บทที่6 การเผชิญหน้าบนเครื่องบิน
1/
บทที่6 การเผชิญหน้าบนเครื่องบิน
แดดดี้สายเปย์ ลูกแฝดสุดน่ารัก
(
)
已经是第一章了
บทที่6 การเผชิญหน้าบนเครื่องบิน
บทที่6 การเผชิญหน้าบนเครื่องบิน ผ่านไปสี่ปี เครื่องบินกำลังบินอยู่เหนือก้อนเมฆอย่างสงบนิ่ง แต่เด็กชายตัวน้อยที่กำลังนั่งอยู่บนที่นั่งชั้นเฟิร์สคลาสกลับมีท่าทีไม่สงบอยู่บ้าง “ป่าปี๊” เด็กชายเอ่ยปากเรียกชายหนุ่มที่กำลังหลับอยู่ด้านข้างด้วยท่าทีลังเล “ป่าปี๊” เห็นชายหนุ่มไม่มีท่าทีตอบกลับ ครั้งนี้เด็กชายจึงค่อยยกมือนุ่มนิ่มของเขาขึ้นไปผลักชายหนุ่มเบาๆ “อืม” ชายหนุ่มตื่นขึ้น “มีอะไร?”น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความนิ่งสงบแต่กลับไม่มีความรู้สึกอ่อนโยน “ป่าปี๊ ผมอยากไปห้องน้ำ” เด็กชายเอ่ยด้วยความเขินอายเล็กน้อย เฉียวซู่นเฉินเหลือบมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านข้างอีกฝั่งของเด็กชาย เห็นเธอกำลังหลับอยู่เช่นกัน ดังนั้นจึงค่อยลุกขึ้นพาเด็กชายตัวน้อยไปยังห้องน้ำ เด็กชายราวกับว่ารู้จักพึ่งพาตนเองเป็นอย่างยิ่ง สามารถเข้าห้องน้ำเพียงคนเดียวได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่เฉียวซู่นเฉินนั้นรออยู่ด้านนอก แถวแรกของชั้นประหยัด เด็กหญิงอายุราวสี่ห้าขวบกำลังนั่งอยู่ข้างๆหน้าต่าง สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยขณะที่มองออกไปยังหมู่เมฆที่ไม่รู้จบด้านนอก “หม่ามี๊ เมฆพวกนั้นสวยจังเลย” ผิวพรรณของเด็กสาวนั้นนุ่มนิ่มขาวละออราวกับสามารถแตกสลายได้ ใบหน้าเล็กๆราวกับไข่ห่าน ดวงตาคู่นั้นกลมโตเป็นประกายสว่างไสว จมูกโด่ง ริมฝีปากเล็กๆเมื่อหัวเราะขึ้นมาก็จะเห็นลักยิ้มทั้งสองข้างที่ชวนให้คนรักและหลงใหล เด็กสาวมีผมหน้าม้าเป็นระเบียบด้านหน้าในขณะที่ผมด้านหลังถูกมัดเป็นหางม้าเล็กๆ บนตัวใส่ชุดกระโปรงผ้าฝ้ายสีขาว มองแล้วดูสะอาดสะอ้านน่าเอ็นดู “อืม สวยมาก” ฉินจิ้งเวินมองตามที่นิ้วมือของลูกสาวชี้ แน่นอนว่าวิวข้างนอกนั้นสวยงามอย่างยิ่ง “หม่ามี๊ เมฆที่เราเป็นจากบนพื้นล้วนแต่กำลังเคลื่อนไหว ทำไมเมฆตรงนี้ถึงไม่เคลื่อนไหวเลยหล่ะคะ?” เด็กหญิงตัวน้อยเอ่ยถามขึ้นมาเบาๆด้วยความสงสัย “ไม่ใช่ว่ามันไม่เคลื่อนไหว เพียงแค่เราดูไม่ออกเท่านั้น เมฆนั้นลอยไปตามลมอยู่เสมอ” น้ำเสียงอ่อนโยนไพเราะของฉินจิ้งเวินดังเข้าไปยังหูของเฉียวซู่นเฉินที่กำลังยืนรออยู่ด้านนอกของห้องน้ำ น้ำเสียงนี้.... เฉียวซู่นเฉินขมวดคิ้ว ก่อนจะหันศีรษะไปยังต้นทางของเสียง “หม่ามี๊ หนูไม่เห็นลมเลยนี่คะ ลมอยู่ไหนกัน ใช่กลับบ้านไปนอนกลางวันแล้วรึเปล่าคะ?” ใบหน้าของเด็กหญิงนั้นช่างไร้เดียงสา “ใช่เลย ป้านเย่ฉลาดที่สุด สายลมเหนื่อยแล้วก็เลยกลับบ้านไปพักผ่อนจ้ะ” ใบหน้าของฉินจิ้งเวินอมยิ้มและเต็มไปด้วยความรัก บนโลกใบนี้เด็กถึงเป็นผ้าขาวที่สุด “หม่ามี๊ พี่ชายตรงนั้นกำลังมองดูเราอยู่” ป้านเย่หันกลับไปอย่างกะทันหัน และยื่นนิ้วไปที่ผู้ชายหนึ่งเล็กหนึ่งใหญ่ที่กำลังยืนอยู่ด้านหน้าประตูห้องน้ำ ฉินจิ้งเวินหันไปมองตามทิศทางที่ป้านเย่ชี้นิ้วไป พอดีกับที่ชายหนุ่มทั้งสองกำลังสบตากันอยู่พอดี ผู้ชายคนนี้เธอไม่รู้จัก แต่กลับทำให้คนรู้สึกได้ถึงความเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง แต่เด็กชายตัวน้อยข้างกายเขากลับดูน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง ดวงตาโตๆของเด็กชายนั้นดูฉลาดเฉลียวแฝงด้วยความขี้อาย จมูกสูงโด่ง คิ้วเฉียงดำสนิท อีกทั้งขนตายังยาวงอน บนศีรษะสวมหมวกกันหนาวสีเทาอมฟ้าเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถปกปิดผมดำสนิทลงได้ ฉินจิ้งเวินเงยหน้าไปมองดูชายหนุ่มที่อยู่ข้างเด็กน้อย หน้าตาช่างคล้ายกันอย่างไม่ผิดเพี้ยน ฉินจิ้งเวินยิ้มน้อยๆให้กับเด็กชาย และโบกมือให้เขาอย่างเป็นมิตร “ป่าปี๊ ผมไปเล่นกับน้องสาวตรงนั้นได้ไหม?” เด็กชายเงยหน้าขึ้นถามด้วยความคาดหวัง “เครื่องบินยังบินอยู่ พวกเรากลับไปนั่งที่” ชายหนุ่มจับมือของเด็กชายขึ้นมาและตั้งท่าจะเดินไป “ป่าปี๊ หม่ามี๊กำลังนอนกลับ ผมกลับไปก็จะปลุกเธอตื่น ผมอยู่เล่นกับน้องสาวที่นี่สักแป๊ปนึง พอหม่ามี๊ตื่นแล้วผมจะกลับไป” เด็กชายด้านหนึ่งเอ่ยขอร้อง อีกด้านหนึ่งก็เดินถอยหลังไป “คุณอา ให้พี่ชายอยู่เล่นกับหนูสักครู่นึงนะคะ” น้ำเสียงของป้านเย่อ่อนหวานนุ่มนิ่ม ทำให้คนฟังแล้วไม่มีแรงจะปฏิเสธได้ “....” เฉียวซู่นเฉินนิ่งเงียบ คิดอยากจะปฏิเสธ แต่กลับถูกเด็กหญิงตัวน้อยตรงหน้าทำลายความสามารถทางความคิดลง “คุณผู้ชาย ให้เด็กเล่นอยู่ที่นี่สักครู่เถอะค่ะ” ฉินจิ้งเวินเห็นว่าเด็กชายคล้ายกับตัดใจไม่ลงอยู่บ้าง จึงเอ่ยปากขอร้องแทนเขา สีหน้าของเฉียวซู่นเฉิน เคร่งเครียดของแต่ก็ไม่อยากทำให้เด็กน้อยต้องอับอายในที่สาธารณะ ดังนั้นจึงได้แต่ประนีประนอมชั่วคราว “นายอยู่ที่นี่คนเดียว เดี๋ยวอีกสักครู่ฉันจะมารับ” “ขอบคุณป่าปี๊” เด็กชายเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและวิ่งเข้ามาด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า ในขณะที่เฉียวซู่นเฉินเหลือบมองอย่างเฉยเมยก่อนจะหันกลับไปนั่งยังที่นั่ง “สวัสดีพี่ชาย หนูชื่อฉินซี คนในบ้านเรียกหนูว่าป้านเย่ ” ท่าทางของฉินซีนั้นร่าเริงอย่างยิ่งและเอ่ยปากทักทายก่อน “สวัสดีป้านเย่ ฉันชื่อเฉียวจือซวน คนในบ้านเรียกว่า ซวนซวน” เด็กชายนั่งลงตรงที่ว่างตรงกลาง หลังจากทักทายกับป้านเย่อย่างเบิกบาน จึงหันหน้ากลับมาทักทายฉินจิ้งเวินด้วยท่าทางมีมารยาท “สวัสดีครับคุณน้า คุณน้าเรียกผมซวนซวนก็พอ” “สวัสดีจ้ะซวนซวน ซวนซวนเด็กดี” ฉินจิ้งเวินมองดูเด็กชายตรงหน้าอย่างละเอียดอีกครั้ง บนตัวสวมใส่กางเกงยีน รองเท้าผ้าใบ มองดูแล้วธรรมดา แต่หากสังเกตดีๆล้วนแล้วแต่เป็นของแบรนด์เนมทั้งสิ้นสายตาของฉินจิ้งเวินตกลงไปที่แขนซ้ายเล็กๆของเด็กชาย พอเห็นว่าเขามีเสื้อคลุมแขนยาวคลุมเอาไว้ ในใจก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมา เด็กทั้งสองเข้ากันได้ดีเป็นอย่างยิ่ง เดี๋ยวพูดคุยเดี๋ยวหัวเราะไปราวกับมีแค่โลกของพวกเขาเท่านั้นมีจะเข้าใจ ฉินจิ้งเวิน ที่อยู่ด้านหนึ่งคอยจับตาดูเด็กชายอยู่ตลอดเวลา สายตาของเธอราวกับไม่อยากมองออกไปทางอื่น ในที่สุดชายหนุ่มก็มาตามตัวเด็กชายไป จนกระทั่งลงจากเครื่องบินก็ไม่ได้เจอกันอีก เครื่องบินลงจอดอย่างสงบ ได้สูดอากาศของเมืองนี้อีกครั้งหลังจากสี่ปีผ่านไป ฉินจิ้งเวินมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถเอ่ยอธิบายออกมาได้ผุดขึ้นมา เธอรู้สึกแค่ว่าในใจยังคงรู้สึกเจ็บปวด เธอกลับมาแล้ว หลังจากห่างไปสี่ปีในที่สุดเธอก็กลับมายังเมืองที่เธอเติบโต บนทางด่วนของสนามบิน ฉินจิ้งเวินมองออกไปด้านนอกกระจกรถตาไม่กะพริบและจมอยู่กับความคิดอย่างหนัก ที่นี่ เป็นที่นี่ ที่ที่พ่อของเธอจากไป “ตันนี พาฉันไปที่สุสานก่อนเถอะ สี่ปีแล้ว ฉันควรไปดูพ่อและแม่” ฉินจิ้งเวินเอ่ยด้วยความรู้สึกหดหู่ “อืม รู้อยู่แล้วว่าเธอต้องไปทำความสะอาดที่ สุสานก่อน ฉันเตรียมดอกไม้มาให้เธอเรียบร้อยแล้ว” ถังตันนี เพื่อนสนิทของฉินจิ้งเวิน เป็นเพื่อนที่เธอสนิทที่สุด ทั้งคู่เป็นเพื่อนร่วมชั้นสมัยมหาลัย ฉินจิ้งเวิน จากไปเป็นเวลาสี่ปี นี่เป็นครั้งแรกในรอบสี่ปีที่พวกเธอได้เจอกัน “ตันนี ไม่กี่ปีมานี้ล้วนเป็นเธอที่ช่วยทำความสะอาดที่สุสานแทนฉัน ฉันขอบคุณเธอมากจริงๆ” “อย่ามาเกรงอกเกรงใจกับฉัน หากเธอยังขอบคุณอยู่อีก ฉันจะทิ้งเธอไว้บนถนน” ถังตันนีเอ่ยหยอกล้อ “คุณน้าตันนี หนูเชื่อฟัง อย่าทิ้งหนูเอาไว้ข้างทางนะคะ” ป้านเย่คล้ายกลับกลัวอยู่บ้าง จึงรีบเอ่ยประจบถังตันนี เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่เธอเจอกับคุณน้าคนสวยตรงหน้าดังนั้นเธอจึงยังไม่ได้เข้าใจมากนัก คิดว่าเธอกำลังจะทิ้งตนเองกับหม่ามี๊ไว้ข้างทางจริงๆ ช่างน่ากลัวเสียจริง “อุ้ย หนูน้อยคนสวยของเรากำลังกลัวหรือ? วางใจเถอะจ้ะ น้าจะทำใจทิ้งหนูลงได้ยังไง” ถังตันนีด้านหนึ่งขับรถส่วนอีกด้านหนึ่งเอ่ยหัวเราะหยอกเย้า เด็กที่น่ารักเชื่อฟังเช่นนี้ เธอก็อยากมีบ้างสักคน “หม่ามี๊ คุณน้าไม่ทิ้งพวกเราไว้แน่ค่ะ คุณน้าล้อเล่นกับหนู” ในที่สุดป้านเย่ก็ยิ้มอย่างวางใจลง “อื้ม คุณน้ากำลังล้อเล่น คุณน้าเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของหม่ามี๊ จะทำใจทิ้งหม่ามี๊ลงได้ยังไง ป้านเย่ หม่ามี๊จะพาหนูไปเจอกับคุณตาคุณยาย” เอ่ยถึงพ่อและแม่ รอยยิ้มบนหน้าของฉินจิ้งเวินก็ถูกเก็บลง หากคุณพ่อและคุณแม่ยังอยู่ หากพวกท่านสามารถอยู่เป็นเพื่อนป้านเย่จนเติบโต เช่นนั้นคงมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง “หม่ามี๊ คุณตาคุณยายจะชอบหนูไหมคะ?” ป้านเย่เอ่ยถามขึ้นอีกครั้งอย่างเป็นกังวล? “ชอบแน่นอนจ้ะ พวกท่านจะต้องชอบหนูอย่างแน่นอน” พอมาถึงหน้าสุสานของพ่อและแม่ น้ำตาของฉินจิ้งเวินก็ไหลลงมาอย่างอดไม่อยู่ สี่ปีก่อนหน้านี้ราวกับสายน้ำพลัดผ่านไป ฉินจิ้งเวินวางดอกไม้ลงหน้าสุสานทั้งน้ำตา เธอคุกเข่าลงบนพื้น มองดูรูปของพ่อและแม่บนสุสาน ก่อนจะสะอื้นไห้ “คุณพ่อ คุณแม่ หนูกลับมาแล้ว” “คุณป้าและจิ้งหยีล้วนสบายดี พ่อและแม่ไม่ต้องเป็นกังวล” พ่อแม่จู่ๆก็จากไป ทำให้ฉินจิ้งเวินต้องแบกรับเรื่องราวมากมาย “หม่ามี๊ อย่าร้องไห้” มือเล็กอุ่นยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้ฉินจิ้งเวินอย่างเบาๆ ทำให้ฉินจิ้งเวินหาความอบอุ่นกลับคืนมาได้บ้าง “หม่ามี๊คิดถึงคุณตาคุณยาย ป้านเย่ คนทั้งสองบนรูปภาพก็คือคุณตาคุณยาย ทักทายท่านหน่อยสิจ๊ะ” “สวัสดีค่ะคุณตา คุณยาย หนูชื่อป้านเย่” ป้านเย่เอ่ยทักทาย ก่อนจะคำนับให้อย่างรู้จักมารยาทดียิ่ง
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
บทที่6 การเผชิญหน้าบนเครื่องบิน
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A