คนที่คุ้นเคยโทรมา
1/
คนที่คุ้นเคยโทรมา
ลิขิตฟ้าทุกภพชาติรักแค่เธอ
(
)
已经是第一章了
คนที่คุ้นเคยโทรมา
ไป๋เจิ้นหลงและไป่เซเดินเข้าไปในคฤหาสน์ เหล่าคนรับรับใช้ก็ไปเก็บกระเป๋าของพวกเขา คุณหญิงไป๋เดินมาทางพวกเขาไป่เซจึงเอ่ยขึ้นว่า “ สวัสดีค่ะ ” แน่นอนว่าเธอไม่ถนัดเรียกคนอื่นว่าแม่แม้เขาจะเคยขอให้เธอเรียกเขาว่าแม่ก็ตามแต่เธอรู้สึกไม่คุ้นชินกับครอบครัวของไป๋เจิ้นหลงยากที่จะทำตัวสนิทสนม คุณหญิงไป๋มองไป่เซเผยรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นอย่างเอ็นดูแล้วพูดว่า “ ลูกๆทานอะไรกันมารึยังจ้า เดี๋ยวแม่จะให้คนไปเตรียมให้นะ ” ไป๋เซยิ้มรีบปฏิเสธอย่างเกรงใจว่า “ เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ ” ไป๋เจิ้นหลงมองเธอแล้วพูดว่า “ คุณจะปฏิเสธน้ำใจคุณแม่เหรอ ” ไป่เซมองเขาอย่างหมดอารมณ์จะพูดแล้วพึมพาด่าในใจว่า : ไป๋เจิ้นหลง คนบ้า : จากนั้นเธอก็รีบพูดอธิบายขึ้นว่า “ ฉันเปล่านะคะฉันแค่คิดว่ามันรบกวนคุณแม่ของคุณมากไปหน่อย ” เมื่อคุณหญิงไป๋ได้ฟังคำพูดของไป่เซก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ ดูสิ พูดอย่างกับหนูเป็นคนอื่นไปได้ ฉะนั้นอย่างเกรงใจอีกเลยเข้าใจมั้ย อย่าลืมว่าแม่ก็เป็นแม่บุญธรรมของหนูนะหนูคือลูกสาวของแม่ ห้ามเกรงใจเด็ดขาด ต่อไปให้เรียกฉันแม่เท่านั้นเข้าใจมั้ย ” ไป่เซยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วจึงตอบไปว่า “ ค่ะ ” ไป๋เจิ้นหลงมองไปรอบๆก็ไม่เห็นพ่อของตัวเองจึงเอ่ยถามแม่ของเขาออกไปว่า “ คุณพ่อละครับ ” คุณหญิงไป๋ละสายตาจากไป่เซแล้วหันไปพูดกับลูกชาย “ คุณพ่อออกไปทำธุระข้างนอกเดี๋ยวสักพักก็คงกลับมา มีอะไรหรือเปล่ากลับมารอบนี้ทำไมถึงรีบถามหาคุณพ่อล่ะหื้ม ” “ เปล่าครับ ” พูดจบไป๋เจิ้นหลงหันไปทางไปเซเซแล้วพูดว่า “ ไปขึ้นไปข้างบน ” แล้วหันไปพูดกับแม่ของเขาว่า “คุณแม่ครับผมขอพาไป่ขึ้นไปบนห้องของเธอก่อนนะครับ ” คุณหญิงไป๋ยิ้มตอบว่า “ จ้า แล้วรีบลงมานะแม่จะให้คนเตรียมข้าวต้มไว้ให้ ” “ครับ ” พูดจบเขาก็จับมือไป่เซจูงขึ้นไปชั้นบนอย่างเอาแต่ใจต่อหน้าแม่เขา ไป่เซจะดึงมือกลับมาก็ดูจะเป็นการแสดงพฤติกรรมไม่ดีต่อหน้าผู้ใหญ่จึงยอมเดินตามขึ้นไปอย่างเชื่อฟัง คุณหญิงไป๋มองตามแผ่นหลังของทั้งสองคนแล้วเผยรอยยิ้มแห่งความสุข เจียผิงเหอนั่งทานข้างพร้อมหน้าพร้อมตากันกับครอบครัวอย่างมีความสุข ทานข้าวเสร็จก็ไปช่วยแม่ล้างจาน คุณหญิงเจียรู้สึกว่าไม่ได้พบเจอเด็กผู้ชายผู้เป็นเพื่อนลูกนานมากแล้วก็มีความรู้สึกคิดถึงตามประสาคนคุ้นเคยจึงเอ่ยว่า “ ช่วงนี้เจิ้นหลงเป็นยังไงบ้าง ไม่ได้เจอเขานานมากแล้ว เขาสบายดีมั้ย ” เจียผิงเหอจึงตอบไปว่า “ สบายดีครับ ” เขาตอบพร้อมกับมือก็ยังล้างจานอยู่ “ ดีๆ ลูกชวนเขามาทานข้าวที่บ้านสิไม่ได้เจอนานแล้วอีกอย่างพ่อกับแม่ก็อยากจะขอบคุณเขาที่ช่วยพวกเราตอนนั้น ” ทั้งสองพูดไปมือก็ล้างจานไปเรื่อยๆ “ ได้ครับเดี๋ยวผมจะชวนให้นะครับ ” แม่ของเจียผิงเหอพยักหน้ายิ้มแล้วล้างจานกับลูกชายจนเสร็จ เจียผิงเหอช่วยแม่เช็ดถ้วยจานแล้วเก็บเรียบร้อยก็เดินออกจากห้องครัวไปนั่งดูทีวีกับพ่อกับน้องสาวผู้เป็นแม่ก็มานั่งลงข้างๆ การดูทีวีด้วยกันเป็นกิจกรรมครอบครัวอย่างหนึ่งของครอบครัวนี้ นานๆทีเจียผิงเหอจะมีเวลาได้อยู่กับครอบครัวพวกเขาเป็นครอบครัวเล็กๆที่ดูอบอุ่นมากทีเดียว พวกเขานั่งดูทีวีด้วยกันบนโซฟา พูดคุยแลกเปลี่ยนสนทนากันอย่างมีความสุข คฤหาสน์ตระกูลไป๋มีเสียงโทรศัพท์สั่นดังขึ้นข้างเตียงชายหนุ่ม “ รืด…รืด…รืด..” หน้าจอสว่างเผยใบหน้าหญิงสาวทีมีความอ่อนโยนสวยงาม ชายหนุ่มสลึมสลือบิดตัวพร้อมกับควานหาโทรศัพท์พร้อมกับส่งเสียงพึมพำใต้ผ้าห่มอย่างขี้เกียจ “ ใครโทรมาแต่เช้า ” จากนั้นจึงกดรับไปโดยไม่ลืมตาดูหน้าจอโทรศัพท์ ทันทีที่กดรับก็มีเสียงใสไพเราะที่คุ้นเคยดังขึ้นในหูดวงตาไป๋เจิ้นหลงถูกเปิดออกเต็มลูกตา ตาสว่างหายง่วงทันทีพร้อมกับเอ่ยเสียงออกไปอย่างตื่นเต้น “ ผิงเหอ ” เพื่อความแน่ใจเขาจึงลดมือลงดูหน้าจอเมื่อแน่ใจแล้วก็เอาโทรศัพท์แบบหูดังเดิมลุกขึ้นนั่งอย่างตื่นเต้นดีใจ “ ผิงเหอคุณจริงๆด้วย คุณกลับมาแล้ว คุณยังใช้เบอร์เดิม นึกไม่ถึงว่าคุณจะโทรหาผมอีก ” ไป๋เจิ้นหลงรีบพูดอย่างคนกลัวคนอื่นจะแย่งพูดไม่เว้นวรรคให้อีกฝ่ายตอบก่อนเลยราวกับมีคำพูดมากมายอยากจะพูดกับหญิงสาวที่โทรเข้ามา เจียผิงเฟยได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มไม่หุบจึงพูดหยอกล้อออกไปว่า “ พี่เจิ้นหลงขอเว้นให้ผิงเหอได้พูดบ้างสิคะ ” ไป๋เจิ้นหลงปรับสติอารมณ์ให้กลับเป็นปกติแล้วพูดขึ้นว่า “ พี่ขอโทษคงเพราะพวกเราไม่ได้เจอไม่ได้คุยกันนาน ” หญิงสาวที่อยู่ในสายก็พูดว่า “ ค่ะ พี่เจิ้นหลงว่างวันไหนคะ คุณแม่ชวนมาทานข้าวที่บ้านท่านบ่นว่าคิดถึงพี่เจิ้นหลงค่ะ ” เจียผิงเหอไม่ลืมที่จะชวนอีกฝ่ายมาทานข้าวเพราะนอกจากพ่อแม่เทอที่บ่นคิดถึงไป๋เจิ้นหลงแล้วก็มีเธอเนี่ยแหละที่ทั้งคิดถึงทั้งอยากเจอ ไป๋เจิ้นหลงไม่คิดอะไรมากก็รีบตอบปลายสายทันที “ อืม ได้งั้นเย็นนี้เจอกันนะ ” เมื่อหญิงสาวได้ยินเช่นนั้นก็อดที่จะไม่ดีใจตื่นเต้นไม่ได้จึงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ทั้งดีใจทั้งตื่นเต้น “ จริงเหรอคะ พี่ว่างมาวันนี้เลยเหรอคะ ” เมื่อก่อนให้ความสำคัญยังไงตอนนี้ไป๋เจิ้นหลงก็ยังคงให้ความสำคัญกับครอบครั้งนี้อย่างงั้น แล้วตอบไปสั้นๆว่า “ จริง ” หญิงสาวจึงพูดต่อว่า “ งั้นจะไปบอกคุณแม่ก่อนนะคะ ท่านต้องดีใจมากๆแน่เลย ” ไป๋เจิ้นหลงเดินไปยืนที่หน้ากระจกเตรียมอาบน้ำเผยรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปากแล้วตอบว่า “ ครับ งั้นเย็นนี้เจอกัน ” ปลายสายดีใจยิ้มไม่หุบพูดว่า “ ค่ะ แล้วเจอกันค่ะ ” แล้วก็กดวางสายไป จากนั้นก็วิ่งไปยังพ่อแม่ของเขาที่ยุ่งอยู่ในครัว “ พ่อคะแม่คะ พี่เจิ้นหลงจะมาทานข้าวที่บ้านเราเย็นนี้ค่ะ ” ผู้เป็นแม่หันมามองแสดงสีหน้าอย่างดีใจพร้อมกับเอ่ยว่า “ จริงเหรอลูกชวนเขาแล้วเหรอ ” เจียผิงเหอจึงพยักหน้าตอบไปว่า “ ค่ะ หนูเพิ่งวางสายพี่เขาไปค่ะ ” ผู้เป็นพ่อจึงพูดขึ้นว่า “ อ่า ดีเลยเย็นนี้พ่อจะช่วยแม่ทำอาหารอย่างสุดฝีมือเลย ถือเป็นการเลี้ยงขอบคุณเจิ้นหลงเขา ” ทั้งสามสนทนากันอย่างอารมณ์ดีวางแผนเตรียมพร้อมสำหรับมื้อเย็นที่สำคัญที่กำลังจะมาถึง ไป๋เจิ้นหลงไม่ได้เข้าบริษัทมาเป็นอาทิตย์แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่ทำงานเขานั่งทำงานทุกวันประชุมผ่านวีดีโอสมัยนี้อะไรๆก็ใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยทำอะไรก็สะดวกไปหมด เช้าวันนี้ก็เช่นกันหลังจากสั่งงานเสร็จก็เดินออกจากห้องทำงานแล้วไปเคาะประตูห้องของไป่เซ ไป่เซที่อยู่ในห้องรู้สึกรำคาญเสียงเคาะประตูเพราะเธอกำลังใช้สมาธิในการทำงานบางอย่างของเธออยู่ จึงเดินมาเปิดประตูอย่างหงุดหงิดแล้วเอ่ยเสียงเย็นว่า “ คุณมีธุระอะไร โทรศัพท์มีทำไมไม่โทรเข้าโทรศัพท์เอา มาเคาะประตูแบบนี้ไม่คิดว่าจะเสียงดังรบกวนคนอื่นเหรอ ” ไป๋เซพูดตำหนิออกไปสีหน้าแววตาดูนิ่งสงบราวกับเสียงนั้นไม่ได้มาจากปากของเธอ ผู้หญิงคนนี้ดูลึกลับจริงๆน้ำเสียงกับสีหน้าไปคนละทางกันจริงๆถ้าไม่มีเสียงมีเพียงใบหน้างดงามนิ่งสงบนี้จะไม่รู้สึกเลยว่ากำลังตำหนิคนอยู่ เมื่อเห็นไป๋เจิ้นหลงยืนนิ่งจองมองใบหน้าของเธอไม่พูดไม่จาอะไรไป่เซจึงพูดว่า “ ถ้าไม่มีอะไรก็ไม่ต้องมาเคาะประตูอีก แล้วก็ไม่ต้องให้คนมาตามไปทานข้าวด้วย ” พูดจบก็ถอยไปเตรียมจะปิดประตู ไป๋เจิ้นหลงที่เหมือนจมอยู่กับความคิดตัวเองเมื่อครู่ก็มีการตอบสนองกลับมาอย่างรวดเร็วรีบเอามือดันประตูที่กำลังจะถูกปิดอีกครั้ง แล้วพูดขึ้นว่า “ เดี๋ยวคุณผมมีธุระจะคุยกับคุณ ” ความจริงแล้วเขาไม่มีอะไรจะคุยกับเธอหรอกแค่อยากจะอยู่ใกล้ๆไป่เซจึงหาข้ออ้างว่ามีธุระที่จะคุยกับเธอ แววตาเย็นชาของไป่เซเงยหน้ามองเขาอีกครั้งเธอไม่อยากจะเสียเวลากับผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้านานเกินไปจึงพูดขึ้นว่า “ มีอะไรก็รีบพูดมาเถอะค่ะ ฉันไม่มีเวลา ” \" คำว่าไม่มีเวลา \" ทำให้ไป๋เจิ้นหลงยิ่งอยากรู้ว่าเธอคนนี้ทำอะไรอยู่ จึงพูดว่า “ ขอเข้าไปคุยในห้องคุณ ” ไป่เซกลัวความลับจะถูกเปิดเผยอีกจึงพูดปฏิเสธคำขอของไป๋เจิ้นหลง “ไม่ได้ค่ะ คุณพูดตรงนี้เลย ” ยังไงซะเธอก็ไม่อาจให้ไป๋เจิ้นหลงรู้จักเธอมากไปกว่านี้แล้วสิ่งที่เธอทำอยู่นั้นขนาดมู่มู่ของเธอยังไม่รู้เลย ผู้หญิงคนนี้มีอะไรปิดบังอยู่นะถึงยืนกรานไม่ให้เราเข้าไป ไป๋เจิ้นหลงโน้มตัวลงเล็กน้อยทำหน้าเจ้าเล่ห์สบตาของไป่เซพร้อมกับยกยิ้มมุมปากใบหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์นี้ลงมาใกล้ใบหน้าของไป่เซมากขึ้นเรื่อยๆ “ คุณจะให้ผมเข้าไปมั้ย หรือคุณอยากจะให้ผมจูบคุณตรงนี้โชว์พ่อแม่ผมที่กำลังจะลงมา ” ไป่เซถอยหลังไปตามสัญชาตญาณแต่สายตากลับจ้องเขม็งไปที่แววตาอันทรงพลังคู่นั้นราวแมวน้อยที่ขนตั้งพองเตรียมพร้อมสู้กับศัตรู ไป๋เจิ้นหลงค่อยๆก้าวไปหาเธอช้าๆขณะที่เธอนั้นกำลังถอยอย่างไม่รู้ตัว ไป๋เจิ้นหลงได้โอกาสก็รีบคว้าเอวไป่เซดึงเข้ามาแนบชิดกับอกแกร่งของเขาทันทีราวกับเสือกำลังตะครุบเหยื่อแล้วใช้เท้าถีบไปข้างหลังปิดประตูมืออีกข้างก็กดล็อคประตูทันที ร่างกายของไป่เซถูกดึงเข้ามากระแทกเข้ากับอกใหญ่อย่างแรงด้านหน้าของทั้งสองคนแนบชิดติดกันไป่เซสะดุ้งตกใจดวงตาเบิกกว้างเมื่อร่างกายสัมผัสถึงปฏิกิริยาบางอย่างบนร่างกายไป๋เจิ้นหลงที่มีการตื่นตัวอย่างรวดเร็ว เธอพยายามดันเขาออกไปให้ห่างจากตัวเธอ ยิ่งเธอขยับเหมือนยิ่งกระตุ้นอารมณ์ของไป๋เจิ้นหลงเธอแอบด่าเขาในใจ : ไอ้บ้ากาม ไอ้ลามก ไอ้เลวคนเลว : ใบหน้าร้อนผ่าวแก้มแดงระเรื่อเพราะทำตัวไม่ถูก : ให้ตายสิน้องชายดันมาตื่นเอาดื้อๆแบบนี้ ผู้หญิงคนนี้มีผลต่ออารมณ์เรามากจริงๆ : ไป่เซเธอไม่กล้าขยับในระยะประชิดนี้อีกต่อไปกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นมากกว่านี้ จึงยืนนิ่งยอมให้ไป๋เจิ้นหลงกอดแล้วเธอก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงหันไปทางโน๊ตบู๊คของเธอ จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นหน้าจอนั้นปิดลงแล้ว ไป๋เจิ้นหลงเห็นเธอมองไปทางโน๊ตบู๊คแล้วหายใจอย่างโล่งอกจึงถามออกไปว่า “ ในโน๊ตบู๊คคุณมีอะไรซ่อนอยู่เหรอดูเธอกังวลมากเลย ” ลึกๆในใจไป่เซกลัวไป๋เจิ้นหลงจะหันไปสนใจกับโน๊ตบู๊คของเธอเธอจึงพูดเบี่ยงเบนความสนใจว่า “ เปล่า! ไม่มีอะไรหรอก แล้วคุณบอกได้หรือยังว่ามีธุระอะไรจะคุยกับฉัน ” ไป๋เจิ้นหลงอยู่ในห้วนอารมณ์ที่ถึงจุดที่ยากจะควบคุมแล้ว เมื่อได้ยินเช่นนั้นไป๋เจิ้นหลงก็กอดไป่เซแน่นขึ้นไปอีกมือขวามกอดที่เอวเธออย่างแน่นมือซ้ายจับท้ายทอยแล้วประกบจูบริมฝีปากเล็กอันเซ็กซี่ของไป่เซอย่างดุเดือด ไป่เซต่อต้านเขาอย่างสุดแรงกำลังที่มี “ อื้อ…อื้ม..” เธอพยายามส่งเสียงพูดแต่ปากของเธอถูกปิดผนึกด้วยริมฝีปากเจ้าเผด็จการของไป๋เจิ้นหลง สักพักเธอรู้สึกเหนื่อยและหายใจไม่ออกราวกับคนกำลังขาดอากาศหายใจ ไป๋เจิ้นหลงจึงยอมปล่อยเธอ เธอผลักเขาออกอย่างแรงและโกรธเขามาก เธอหายใจหอบไม่รู้เพราะดิ้นใช้แรงมากเกินไปหรือเพราะถูกจูบจนไม่มีแรงสมองเธอยุ่งเหยิงไปหมด “ ไป๋เจิ้นหลง คุณจะเอาแต่ใจรังแกคนอื่นมากเกินไปแล้วนะ คุณคิดว่าบังคุบฉันมาอยู่บ้านคุณแล้วอยากจะย่ำยีหรือทำอะไรก็ได้ตามใจตัวเองอย่างนั้นเหรอ คนเลว ไอ้บ้ากาม ” เธอไม่พอใจและโกรธจนหน้าแดงหัวร้อนไปหมดแตกต่างกับตอนแรกอย่างสิ้นเชิง ไป๋เจิ้นหลงยิ้มมุมปากไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไรกับคำด่าของไป่เซเลยเรียกได้ว่าหลงจนโง่แม้ถูกด่าก็ยอม แบบนี้ช่างต่างกับไป๋เจิ้นหลงคนเดิมที่ทั้ง สุขุมเยือกเย็น ใครพูดถึงเขาทางลบนิดหน่อยก็ต้องพบจุดจบที่ชีวิตแสนสาหัสทีเดียว “ มีเธอคนเดียวที่ฉันยอมให้ด่า คุณควรจะภูมิใจนะ ” ไป่เซสงบสติอารมณ์ให้อารมณ์คงที่สักพักจึง เดินออกจากห้องไปไม่อยากอยู่ใกล้ไป๋เจิ้นหลงอีก ไป๋เจิ้นหลงเห็นว่าเธอกำลังจะหนีหน้าเขาจึงรีบคว้ามือของไป่เซไว้แล้วดึงเข้ามากอดอีกครั้ง ไป่เซไม่พูดไม่จามองแรงใส่เขาอย่างเยือกเย็น ไป๋เจิ้นหลงเห็นเธอโกรธจริงๆเลยพูดขอโทษด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนมือทั้งสองกอดเธอไว้แน่นจากด้านหลัง “ ผมขอโทษ คุณอย่ามองผมแบบนี้ได้มั้ยเวลาที่คุณมองผมราวกับคนไร้ความรู้สึกแบบนั้นมันทำให้ผมเจ็บมากเลยนะ ” ความเย็นชาบนตัวไป่เซทำให้ไป๋เจิ้นหลงถึงกับอ่อนโยนลงเพราะสิ่งที่เขากลัวที่สุดในตัวผู้หญิงคนนี้คือความเฉยชาเยือกเย็นมันทำให้เขารู้สึกราวกับว่าเธอนั้นไร้หัวใจ ไป่เซในชาตินี้บางทีก็ไม่อยากยึดติดกับอดีตชาติพยายามละทิ้งความโกรธแค้นแต่มู่มู่ที่รักเธอทำเพื่อเธอทุกภพชาตินั้นเธอปล่อยวางเขาไม่ได้จริงๆ “ คุณปล่อยฉันได้หรือยัง ” ไป่เซพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับว่าไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดของไป๋เจิ้นหลง ดวงตาและจมูกของไป๋เจิ้นหลงแดงก่ำคล้ายว่ามีน้ำใสๆซึมออกมาจากในดวงตา ที่เขากลัวเป็นเรื่องจริงเพราะความเย็นชานี้เขาจำได้แม่นยำ ชาติที่แล้วก่อนไป่เซจากเขาไปก็เป็นเช่นนี้จึงทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อไป่เซมีท่าทางราวกับคนไร้หัวใจ “ ไป่คุณอย่าเย็นชากับผมเช่นนี้ได้มั้ย คุณทำให้ผมกลัว กลัวที่จะเสียคุณไปอีกครั้ง ” ไป่เซใจอ่อนลงเล็กน้อยเธอโตแล้วไม่อยากเอาเรื่องที่ตนเองรู้สึกว่าไร้สาระมากวนสมองเธอแล้ว “ เรื่องเมื่อกี้ช่างเหอะคุณบอกว่ามีธุระจะคุยกับฉันไม่ใช่เหรอ คุณรีบพูดมาเถอะค่ะ ” ไป๋เจิ้นหลงจากที่กอดไป่เซจากด้านหลังก็เดินไปอยู่ด้านหน้าของเธอแทนดวงตาคู่สวยมีเสน่ห์ทั้งสองคู่สบเข้ากากัน มือทั้งสองของเขาจับไปที่แขนทั้งสองข้างของเธอพร้อมกับถามเพื่อความแน่ใจ “ ไป่คุณพูดจริงเหรอ คุณไม่โกรธผมแล้วจริงๆใช่มั้ย ” ไป่เซเม้มปากพร้อมกับพยักหน้า “ อืม ” ไป๋เจิ้นหลงดีใจแล้วดึงเธอเข้ามากอดอย่างทะนุถนอมหัวใจของไป่เซรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกไป๋เจิ้นหลงกอดเธอไว้แน่น “ วันนี้ครอบครัวเลขาเจีย เพื่อนสนิทผมชวนไปทานมื้อเย็นที่บ้าน คุณไปกับผมนะ ” ไป่เซรู้สึกว่าตนเองไม่ได้ถูกชวนและเธอเองก็ไม่ได้สนิทอะไรกับเลขาเจียถ้าไปคงจะดูไม่เหมาะจึงพูดปฏิเสธไปว่า “ คุณไปเถอะค่ะ ฉันไปด้วยคงจะไม่เหมาะอีกอย่างฉันกับเลขาคุณไม่ได้สนิทกัน หากฉันไปจะอึดอัดเปล่าๆ ” น้ำเสียงท่าทีและคำพูดที่ฟังดูราบเรียบราวกับว่าไม่มีอะไรไม่พอใจเคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้เลย การปฏิเสธที่นิ่งเรียบนี้ยากจะคาดเดาอารมณ์ของเธอได้ ไป๋เจิ้นหลงเห็นว่าเธอกำลังปฏิเสธ จึงพูดขึ้นว่า “ จะไม่เหมาะได้อย่างไรคุณเป็นคนที่สำคัญที่สุดของผมผมจะ ใครเคารพผมก็ต้องเคารพคุณ ใครรักผมก็ต้องรักคุณ ” ไป๋เจิ้นหลงพูดพลางยิ้มอย่างอบอุ่นสบตาเข้ากับดวงตาคู่งามของไป่เซอย่างแน่วแน่ คำพูดที่พูดออกมานั้นแม้ฟังดูอ่อนโยนแต่แท้จริงแล้วก็คือการบังคับให้เธอไปกับเขานั่นแหละ เธอจะพูดว่าไม่เหมาะก็ไม่ได้อีกก็พูดไปแล้ว เธอจึงคิดหาข้อปฏิเสธต่อไป ต่อให้พูดยังไงผู้ชายคนนี้ก็จะเอาเราไปด้วยให้ได้งั้นเหรอ จะบ้าตายที่ต้องมาเจอคนแบบนี้ ชีวิตที่สงบสุขของเราหายไปตั้งแต่ตอนไหน ไป่เซขี้เกียจที่จะทะเลาะกับเขาจึงพูดออกไปว่า “คุณฟังฉันนะคนเขาไม่ได้ชวนฉันไม่ได้ต้องการจะพบฉันเขาต้องการพบคุณคนเดียวชวนคุณคนเดียวดังนั้นคุณอย่าบังคับฉันให้ลำบากใจเลยจะได้มั้ย คุณอยากจะให้คนอื่นมองว่าฉันหน้าด้านไปทานข้าวบ้านคนอื่นโดยไม่ได้เชิญแบบนี้เหรอ ไหนคุณบอกว่ารักฉันไงรักก็ต้องไม่บังคับกันสิ ” ให้ตายเหอะผู้หญิงคนนี้พูดกับเราอย่างกับสั่งสอนราวกับหลอกล่อเด็กน้อยให้เชื่อฟัง ไป๋เจิ้นหลงด้วยความหยิ่งยโสการใช้คำพูดของไป่เซแบบนี้เขาไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่อต่เธอคือข้อยกเว้นกรณีพิเศษ และคนอย่างไม่เจิ้นหลงมีหรือจะยอม “ คุณคิดมากไปแล้ว ผมบอกแล้วว่าใครรักผมก็ต้องรักคุณ วันนี้ผมจะถือโอกาสแนะนำคุณให้พวกเขารู้จักดีมั้ย ” ไป่เซหมดคำจะพูด ถ้าจะบอกว่าไม่ดีเรื่องนี้ก็คงจะไม่จบไม่สิ้นสักที เธอยังต้องทำงานของเธอที่สำคัญกว่าการมาเสียเวลายืนคุยแบบนี้อีกและเวลาก็ใกล้เข้ามาแล้วเหลือไม่กี่เดือนเธอทุ่มเทกับงานนี้มาก เธอจึงตอบไปอย่างง่ายดายว่า “ โอเคค่ะ ฉันจะไปกับคุณแต่ว่าเช้านี้ฉันไม่ลงไปทานข้าวนะคะ ฉันไม่หิว ” ดวงตาของไป๋เจิ้นหลงเป็นประกายใบหน้าได้รูปแสนหล่อเหลาเผยรอยยิ้มแห่งความดีใจต่อหน้าไป่เซราวกับว่าเขาประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ รอยยิ้มนั้นช่างมีเสน่ห์ไม่หลงเหลือความสุขุม เยือกเย็นเลย ไป่เซราวกับต้องมนต์สะกดนิ่งอึ้งทึ่งกับรอยยิ้มที่สดใสกับใบหน้าหล่อเหลาเพอร์เฟคนี้ช่างดูมีเสน่ห์น่าดึงดูด ขณะนั้นเธอรู้สึกชอบหลงไหลความอ่อนโยนแบบนี้ของไป๋เจิ้นหลงขึ้นมามีอาการใจเต้นตุ้มๆต่อมๆแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนราวกับมีคนกำลังตีกลองอยู่ในหัวใจให้ตื่นตัว “ ตุ่บๆตุ่บๆ” เธอจ้องดวงตาและรอยยิ้มนั้นอย่างไม่รู้สึกตัว ไป่เจิ้นหลงเองก็เริ่มรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของหญิงสาวตรงหน้าบ่งบอกว่าเขาเริ่มมีความหวังที่จะได้หัวใจของเธอแล้ว จึงดึงเธอเข้ามากอดไว้ในอ้อมอกอันแข็งแกร่งให้ความอบอุ่นซึ่งกับและกัน โทรศัพท์มือถือของไป๋เจิ้นหลงก็สั่นขึ้น ไป่เซได้สติก็ผละเขาออกด้วยท่าทางเขินอายเล็กน้อยแต่ก็คงเก็บซ่อนความเขินอายนั้นได้เป็นอย่างดี แล้วเดินไปนั่งลงบนโต๊ะ ไป๋เจิ้นหลงยิ้มมุมปากอย่างมีความสุขแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย “ ว่าไง ” คนที่โทรเข้ามานั้นคือเจียผิงเหอนั่นเองเมื่อได้ยินเสียง เจียผิงเหอก็พูดขึ้นว่า “ จิ้นหลงฉันได้ยินแม่บอกว่านายจะมาทานข้าวที่บ้านเย็นนี้นายชวนคุณไป่มาด้วยสิ ” ไป๋เจิ้นหลงยิ้มอย่างมีเสน่ห์แล้วพูดว่า “ แน่นอนอยู่แล้ว ” เจียผิงเหอได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจแล้วพูดว่า “ โอเคนายเยี่ยมมาก ฉันโทรมาแค่นี้แหละเย็นนี้เจอกัน ” “ อืม แล้วเจอกัน ” ไป๋เจิ้นหลงพูดแล้วก็กดวางสายเดินไปทางไปเซแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า \" เดี๋ยวผมจะเข้าไปดูที่บริษัทหน่อยคุณอยากจะไปกับผมมั้ย \" ไป่เซอึ้ง ผู้ชายคนนี้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย เสแสร้งอ่อนโยนกับผู้หญิงเก่งเหลือเกิน ให้ตายยังไงไป่เซก็ไม่อาจเชื่อเขาได้คนเรามีที่ไหนจะเปลี่ยนง่ายขนาดนั้นแต่เธอไม่ใช่คนโง่ใครปั้นหน้ามาเธอก็ปั้นหน้ากลับเสแสร้งเหรอเธอก็ถนัด เธอจึงยิ้มอ่อนโยนแล้วพูดอย่างเด็กไร้เดียงสาใช้น้ำเสียงน่าฟังไพเราะเสนาะหูต่อผู้ได้ยิน “ ไม่ค่ะ คุณไปเถอะ ” ไป๋เจิ้นหลงไม่อยากบังคับเธอมากก่อนออกไปจึงพูดขึ้น “ งั้นผมไปก่อนนะ มีอะไรก็โทรหาผม ถ้าต้องการอะไรก็บอกป้าเขานะ ” ไป่เซพยักหน้าอย่างว่านอนสอนง่าย “ ค่ะ ” ใบหน้าขาวใสไร้เครื่องสำอางทำให้ไป๋เจิ้นหลงแทบอดใจไม่ไหวบังคับตัวเองให้เดินออกจากห้องไป หลังจากที่ไป๋เจิ้นหลงออกไปไป๋เซก็มาแกะท่าฝึกซ้อมต่อไป ไป๋เจิ้นหลงลงไปข้างล่างก็สั่งกับแม่บ้านว่า “ ป้าครับ เดี๋ยวป้าทำข้าวต้มกุ้งแล้วยกไปให้คุณหนูไป่ในห้องหน่อยนะครับ เอาผลไม้ยกไปด้วย แล้วก็คั้นน้ำแครอทให้เธอแก้วหนึ่งนะ ” ป้าจางยิ้มอ่อนๆแล้วตอบว่า “ ค่ะคุณชาย คุณชายจะทานข้าวเลยมั้ยคะป้าจะไปเตรียมให้ ” “ไม่ครับวันนี้ผมจะไปทานที่บริษัทเอา ” พูดจบก็หมุนตัวเดินออกไปป้าจางเป็นคนเก่าคนแก่ที่เคยเห็นไป๋เจิ้นหลงตั้งแต่เด็กยืนมองแผ่นหลังที่ไกลออกไปใบหน้ายิ้มละมุนพร้อมกับพึมพำว่า “ คุณชายช่างเอาใจใส่คุณหนูบุญธรรมเสียจริงๆ ถ้าเป็นมากกว่าพี่น้องป้าคงจะดีใจกับคุณชายมากกว่านี้ ” เมื่อแผ่นหลังหายไปป้าจางก็หมุนตัวเข้าไปในครัว สิ่งที่ไป๋เจิ้นหลงสั่งแม่บ้านนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ไป่เซชอบทานประจำแต่เพิ่มผลไม้กับเครื่องดื่มสดๆ สักพักป้าจางก็ยกอาหารขึ้นไปถึงหน้าห้องก็เคาะประตู “ ก๊อก ก๊อก ก๊อก ” คนข้างในหยุดการกระทำแล้วเดินมาเปิดประตู แล้วเธอก็ตกใจปนรู้สึกผิด ป้างจางเห็นไป่เซก็พูดว่า “ คุณข้าวต้มกุ้งของคุณหนูค่ะ คุณชายสั่งให้ยกมาให้คุณหนูที่ห้อง ” เมื่อไป่เซได้ยินเช่นนั้นก็อึ้งไป หรือว่าผู้ชายคนนี้จะไม่ได้เแสร้งแกล้งทำดีกับเราแล้วเพราะอะไรอยู่ๆถึงเอาใจใส่เราเช่นนี้ ช่างเหอะรอดูต่อไปแล้วกันคนเราถ้าเสแสร้งวันหนึ่งก็ต้องเผยด้านเดิมกลับมา “ เอ่อ ป้าเข้ามาก่อนค่ะ ลำบากป้าแล้ว ” ไป่เซพูดพลางแสดงความรู้สึกผิดป้าจางเห็นเช่นนั้นก็พูดปลอบอย่างอบอุ่นว่า “ ไม่เป็นไรเลยค่ะคุณหนูอย่าคิดมาก คุณชายรักและใส่ใจคุณหนูมากเลยนะคะก่อนออกไปกำชับให้ทำให้คุณหนูกลัวว่าคุณหนูจะลืมทานข้าวค่ะ ” ป้าจางวางถาดข้าวบนโต๊ะเสร็จก็ไม่ลืมที่จะยกความดีความชอบให้คุณชายของเขา ไป่เซยิ้มเจื่อนๆ “ ค่ะ ขอบคุณป้ามากนะคะ ” ป้าจางยิ้มแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องของไป่เซเมื่อประตูปิดลงไป่เซก็นั่งลงทานข้าว
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
คนที่คุ้นเคยโทรมา
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A