ”   ไป๋เจิ้นหลงเหล่มองเขาอย่างหงุดหงิดแล้วพูดขึ้นว่า “ ผิงเหอนายกลายเป็นคนไม่เข้าใจฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ \" “ ครับคืนนี้จะจัดการให้ครับ ”  ไป๋เจิ้นหลงนั่งลงแล้วพูดต่ออย่างคนกลัวเสียของรักของหวงว่า  \" ฉันต้องการให้ไป่เซอยู่ให้ห่างจากมู่มู่นั่น ขืนปล่อยให้เธออยู่ไทยตามลำพังมู่มู่นั่นคงจะเข้ามาใกล้ชิดเธอทุกวันแน่ ”  : ที่แท้ก็หึงหวงนี่เอง เฮ้อ เจิ้นหลงนะเจิ้นหลง : เจียผิงเหอพึมพำในใจ “ แต่เมืองไทยเป็นบ้านเกิดของเธอนะ เพิ่งกลับมาไม่ถึงอาทิตย์เลย เธอจะยอมไปกับเราเหรอ ” เจียผิงเหอเอ่ยถาม “ ฉันมีวิธีทำให้เธออยู่ยอมไปกับเรา นายจองตั๋วให้เรียบร้อยพอ ”  ไป๋เจิ้นหลงพูดอย่างมั่นใจยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยแล้วก็เดินออกจากห้องลงไปชั้นล่างเจียผิงเหอก็เดินตามหลังลงมา เมื่อลงมาถึงโต๊ะอาหารไป่เซมองเขาแล้วพูดตำหนิเขาอย่างไม่พอใจว่า “ ปล่อยให้คนอื่นทนหิวเป็นเวลานานไม่มีมารยาท ไม่รู้จักนึกถึงใจผู้อื่น ” จินฟากับจินซาจะหยุดไม่ให้ไป่เซพูดก็ไม่ทันแล้วทั้งสองจึงก้มหน้าลงอย่างลำบากใจ ไป๋เจิ้นหลงเลิกคิ้วไม่สนใจคำตำหนิของไป่เซดึงเก้าอีกออกมาแล้วนั่งลงข้างๆเธอ แต่คนที่รู้สึกผิดกลับเป็นเจียผิงเหอเขาเอ่ยออกไปว่า “ ขอโทษด้วยครับคุณหนูไป่ ที่ทำให้รอนาน ” “ ฉันไม่ได้หมายถึงคุณค่ะฉันหมายถึงบางคนที่ชอบทำตัวเผด็จการ คุณเจียผิงเหออย่าคิดมากแทนคนอื่นนะคะ ” บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเริ่มแปลกๆจินซายิ้มเจื่อนๆมองไปทางไป่เซพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ เอ่อ น้องเล็กเมื่อมากันครบแล้วพี่ว่าเราเริ่มทานข้าวกันเลยเน้อดีมั้ย ” “ ค่ะ ” ไป่เซตอบ  จากนั้นจินฟากับจินซาที่นั่งตรงข้ามก็ตักอาหารให้น้องเล็กของเขาทันที ด้วยความหิวทุกคนทานข้าวจนลืมบรรยากาศอึดอัดเมื่อกี้นั้นไปพอทานข้าวเสร็จจนอิ่มครบทุกคนแล้วไป๋เจิ้นหลงจึงลุกออกมาจากโต๊ะอาหารเป็นคนแรกไม่พูดไม่จากับไป่เซ เมื่อไป๋เจิ้นหลงกลับถึงห้อง อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เขานึกถึงฉากที่ไป่เซปฏิเสธเขา นึกถึงตอนนที่ไป่เซออกไปทำบุญแต่เช้าใช้เวลาอยู่กับมู่มู่สองต่อสองจนถึงบ่าย ก็เกิดอิจฉามู่มู่และไม่พอใจไป่เซขึ้นมา “ ผู้หญิงคนนี้ปฏืเสธฉันอย่างไม่ใยดี แล้วไปกับผู้ชายอีกคนอย่างไมีความสุข ” ไป๋เจิ้นหลงนั่งบ่นพึมพำบนเตียงด้วยความโมโห จึงตัดสินใจกดเบอร์เบอร์หนึ่งแล้วโทรออก เมื่อปลายสายรับสายเขาจึงพูดขึ้นว่า “ คุณปู่ ผมต้องการหมั้นกับอวี้เฟิ่งครับ ” คุณปู่ไป๋ตกใจอึ้งเงียบไปสักพักไป๋เจิ้นหลงจึงพูดต่อว่า “ ผมรู้ว่ามันเร็วเกินไป คุณปู่อาจจะคิดว่ามันไม่เหมาะสมที่จะหมั้นกับน้องบุญธรรม แต่ผมรักอวี้เฟิ่งรักตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอผมหลงรักเธอก่อนที่ปู่จะพาเธอมาเปิดตัวในงานวันเกิดแล้วครับ ” คุณปู่ไป๋ยิ้มเขาเข้าใจนิสัยดื้อรั้นเอาแต่ใจของหลานชายเขาดีจึงเอ่ยว่า “ เจิ้นหลงคิดไตร่ตรองให้ดีๆอีกทีนะ ระหว่างนี้ปู่จะลองคุยกับอวี้เอ๋อร์ดูว่าเขาคิดยังไงกับหลาน ปู่ไม่อยากบังคับใจอวี้เอ๋อร์เพราะเขาเป็นหลานสาวคนเดียวของปู่ ดังนั้นปู่จะต้องฟังความเห็นจากเขาด้วย ” ไป๋เจิ้นหลงไม่ใช่คนโง่เขารู้ว่าถ้าคุณปู่คุยกับไป่เซเธอจะต้องปฏิเสธเขาแน่ดังนั้นเขาจึงเตรียมแผนสองไว้ในใจ “ ครับ คุณปู่ต้องช่วยผมครับ ”  ไป๋เจิ้นหลงใช้น้ำเสียงเหมือนเด็กน้อยอ้อนปู่ของเขา มีหรือที่คุณปู่ไป๋จะปฏเสธหลานชายสุดที่รักของเขา “ ได้ๆ ” คุณปู่ไป๋ยิ้ม “ ขอบคุณครับคุณปู่ ”  ไป๋เจิ้นหลงพูดขอบคุณอย่างดีอกดีใจหลังจากวางสายเขายิ้มไม่หุบล้มตัวนอนลงทันที ตอนเช้าทุกคนเตรียมตัวพร้อมออกเดินทาง รอไป๋เซอยู่ชั้นล่าง แต่ไป่เซไม่ยอมลงมาสักทีจินฟาจึงพูดขึ้นว่า “ ให้ผมขึ้นไปตามมั้ยครับคุณชาย ” “ ไม่ต้อง ” พูดจบไป๋เจิ้นหลงก็เดินขึ้นไปชั้นบนเคาะประตูห้องไป๋เซแต่เธอไม่ยอมเปิด โทรไปก็ไม่รับไป๋เจิ้นหลงจึงตัดสินใจส่งข้อความไปว่า  “ ออกมาได้แล้วถ้าไม่ออกมาจะบุกเข้าไป ” ก็ไม่มีการอ่านหรือตอบข้อความจึงพิมพ์ส่งไปอีกหนึ่งข้อความ “ ถ้าคุณจะมัวทำตัวดื้อแบบนี้ผมจะบอกพ่อแม่คุณและคุณปู่และน้องสาวคุณว่าเรามีอะไรกันแล้วและอยู่ด้วยกันให้พวกท่านรีบจัดงานแต่งโดยเร็ว คุณคงรู้นะว่าคนอย่างผมไม่เคยขู่ใคร ผมให้เวลาคุณสิบนาทีถ้ายังไม่ลงมาผมจะโทรบอกพวกเขาทันที \" ไป่เซเห็นข้อความเด้งขึ้นหูร้อนขึ้นมาทันทีแต่ไม่เปิดอ่านจึงพึมพำอย่างโกรธเคืองว่า  “ คนเลว ไป๋เจิ้นหลงคุณนี่มันเลวจริงๆใช้วิธีนี้ข่มขู่ผู้หญิงเลว เห็นแก่ตัว เผด็จการสมบู ครบสมบูรณ์แบบจริงๆ ” ความจริงแล้วไป่เซเองก็ไม่อยากให้พ่อแม่กับคุณปู่รู้เรื่องที่ผิดพลาดขึ้นเพราะเธอไม่ได้ตั้งใจและไม่ได้รักไป๋เจิ้นหลงเธอเกลียดการบังคับแต่งงานที่สุดโดยเฉพาะการบังคับให้แต่งกับคนที่ตนไม่ได้รัก เหมือนเรื่องที่เธอพลาดนั้นจะกลายเป็นจุดอ่อนที่ไป๋เจิ้นหลงใช้ควบคุมเธอ  ไม่ถึงห้านาทีไป่เซก็เปิดประตูออกมาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบเล็กใบหน้านิ่งเย็นชาไป๋เจิ้นหลงที่รออยู่หน้าห้องยิ้มขึ้นที่มุมปากอย่างพอใจ แล้วฉวยโอกาสตอนที่ไป่เซไม่ทันตั้งตัวใช้มือรวบเอวเธอไว้แน่นดึงตัวเธอเข้ามาแนบชิดกายอีกมือจับเข้าที่ท้ายทอยของเธอใช้ริมฝีปากของเขาประกบจูบลงบนริมฝีปากของไป่เซอย่างดูดดื่มร้อนแรงดูดปากของเธอจนบวมแดงระเรื่อไป่เซพยายามต่อต้านแต่ระยะชิดติดกันเกินทำให้เธอขยับไม่ได้ ไป๋เจิ้นหลงจูบเธอราวกับกระหายจูบเหมือนขาดเรื่องอย่างว่าไปนานยิ่งจูบเร้าร้อนยิ่งคุมตัวเองแทบไม่อยู่ร่างกายเร่าร้อนมือไม้ซุกซนไปตามเรือนร่างของไป่เซจนเกือบจะมีอะไรกับเธอแต่ไป่เซผลักเขาออกมาได้ซะก่อน เขาจึงได้สติขึ้นมายิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์แล้วเอ่ยว่า “ นี่เป็นบทลงโทษของคุณสำหรับวันนี้ หากคุณยังดื้อ ไม่เชื่อฟังผม ผมจะลงโทษคุณมากกว่านี้ ” “ คนเลว ชอบฉวยโอกาสรังแกทีเผลอ ”  ไป่เซโกรธหน้านิ่วคิ้วขมวดแต่ แก้มและปากของเธอแดงระเรื่อริมฝีปากที่บวมเป่งดูอวบอิ่มเซ็กซี่ยิ่งขึ้น ดวงตาของไป๋เจิ้นหลงมองไปที่ริมฝีปากของเธอแล้วยกมือขึ้นจะจับริมฝีปากอันเซ็กซี่น่าจู๊บของเธอแต่ไป่เซปัดมือเธอออกอย่างแรง แล้วพูดว่า “ จะไปได้หรือยัง ”  ไป๋เจิ้นหลงยิ้มอย่างมีความสุขรอยยิ่มนั้นน่าหลงไหลหล่อเหลามีเสน่ห์     *** เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ ***
已经是最新一章了
加载中