ตอนที่ 23 คุณคือคนที่ผมเลือก   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 23 คุณคือคนที่ผมเลือก
ที่บริษัท ไป๋เจิ้งหลงและเจียผิงเหอเข้าไปในลิฟส่วนตัวของประธานบริษัทแล้วเดินไปทางห้องทำงานส่วนตัวที่มีความหรูดูดีดูเท่ในสไตล์ของไป๋เจิ้งหลง ข้างในให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในคอนโดหรืออยู่ในบ้าน มีห้องอาหาร ห้องทำงาน ห้องรับแขก ห้องนอน ห้องน้ำ ในห้องนอนมีเสื้อผ้าพร้อม มีแม่บ้านที่คอยดูแลเฉพาะสำหรับห้องนี้สองคน  เรียกได้ว่าเป็นบ้านหลังที่สองของไป๋เจิ้นหลง เมื่อก่อนเขามักจะพักที่บริษัทเป็นประจำก่อนหน้านี้ถึงเขาจะมีผู้หญิงหลายคนแต่ในพื้นที่ส่วนตัวไป๋เจิ้นหลงไม่เคยให้ใครเข้ามาแม้แต่เจียผิงเฟยก็ยังไม่เคยล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวของเขา ยกเว้นเจียผิงเหอที่สนิทติดตามเขารู้ใจเขาที่สุด ไป๋เจิ้นหลงนั่งลง บนเก้าอี้ทำงานหยิบงานมาทำนั่งเซ็นต์เอกสารที่วางกองอยู่บนโต๊ะ บุคลิกสุขุมเยือกเย็นมีเสน่ห์อย่างมากเจียผิงเหอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรไปสั่งอาหารเช้าในห้องครัวของบริษัทให้ไป๋เจิ้งหลง สักพักก็มีคนมาส่งอาหารแม่บ้านจัดเตรียมไว้บนโต๊ะอย่างเรียบร้อย แล้วไปเชิญไป๋เจิ้นหลงทานข้าว แม่บ้าน “ คุณชายคะอาหารเช้าคุณชายเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ ” วันนี้ไป๋เจิ้นหลงอารมณ์ดีจึงเงยหน้าขึ้นตอบสร้างความประหลาดใจให้กับแม่บ้านสองคนอย่างมาก ไป๋เจิ้นหลง “ อืม ครับถ้าเสร็จแล้วป้าทั้งสองไปพักด่อนเลย ” แม่บ้านทั้งสองแอบมองกันเล็กน้อยแล้วยิ้มพร้อมกับโค้งคำนับ “ ค่ะคุณชาย ขอบคุณค่ะ ”  ทั้งสองก็เดินออกไปจากห้องนั้นไปก็กระซิบกระซ่าบกันตามประสาผู้หญิง “ วันนี้คุณชายดูแปลกๆนะ ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ” อีกคนก็พูดตอบทันทีว่า “ ใช่ๆ วันนี้คุณชายแปลกจริง แต่ฉันว่ายิ่งต้องระวังมั้ยอ่ะคุณชายไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนอยู่ๆเปลี่ยนเป็นแบบนี้ฉันรู้สึกว่ามันผิดปกติเกินไป ” “ เออๆ พวกเรารีบไปทานข้าวกันเถอะ ” ทั้งสองรีบมุ่งหน้าไปยังโรงอาหารของบริษัท ไป๋เจิ้นหลงและเจียผิงเหอที่นั่งทานข้าวอยู่โทรศัพท์ของไป๋เจิ้นหลงก็ดังขึ้นหน้าจอโทรศัพท์ปรากฎชื่อ อันอัน ไป๋เจิ้นหลงรู้สึกรำคาญเลยตัดสายทิ้ง เผยสีหน้าที่เย็นชาราวกับก้อนน้ำแข็งความเย็นแผ่ซ่าออกมาจากกายของเขา เพราะหลังจากตัดสายไปก็มีข้อความจาก อันอัน ส่งมาว่า  “ เจิ้นหลงฉันกับคุณพ่ออยู่ที่บ้านคุณแล้วนะคะ ” เมื่อเห็นข้อความดังกล่าวไป๋เจิ้นหลงก็โยนโทรทิ้งลงพื้นด้วยความหงุดหงิด ตั้งแต่เจอกับไป่เซเขาก็ไม่ชอบผู้หญิงคนไหนอีกเลยราวกับถูกมนต์สะกดให้หลงแต่เธอเพียงคนเดียว เจียผิงเหอมองไป๋เจิ้นหลงแว่บหนึ่งก็เผยยิ้มมุมปากเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มเยาะเบาๆ ไป๋เจิ้งหลงเหลือบเห็นก็ขมวดคิ้วขึ้นถามออกไปอย่างเย็นชา “ ยิ้มอะไร ” เจียผิงเหอที่ทานข้าวอยู่ตรงข้ามก็หุบยิ้มทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วส่งเสียงออกไปว่า “ เปล่าๆไม่ได้ยิ้มๆ ” แล้วก็ก้มหน้าทานข้าวต่อทั้งสองทานจนอิ่มแล้วก็เดินออกไปที่ห้องทำงานแล้วเดินไปยังห้องประชุมใหญ่ สีหน้าไป๋เจิ้นหลงราวกับเก็บกดความโกรธกลั้นความโมโหไว้ เจียผิงเหอเห็นดังนั้นจึงถามออกไปว่า “ จะทำยังไง คุณหนูไป่ก็อยู่บ้านนายไม่ใช่เหรอ หรือนายจะกลับบ้านก่อน ” เจียผิงเหอแสดงความเป็นห่วงไป่เซ ได้ยินดังนั้นไป๋เจิ้นหลงก็หันมองเลขาของเขาทันทีแล้วเอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “ ฉันจะกลับได้ยังไงวันนี้มีประชุมกับประธานบริษัทจิวเวอร์รี่ของยุโรปเกี่ยวกับการวางแผนงานที่จะจัดขึ้น เป็นการร่วมมือกันระหว่างบริษัทในเครือของเรากับบริษัทชั้นนำจิวเวอร์รี่ระดับโลก ฉันไม่ให้เรื่องเล็กน้อยแค่นี้มาเป็นปัญหาหรอก ” “ ส่วนเรื่องไป่เซฉันเชื่อว่าผู้หญิงฉลาดอย่างเธอไม่ยอมให้ใครเอาเปรียบหรอก เผลอๆเธออาจจะอยู่แต่ในห้องของเธอ ” เจียผิงเหอผงกหัว แล้วเอ่ยเสียเบาว่า “ เช่นนั้นก็ดีครับ มันคือสิ่งที่ท่านประธานไป๋ควรทำ ” เมื่อได้ยินประโยคของเจียผิงเหอไป๋เจิ้นหลงก็หยุดเดินแล้วหันมองเจียผิงเหอด้วยสีหน้าเย็นชาของเขาสื่อความหมายออกมาเชิงถามประมาณว่า นายหมายความว่าไง เจียผิงหยุเดินมองไปยังใบหน้าแผ่นน้ำแข็งนั้นแล้วราวกับอ่านใบหน้าน้ำแข็งออกก็ยิ้มแล้วพูดออกไปว่า  “ เปล่าครับ ไม่มีอะไรไม่ได้เจตนาหมายความอย่างอื่นครับเชิญท่านประธานครับ ”  เจียผิงเหอพูดพร้อมกับผายมือออกไปเชิญให้ไป๋เจิ้นหลงเดินนำหน้าอย่างเคารพ เวลาอยู่ข้างนอกหรือต่อหน้าผู้คนเขาจะรู้หน้าที่ของเขาดี ก่อนจะก้าวเดินไป๋เจิ้นหลงก็พูดว่า “ คิดแบบนี้จริงๆก็ดี ” แล้วก็มุ่งไปยังห้องประชุมใหญ่ผู้ช่วยเลขาเตรียมเอกสารการประชุมไว้พร้อมพอไป๋เจิ้นหลงมาถึงการประชุมก็เริ่มดำเนินไปเรื่อยๆใช้เวลาไปหลายชั่วโมงในการหารือกันเกี่ยวกับงานที่จะจัดขึ้น แล้วมิสเตอร์จอร์นก็พูดถึงนางแบบที่เขาเลือกไว้ทั้ง4คนที่จะให้สวมใส่ขณะขึ้นแสดง ไป๋เจิ้นหลงเห็นเขาพูดถึงแผนงานแผนการตลาดพูดถึงนางแบบและการแสดงเขาเห็นด้วยอย่างยิ่งและพอใจกับโปรเจคใหญ่นี้ มิสเตอร์จอร์นกล่าวต่อไปว่า “ ในงานครั้งนี้ จะเป็นการเปิดโลกธุรกิจในเครือของบริษัทไป๋หลงกรุ๊ปให้เป็นที่รู้จักและโด่งดังไปทั่วโลก แขกที่มาร่วมงานเป็นแขกวีไอพีของทางยุโรป แอฟริกา และเอเชีย ดังนั้นต้องเน้นความอลังการเพื่อดึงดูดความสนใจของแขกวีไอพีแต่ละทวีปครับ ” จอร์นเป็นนักออกแบบชื่อดังของโลกอายุ30ปีเป็นชาวอเมริกามีรูปร่างสูงหล่อเหลาไร้ที่ติเป็นคนมีรสนิยม มักมีไอเดียแปลกใหม่เสมอและเป็นคนคุมงานในครั้งนี้ด้วยตนเองทั้งหมด ตั้งแต่บริษัทเขาเข้ามาร่วมกับแบรนด์ของบริษัทไป๋หลงกรุ๊ปในตลาดจริงเขาทุ่มเทงานนี้อย่างสุดฝีมือ นางแบบในใจของเขาก็หนีไม่พ้นเพื่อนของเขา จบการนำเสนอของเขาทางประธานบริษัทRAจิวเวอร์รี่ยุโรปของเขาชอบและใจอย่างมากไป๋เจิ้นหลงก็เห็นด้วยเช่นกันถือว่าเขาเป็นอัฉริยะด้านการออกแบบงาน ทุกคนต่างรอคอยงานที่จะจัดขึ้น หลังจากการนำเสนองานแต่ละส่วนทำข้อตกลงร่วมมือกันเสร็จสิ้นไป๋เจิ้นหลงก็กล่าวจบการประชุมแล้วจับมือกับท่านประธานบริษัทRAจิวเวอร์รี่และพาไปเลี้ยงข้าวเย็นเป็นการผูกมิตร ทั้งสีคนขึ้นรถคนขับมุ่งไปยังร้านอาหารที่ดังที่สุดในจีนทันที คฤหาสน์ตระกูลไป๋ ไป่เซอยู่แต่ในห้องทั้งวันทำงานที่ตนรับมาโดยไม่สนใจใครอื่นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบ้านตระกูลไป๋มีแขกถึงเวลาทานข้าวเย็นแม่บ้านมาเรียกลงไปทานข้าวเธอก็ปฏิเสธไปเธอทุ่มเทกับสิ่งที่เธอทำอยู่ตอนนี้เป็นอย่างมาก ชั้นล่างพ่อแม่ของไป๋เจิ้นหลงนั่งทานข้าวเย็นกับพ่อแม่ของอันอันและอันอันพอทานข้าวเสร็จอันอันก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “ คุณน้าข๋า เมื่อไหร่พี่เจิ้นหลงจะกลับมาคะ ” พ่อแม่ของอันอันรู้จักกับตระกูลไป๋นานหลายปีแล้วมาครั้งนี้เขามาเที่ยวและแวะมาเยี่ยมเยียนตระกูลไป๋ เมื่อได้ยินคำถามของอันอันคุณหญิงไป๋จึงตอบไปอย่างเอ็นดูว่า “ สงสัยวันนี้เขาจะยุ่งงานที่บริษัทมากเห็นว่ามีประชุมกับกลุ่มผู้นำบริษัทระดับโลกจ้า ” แม้อันอันจะรู้สึกผิดหวังแต่เมื่อได้ยินดังนั้นอันอันก็เผยรอยยิ้มและภูมิใจในไป๋เจิ้นหลงมากขึ้นความหลงไหลในตัวของไป๋เจิ้นหลงก็ทวีคูณไปอีกใบหน้าสะสวยของอันอันพ่อแม่ของไป๋เจิ้นหลงก็เอ็นดูไม่ใช่น้อย อันอันพยักหน้าตอบว่า  “ ค่ะ พี่เจิ้นหลงเก่งที่สุดเลยนะคะ ” เธอพูดออกไปอย่างภูมิใจและมีความสุขกับการได้รับความเอ็นดูจากพ่อแม่ของไป๋เจิ้นหลง ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายมองดูเขาแล้วยิ้มอย่างเอ็นดู  ไป่เซที่ทำงานของตนเองเสร็จก็เดินลงมาชั้นล่างทันใดนั้นสายตาของเธอกับสายตาของอันอันก็สบเข้าหากันดวงตากลมโตของเธอแสดงถึงความตกใจและความคาดไม่ถึง สมองของเธอทำงานเร็วมากภาพเหตุการณ์ในอดีตชาติปรากฎเข้ามาในหัวเธอเป็นฉากๆจนเธอรู้สึกปวดหัว เธอยืนแข็งทื่ออย่างตกตะลึงเผยให้ทุกคนเห็นอาการของเธอ พ่อแม่ของอันอันก็ตะลึงในความงามสดใสน่ารักมองไปยังดวงตากลมโตผิวขาวใสสะอาดสะอ้านเรียบเนียนของเธอจนทุกคนนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ไป่เซอุทานออกมาเบาๆว่า “ หลี่อัน! ” พ่อแม่ของไป๋เจิ้นหลงยิ้มอย่างภูมิใจเมื่อเห็นแขกของเขาตะลึงในความงามของลูกสาวบุญธรรม คุณหญิงไป๋เดินไปหาไป่เซแล้วพูดว่า  “ ลงมาแล้วเหรอลูก มานั่งข้างๆพ่อกับแม่ จะแนะนำหนูให้รู้จักกับเพื่อนของคุณพ่อ ”  พูดจบก็จูงมือไปเซไปนั่งข้างๆไป่เซตั้งสติแล้วยิ้มออกมารอยยิ้มนั้นทำให้ผู้ที่มองนั้นรู้สึกราวกับว่าโลกทั้งโลกนั้นสดใสมีชีวิตชีวา พ่อของไป๋เจิ้นหลงก็พูดขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มว่า “ นี่ อวี้เฟิ่ง ลูกสาวบุญธรรมของผมครับ ” ไป๋เหอหลงพ่อของไป๋เจิ้นหลงกล่าว ไป่เซยิ้มแล้วยกมือไหว้ พร้อมกับเอ่ยคำพูดออกไป “ สวัสดีค่ะคุณลุงคุณป้ายินดีที่รู้จักค่ะ ” ทั้งสองยิ้มอย่างตะลึงลืมตัวพอได้ยินคำพูดของไป่เซก็รีบดึงสติกลับมา “ สวัสดีจ้า/สวัสดีจ้า ” ทักตอบอย่างเอ็นดูจนเกือบลืมลูกตัวเองที่นั่งอยู่ข้างๆ  อันอันเกิดความความอิจฉาในหน้าตาและรูปร่างที่เพอร์เฟคของไป่เซแต่ใบหน้ายิ้มอย่างเป็นมิตรถ้ามองลึกเข้าไปในดวงตาจะเห็นความอิจฉาและความไม่พอใจซ่อนอยู่และเธอรู้สึกคุ้นๆหน้าไป่เซ ไป่เซเองก็จำเธอได้แม่นเพราะเคยชนกันตอนนั้น พ่อแม่ของอันอันก็ไม่ลืมที่จะแนะนำให้ทั้งสองรู้จักกัน อันอันและไป่เซทำความรู้จักกันแม้อันอันจะสวยเซ็กซี่สูงกว่าไป่เซแต่ก็สู้ไป่เซที่สวยน่ารักมีเสน่ห์น่าหลงไหลน่าดึงดูดผู้คนของเธอไม่ได้  พวกเขานั่งคุยกันในห้องรับแขกนานหลายชั่วโมงแต่ก็ไร้เงาของไป๋เจิ้นหลงจนถึงเวลาที่พ่อแม่เขาขอตัวกลับอันอันยังไม่อยากกลับเพราะต้องการพบกับไป๋เจิ้นหลง เธอรู้สึกว่าเหมือนกับไป๋เจิ้นหลงต้องการหลบหน้าเขาไม่ต้องการพบเขาเธอรู้สึกละอายใจและน้อยเนื้อต่ำใจ กลับออกไปอย่างไม่เต็มใจ หลังจากส่งแขกกลับไปแล้วก็เป็นเวลาหนึ่งทุ่มแล้วแต่ไป๋เจิ้นหลงก็ยังไม่กลับมาทำให้ผู้เป็นแม่ต้องกดโทรศัพท์โทรออกไป ไป๋เซเองเดินขึ้นไปชั้นบนไปยังห้องของตัวเองและครุ่นคิดไปด้วยเธอรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างแปลกๆไป : ทำไมไป๋เจิ้นหลงยังไม่กลับมา ไป๋เจิ้นหลงไม่ได้บอกว่าวันนี้มีนัดทานข้าวหรอกเหรอ หรือว่ากำลังหลบหน้าผู้หญิงของเขา : คิดได้ดังนี้ไป่เซก็ยกยิ้มที่มุมปากพร้อมส่งเสียงพึมพำออกมา “ ไป๋เจิ้นหลงนายนี้มันป๊อดจริงๆ ” พึมพำไปพร้อมกับส่ายหัวไปใบหน้าอันเรียวเล็กมีเสน่ห์เผยรอยยิ้มดูถูกคนเล็กน้อย จู่ๆโทรศัพท์เธอก็ดังขึ้นเมื่อมองดูเบอร์ที่โทรเข้ามาเธอก็เผยร้อยยิ้มอย่าจริงใจแล้วกดรับสายพูดภาษาอังกฤษออกไป “ ฮังโหล ” จากนั้นปลายสายก็ส่งเสียงออกมาอย่างสุภาพ นุ่มนวล “ ผมเองนะ เป็นยังไงบ้างสบายดีมั้ย ” “ สบายดีค่ะ คุณล่ะ ” “ สบายดีแต่ช่วงนี้งานยุ่งนิดหน่อย ได้ข่าวว่าคุณได้รับเลือกให้ขึ้นแสดงในงานเปิดตัวสินค้าเครื่องประดับจิวเวอร์รี่ของบริษัทRAจิวเวอร์รี่บริษัทไป๋หลงกรุ๊ปใช่มั้ยคับ ” ความจริงจอร์นรู้ก่อนแล้วเพราะเขาเป็นคนเลือกไป่เซเองเขาชื่นชมในความสามารถและพรสวรรค์ของไป่เซเอามากๆพวกเขาเจอกันเมื่อ3ปีก่อน  ตอนนั้นไป่เซยังเรียนมหาลัยอยู่ และเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมการแสดง ไป่เซไปเรียนบัลเล่ห์และได้เจอกับจอร์นโดยบังเอิญในมหาลัยที่ไป่เซไปเรียนหลังจากนั้นเขาก็อาสาเป็นที่ปรึกษาและทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีจนไป่เซจบคลาสเรียน เมื่อได้ยินคำถามของจอร์นไป่เซประหลาดใจเล็กน้อย เขารู้ได้ไง จากนั้นจึงตอบไปว่า “ ค่ะ คุณรู้ได้ไง ” เมื่อปลายสายรู้สึกว่าอีกฝ่ายเริ่มสงสัยก็พูดเพียงสั้นๆว่า “ เซอร์ไพรส์ ” แล้วยกยิ้มออกมา “ เซอร์ไพรส์ ” ไป่เซทวนคำพูดแววตาฉายความสงสัย สักพักสีหน้าเธอก็กลับมาปกติ เซอร์ไพรส์ก็เซอร์ไพรส์สิ  “ คุณไป่คุณทราบมั้ยตำแหน่งที่คุณได้รับเลือกสำคัญมากเลยนะสาวๆหลายคนอิจฉาคุณเอามากๆ ” ไป่เซเผยรอยยิ้มเหมือนกำลังคาดเดาอะไรได้แล้วพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า  “ ฉันไม่สนใจหรอกค่ะว่าสำคัญหรือไม่สำคัญแต่เมื่อได้รับเลือกแล้วแสดงว่าเขาก็ต้องมั่นใจในตัวฉันและฉันก็จะทำให้ดีที่สุดแค่นั้นค่ะ ” ปลายสายชอบความตรงไปตรงมาของไป่เซเพราะแบบนี้ไงเขาถึงเลือกไป่เซเวลาเธอทำงานเธอจริงจังและทำออกมาได้ดีมากๆไม่ทำคนผิดหวังดังนั้นการแสดงบัลเล่ห์ครั้งนี้เขาจึงเลือกให้เธอเป็นตัวเอก ไม่ใช่เลือกเพราะหน้าตาแต่เขาเคยเห็นเธอแสดงมาก่อน “ ผมทราบมาว่างานนี้เป็นความร่วมมือของสองบริษัทยักษ์ใหญ่ของทั้งสองทวีปเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ของสองบริษัทในการร่วมธุรกิจ ” “ อันนี้ฉันไม่ทราบค่ะดูเหมือนคุณจะรู้รายละเอียดภายในเยอะจังเลยนะคะ ” “ คุณอย่าลืมสิผมเป็นคนที่ไหน เรื่องเกี่ยวกับคุณผมต้องทราบรายละเอียดหน่อย ” ไป่เซ “………….” เมื่อจอร์นพูดออกไปแบบนี้ไป่เซนิ่งเงียบไปเธอรู้สึกได้ถึงความคลุมเครือบางอย่างแต่เธอใช่ว่าจะสนใจ พอเห็นอีกฝ่ายเงียบจอร์นเลยยิ้มเพราะเขาตั้งใจพูดแบบนั้นแสดงให้ไป่เซรู้ว่าเธอสำคัญสำหรับเขา ความจริงเขาจะจีบเธอมานานแล้วแต่ไม่มีโอกาสยิ่งเธอกลับมาไทยเขายิ่งไม่ได้คุยกันเพราะจอร์นไม่ค่อยว่างนานๆทีได้คุยกัน “ คุณรู้มั้ยคุณเป็นตัวแทนความสัมพันธ์ของสองประเทศเชียวนะ ผมจะรอดูการแสดงของคุณ ” เมื่อได้ยินดังนั้นไป่เซเลิกคิ้วด้วยความสงสัยอีกครั้ง : รอดูฉันงั้นเหรอ คุณจอร์นคุณพูดราวกับว่าคุณมีส่วนเกี่ยวข้องกับงานนี้ดูท่าคุณจะไม่ใช่เจ้าบ้านธรรมดาที่ฉันเคยรู้จักซะแล้ว ความลึกลับของคุณช่างน่าสนใจจริงๆ : จากนั้นเธอจึงตอบไปว่า “ ค่ะ ขอบคุณนะคะที่ให้ข้อมูลเพิ่ม ” ปลายสายตอบกลับอย่างสุภาพว่า “ ไม่เป็นไรครับ ยินดี ” “ คุณจอร์นคะถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอวางสายก่อนนะคะพอดีมีธุระค่ะ ” “ ครับ ” พูดจบทั้งสองก็วางสาย จอร์นรู้ว่าธุระของไป่เซเป็นเรื่องอื่นไปไม่ได้นอกจากซ้อม จอร์นยกยิ้มที่มุมปากอย่างมีเสน่ห์ ดวงตาสีฟ้า ผมสีทองใบหน้าเพอร์เฟครูปร่างสูงใหญ่สง่างาม ราวกับเจ้าชายในดิสนีย์ ขณะที่คุยโทรศัพท์ไปเซไม่รู้ตัวเลยว่าด้านนอกมีคนแอบฟังอยู่หลังจบสนทนาคนนั้นก็เปิดประตูเข้าไปใบหน้าไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ : ผู้หญิงคนนี้แอบคุยกับผู้ชายคนอื่นอย่างงั้นเหรอ ใครอนุญาต : เมื่อไป่เซเห็นคนที่เปิดประตูเข้ามาก็ตกใจเล็กน้อยมองไปยังใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติแต่ดูสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ในเวลานี้ “ ไป๋เจิ้นหลง ! คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ” ไป๋เจิ้นหลงแสยะยิ้ม “ หึ ทำไมตกใจเหรอ หรือมีความลับอะไรปิดบังผม ” ไป่เซเห็นสถานการณ์เริ่มไม่ดีจึงเผยรอยยิ้มบางๆพร้อมกับพูดว่า “ ฉันจะมีอะไรปิดบังคุณได้ยังไง เพราะฉันไม่มีอะไรจำเป็นต้องบอกคุณ ” เมื่อได้ยินเธอพูดไป๋เจิ้นหลงยิ่งทวีความโกรธ  “ คุณหมายความว่ายังไง ” ให้ตายสิผู้หญิงคนนี้กำลังยั่วโมโหเขาอยู่ “ หมายความอย่างนั้นล่ะค่ะ ” พูดจบไป่เซก็ไม่สนใจอะไรอีกต่อไป เธอโล่งอกโล่งใจที่หน้าจอโน๊ตบู๊คดับไปแล้ว  ไป๋เจิ้นหลงเห็นท่าทางไม่สนใจใบหน้าเฉยเมยราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไรของเธอก็ยิ่งโกรธเพิ่มมากขึ้นแล้วก้าวเข้าไปหาไป่เซอย่างรวดเร็วไป่เซเองถอยหลังไปตามสัญชาตญาณ เกิดความตื่นตระหนกเล็กน้อยหัวใจเต้นแรงแล้วมองไปยังดวงตาของคนที่เข้ามาใกล้ แต่เธอก็ยังคงนิ่งไม่แสดงอะไรออกมาบนใบหน้า “ คุณจะทำอะไร ” “ ทำอะไรงั้นเหรอ คุณไม่รู้จริงๆหรือคุณแกล้งโง่ ” ไป่เซคิดว่าบางสถานการณ์ก็ต้องแกล้งโง่ถึงจะดีที่สุด ในตอนนี้ไป๋เจิ้นหลงจ้องเขาราวกับจะกลืนกินเขาในทันทีจะบอกว่าไม่กลัวก็คงไม่ใช่แม้เธอจะมีลมปรานแต่จะใช้มั่วซั่วก็ไม่ได้เพราะนี่คือศัตวรรษที่21 ดังนั้นใช้ได้เฉพาะเกิดเหตุฉุกเฉินเท่านั้น  เธอจ้องไปยังไป๋เจิ้นหลงไม่แสดงความเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อยพร้อมเอ่ยเสียงที่ไม่ดังเกิน “ ฉันแกล้งโง่แล้วทำไม คุณไม่มีสิทธ์ที่จะทำอะไรตามใจ คุณเป็นบ้าหรือไงเมื่อเช้ายังดีๆอยู่ ” พอพูดถึงตรงนี้เธอรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย “ ใช่ผมเป็นบ้า บ้าเพราะคุณ คุณบอกผมมาคุณมีอะไรปิดบังผม แล้วคุณคุยอยู่กับใคร ” ไป่เซขี้เกียจที่ต้องมาทะเลาะกับไป๋เจิ้นหลงเพราะมันทำให้เธอเสียเวลาทำอย่างอื่น “ โอเค ฉันจะบอกคุณ ฉันไม่มีอะไรปิดบังคุณ เมื่อกี้ฉันคุยกับเพื่อน พอใจหรือยัง ” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเหมือนความโกรธของไป๋เจิ้นหลงจะลดลงเล็กน้อยแต่แววตายังคงความน่ากลัวอยู่ “ คุณจำเป็นต้องรู้และจดจำผลของการยั่วโมโหผม ” เมื่อได้ยินดังนั้นไป่เซก็ไม่พอใจขึ้นมาทันทีจ้องเขม็งไปทางเขาใบหน้าเรียวเล็กเมื่อโกรธมันช่างดูน่ารักละมุนฮอร์โมนเพศชายในกายของไป๋เจิ้นหลงราวกับถูกใบหน้าอันงดงามนั้นกระตุ้นให้ตื่นขึ้นมา : บ้าจริงผู้หญิงคนนี้นี่ : จากนั้นไป๋เจิ้นหลงก็ถามไป่เซราวกับเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ “ เพื่อนที่คุย ผู้หญิงหรือผู้ชาย คุยเรื่องอะไร ” เมื่อได้ยินคำถามนี้ไป่เซถึงกับต้องมองบนทีหนึ่ง แต่ก็ต้องตอบคำถามเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับคนตรงหน้า แต่เธอไม่โง่ที่จะพูดความจริงทั้งหมด “ ผู้หญิง เธออยู่ต่างประเทศคุยกันเรื่องงาน พอใจรึยัง ” ไป๋เจิ้นหลงจ้องมองเธอเพื่อจับจุดผิดปกติแต่ไป่เซก็ไม่เผยอะไรออกมาทางสีหน้าแม้เธอจะรู้สึกตื่นเต้นเวลาโกหกก็ตาม “ คุณควรจำไว้นะคุณมีสถานะเป็นน้องสาวผม อีกสถานะหนึ่งคือผู้หญิงของผม อนาคตคุณจะต้องเป็นว่าที่ภรรยาผม คุณไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธไม่มีสิทธิ์คุยกับคนอื่นฉันชู้สาว เพราะคุณคือ คนที่ผมเลือกแล้ว อย่าทำให้คุณปู่ผิดหวัง ”  ไป๋เจิ้นหลงพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ เอาแต่ใจและเผด็จการ ทำให้คนฟังรู้สึกไม่พอใจ ตั้งแต่เจอกับไป๋เจิ้นหลงเธอรู้สึกเหมือนความสงบสุขในชีวิตได้หายไปเลย “ คุณหมายความว่าไง เกี่ยวอะไรกับคุณปู่ ” ไป๋เจิ้นหลงยิ้มมุมปากอย่างพอใจและเจ้าเล่ห์  “ หมายความอย่างนั้นแหละ พ่อแม่ผมอยากอุ้มหลานแล้วคุณปู่ก็อยากอุ้มเหลนเช่นกัน ”  ไป่เซโกรธจนพูดไม่เป็นเธอรู้สึกราวกับถูกอีกฝ่ายยั่วโมโหเฉยๆคิดได้ดังนี้อยู่ๆก็ปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วไป๋เจิ้นหลงที่ยิ้มอยู่ก็ชะงักไป  : ผู้หญิงคนนี้เป็นนักแสดงงิ้วเปลี่ยนหน้าหรือไง ถึงได้ปรับเปลี่ยนสีหน้าเร็วขนาดนี้ ฉันล่ะยอมรับเธอจริงๆ : “ แล้วแต่คุณเอาที่คุณสบายใจ  ”  “ อืม งั้นคุณไปแต่งตัว เราจะไปทานข้าวบ้านเจียผิงเหอ ผมให้เวลาคุณ20นาทีถ้ายังไม่ออกมาผมจะเข้ามาทันที  ” “ รู้แล้ว ” ไปเซไม่ชอบใจกับการวางอำนาจบาตรใหญ่ของไป๋เจิ้นหลงแต่ก็ไม่อยากจะใส่ใจแล้ว จากนั้นไป๋เจิ้นหลงก็เดินออกจากห้องไป ทั้งคู่ก็ต่างไปเตรียมตัวออกไปข้างนอกด้วยกัน เมื่ออกมาโทรศัพท์ของไป๋เจิ้นหลงก็ดังขึ้น เมื่อเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามาก็กดรับอย่างสบายใจ “ ฮัลโหล ” จากนั้นปลายสายก็ส่งเสียงออกมาอย่างอ่อนโยน “ พี่เจิ้นหลงออกมาหรือยังคะ ” “ กำลังจะออกไป มีอะไรหรือเปล่า ” “ ไม่มีค่ะ พี่ไม่ต้องรีบนะคะค่อยขับรถมา อย่าขับเร็วล่ะ ” เจียผิงเฟยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแสดงความเป็นห่วงทำให้คนฟังรู้สึกสบายใจ เขารู้จักนิสัยไป๋เจิ้นหลงดีว่าเป็นคนชอบขับรถเร็ว “ จะออกไปแล้วไม่ต้องห่วงพี่ไม่ขับเร็วเหมือนเมื่อก่อนแล้วสบายใจได้ ” ไป๋เจิ้นหลงพูด ได้ยินดังนั้นหญิงสาวตอบกลับอย่างเชื่อฟัง “ ค่ะ จะรอนะคะ ”  หลังจบบทสนทนาวางสายไปหญิงสาวรู้สึกหน้าแดงตื่นเต้นมีความสุขเอามากๆเฝ้ารอการมาของไป๋เจิ้นหลง ส่วนไปเจิ้นหลงก็กลับเข้าห้องเขาไป  เมื่อพูดถึงเรื่องขับรถเร็วตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นวันนั้นที่ไป่เซกลัวจนแทบเสียสติเขาก็ไม่ขับรถเร็วอีกเลยแม้จะขับคนเดียวก็ตาม สักพักไป่เซและไป๋เจิ้นหลงก็ออกมาเดินลงไปชั้นล่างแล้วขึ้นรถออกไป
已经是最新一章了
加载中