บทที่10 บนเตียงเพิ่มมาอีกหนึ่งคน   1/    
已经是第一章了
บทที่10 บนเตียงเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
บทที่10 บนเตียงเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ตอนกลางคืน ห้องของโรงแรมที่จองเอาไว้ส่วนตัวนั้นเต็มไปด้วยความครึกครื้นและมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ ทุกคนล้วนดื่มและพูดคุยต้อนรับการมาของฉินจิ้งเวิน ฉินจิ้งเวินรู้สึกเบิกบานใจอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้ดื่มเยอะแต่อย่างใด เธอนั้นเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวแถมยังมีลูกต้องดูแล ดื่มเยอะไปออกจะไม่สะดวกอยู่บ้าง “ขอดื่มให้กับผู้ตรวจการใหญ่ฉินสักแก้ว หวังว่าหลังจากนี้เราจะร่วมงานกันดียิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ” ผู้อำนวยการเห่า เมาแล้วเล็กน้อย และจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่านี่เป็นแก้วที่เท่าไหร่ที่เขาเอ่ยเช่นนี้ “วางใจเถอะค่ะผู้อำนวยการเห่า การร่วมงานครั้งนี้จะต้องราบรื่นแน่” ฉินจิ้งเวินเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม และไม่รู้ว่าเธอตอบกลับแบบนี้ไปแล้วกี่ครั้งเช่นกัน “พี่สาวฉิน ฉันก็ขอดื่มให้คุณแก้วนึง ฉันจะต้องเรียนรู้จากคุณให้มากๆ คุณคอยช่วยเหลือฉันด้วย ฉันก็อยากเป็นวิศวกรที่สง่างามอย่างเช่นพี่สาวฉินเช่นกัน” คนที่กำลังเอ่ยพร้อมรอยยิ้มกว้างคือคนที่ตระกูลเฉียวจัดให้มาเป็นผู้ช่วยของเธอเซ่เหมียว เธอเพิ่งเรียบจบปริญญาตรี อายุยังน้อย แต่ในใจนับว่ามีความทะเยอะทะยาน “ไม่มีปัญหา ขอแค่เธอขยันจะต้องล้ำหน้าฉันไปไกลแน่นอน” ในสายตาของฉินจิ้งเวิน ผู้ช่วยตัวน้อยนี้เปรียบเสมือนน้องสาวของเธอ ฉินจิ้งเวินพูดจบ ก็ได้ยินคนเอ่ยขึ้น “ท่านประธานเฉียว ท่านประธานเฉียวมาแล้ว!” ทุกคนหันไปมองยังประตู ด้วยท่าทางตื่นเต้นประหลาดใจ ฉินจิ้งเวินก็หันกลับไปมองเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าเฉียวซู่นเฉินจะมาจริงๆ ทำเอาเธอรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง”” “ท่านประธานเฉียว” คนที่มีปฏิกิริยาตอบสนองคนสุดท้ายก็คือผู้อำนวยการเห่า เขารีบลุกขึ้นยืนอย่างร้อนรน สีหน้าของเฉียวซู่นเฉินไม่ได้มีท่าทีโมโหแต่อย่างใด แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งท่าทีเคร่งขรึม ทำให้ทุกคนต้องรีบเก็บอารมณ์และสีหน้ากลับมา เฉียวซู่นเฉินนั่งลงอย่างเป็นธรรมชาติ และฉินจิ้งเวินก็อยู่ข้างๆเขา หันไปเหลือบมองดูสีหน้าอมชมพูจางๆของฉินจิ้งเวิน เฉียวซู่นเฉินก็เอ่ยปากขึ้น “ทุกคนนั่งเถอะ วันนี้ฉันมาเป็นตัวแทนแสดงความยินดีกับการมาของผู้ตรวจการใหญ่ฉิน” “ท่านประธานเฉียวผมขออนุญาตตัดบทสักเล็กน้อย เมื่อกี้ผู้ตรวจการใหญ่ฉินบอกแล้ว ว่าตอนที่ไม่ได้อยู่ในบริษัทให้เรียกเธอว่าเวินเวิน คุณเรียกเธอว่าเวินเวินก็พอครับ” ผู้อำนวยการเห่าเอ่ยสอดขึ้นมา แน่นอนว่าเขานั้นเมาแล้ว หากเป็นตอนที่ได้สติดี เขาคงไม่มีความกล้าที่ไหนไปตัดบทเฉียวซู่นเฉินแน่ แต่เฉียวซู่นเฉินกลับไม่ได้โมโหอะไร เพียงแต่เอ่ยเสียงต่ำเรียบ “เวินเวิน” “ท่านประธานเฉียว ขอบคุณที่มาค่ะ คิดไม่ถึงว่าแค่พนักงานตัวเล็กๆคนหนึ่งจะได้รับเกียรติขนาดนี้ เป็นเกียรติ ของฉันจริงๆ” ฉินจิ้งเวินเอ่ยพูดเสียงเรียบ ได้รับบทเรียนไปเมื่อคราวที่แล้ว เธอจึงระมัดระวังตัวเป็นพิเศษเกรงว่าจะทำให้คนเข้าใจผิดว่าเธอมีเล่ห์เหลี่ยม “อย่างนั้นก็ดื่มสักแก้ว” ในขณะที่เฉียวซู่นเฉิน เอ่ยพูด ผู้ช่วยด้านข้างก็รินเหล้าเตรียมไว้แล้วเรียบร้อย “ฉัน ท่านประธานเฉียว....” ฉินจิ้งเวินคิดจะปฏิเสธ แต่กลับถูกผู้อำนวยการเห่าตัดบทขึ้นมาอีกครั้ง “ผู้ตรวจการใหญ่ฉิน เหล้าของพวกเราไม่ดื่มได้ แต่เหล้าของท่านประธานเฉียว คุณต้องดื่มนะ แต่ไหนแต่ไรท่านไม่เคยดื่มให้ใครมาก่อน” ผู้อำนวยการเห่าเอ่ยขนาดนี้ ฉินจิ้งเวินก็ปฏิเสธไม่ได้แล้ว “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นฉันดื่มสักแก้วแล้วกันค่ะ” หลังจากนั้นคำว่าสักแก้วนี้ก็ไม่เคยได้หยุดลง แก้วต่อแก้ว ฉินจิ้งเวินที่แต่เดิมคอไม่แข็ง ใบหน้าเล็กๆแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อขึ้นมา ลักยิ้มทั้งสองข้างกดลึกขึ้น มองดูใบหน้าที่ทำให้คนหลงใหลได้ง่ายของฉินจิ้งเวิน ชั่วขณะหนึ่งสติของเฉียวซู่นเฉินก็หลุดหายไป สุดท้ายฉินจิ้งเวิน ก็ดื่มจนเมา และถูกส่งกลับบ้าน เฉียวซู่นเฉินประคองฉินจิ้งเวินเอาไว้ ก่อนจะควานหากุญแจบ้านในกระเป๋าของเธอ และเปิดประตูเข้าไป “หม่ามี๊” “เวินเวิน เธอกลับมาแล้ว....” ได้ยินเสียงเปิดประตู ถังตันนีและป้านเย่ก็เดินเข้ามารับ และค่อยค้นพบว่าฉินจิ้งเวินกำลังอิงแอบอยู่ในอ้อมอกของชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่ง “เป็นอะไรไป? ดื่มเยอะไปงั้นหรือ?” ถังตันนีไม่สนใจชายหนุ่ม เธอรีบเข้าไปประคองฉินจิ้งเวินเอาไว้ เฉียวซู่นเฉินไม่ได้เอ่ยตอบ เขาพยุงฉินจิ้งเวินไปนั่งลงที่โซฟา ในเวลานั้นเองเสียงโทรศัพท์ของถังตันนีก็ดังขึ้น “แม่...” “ค่ะค่ะ แม่อย่าเพิ่งรีบร้อน หนูจะรีบกลับไปทันที” ถังตันนีวางสายลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความรีบร้อน “คุณคะ ฉันมีเรื่องด่วนต้องรีบกลับบ้านเล็กน้อย ฝากคุณดูแลเวินเวินกับป้านเย่หน่อยนะคะ” ถังตันนีไม่มีเวลามาสนใจชายหนุ่มอีกต่อไป เธอพูดจบก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย “คุณอา คุณแม่ดื่มเหล้าไปเยอะหรือคะ?” ป้านเย่เดินมายังข้างๆเฉียวซู่นเฉิน และถามด้วยความลังเล “นี่.....ไม่ได้ดื่มไปเยอะหรอก นอนสักตื่นก็ไม่เป็นไรแล้ว” เฉียวซู่นเฉินไม่รู้ว่าควรตอบเด็กน้อยอย่างไร ยามเอ่ยพูดจึงดูประหลาดอยู่บ้าง “คุณอาคุณช่วยพาหม่ามี๊ไปนอนที่เตียงได้ไหมคะ ที่นี่หม่ามี๊นอนไม่สบายแน่เลย” ป้านเย่ลองดูแล้วแต่แรงของเธอไม่มากพอที่จะพยุงหม่ามี๊ไปได้ จึงได้เอ่ยขอร้องเฉียวซู่นเฉิน “...”สีหน้าของเฉียวซู่นเฉินยังคงเย็นชา เขาจำเป็นต้องพยุงฉินจิ้งเวินขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นฉินจิ้งเวินนั้นเดิมก็ประคองไม่อยู่แล้ว เฉียวซู่นเฉินจึงได้แต่อุ้มเธอไปส่งบนเตียงในห้องนอน “ดึกแล้ว หนูนอนเป็นเพื่อนแม่เถอะ คุณอากลับก่อน” ช่วยห่มผ้าให้ฉินจิ้งเวินแล้วเรียบร้อย เฉียวซู่นเฉินก็เตรียมตัวกลับ “คุณอาคะ” เสียงอ่อนหวานของป้านเย่หยุดเฉียวซู่นเฉินลงอีกครั้ง “คุณอา หนูไม่กล้านอนหลับ คุณอารอหนูหลับแล้วค่อยไปได้ไหมคะ” ป้านเย่เอ่ยขอร้อง ดวงตาเล็กๆคู่นั้นดูน่าสงสารจนเฉียวซู่นเฉินปฏิเสธจากไปไม่ลง “หนูไปนอนที่เตียง รอหนูนอนหลับแล้วอาจะไป” “ขอบคุณค่ะคุณอา” ป้านเย่เอ่ยอย่างตื่นเต้น เธอไม่วิ่งกลับไปที่เตียง แต่กลับกุมมือ เฉียวซู่นเฉินเอาไว้และดึงเขาไปที่เตียง “คุณอานั่งตรงนี้นะคะ พอหนูหลับแล้วคุณค่อยไป” ป้านเย่ขึ้นไปบนเตียงและมุดตัวเข้าไปในผ้าห่มของหม่ามี๊ หลังจากนั้นก็นอนลงพร้อมๆกับเฉียวซู่นเฉิน ในระหว่างขั้นตอนทั้งหมดเธอไม่ได้ปล่อยมือของเฉียวซู่นเฉินเลยแม้แต่น้อย \"หลับตาลงเข้านอน\" เฉียวซู่นเฉินเอ่ยเตือน ไม่เข้าใจว่าทำไมป้านเย่ถึงได้เอาแต่ยิ้มมองตนเอง ไม่ยอมเข้านอนสักที “ความรู้สึกของคุณพ่อ” คำพูดที่จู่ๆป้านเย่เอ่ยขึ้นทำให้เฉียวซู่นเฉินนึกถึงสมาชิกในครอบครัวของฉินจิ้งเวินขึ้นมา มีพวกแค่พวกเธอสองแม่ลูกเท่านั้น ในใจของเขาราวกับกำลังถูกโจมตี “นอนเถอะ” น้ำเสียงของเขาอบอุ่นขึ้นมา ต่อให้เขาจะเหี้ยมโหดเย็นชาแค่ไหน แต่การเผชิญหน้ากับความคาดหวังของเด็กน้อยนั้นเป็นเรื่องที่ยากจะปฏิเสธ เช้าวันรุ่งขึ้น ฉินจิ้งเวินตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือและปวดหัวเป็นอย่างมาก เธอรู้ว่านั่นเป็นเพราะฤทธิ์ของเหล้าเมื่อคืน ตอนหันกลับมาและเห็นเจ้าหญิงตัวน้อยกำลังนอนหลับอยู่ มุมปากของเธอก็ยิ้มขึ้นมาด้วยความอ่อนโยน แต่วินาทีหลังจากนั้นกลับทำให้เธอนิ่งค้างไปทั้งตัว รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอชะงักลงในทันที “คุณอยู่ที่นี่ได้อย่างไรคะ?” ฉินจิ้งเวินเอ่ยถามเสียงเบา กลัวว่าจะปลุกป้านเย่ตื่น “ไม่มีอะไร” ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมตนถึงอยู่ที่นี่เฉียวซู่นเฉินก็ไม่รู้เช่นกัน และไม่รู้อย่างยิ่งว่าตนเองกลับไปทั้งอย่างนั้นได้อย่างไร เขาไม่ใช่คนที่นอนไม่หลับเวลาอยู่แปลกที่หรอกหรือไง? “คุณ...” ฉินจิ้งเวินพยายามนึกคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน และยอมแพ้ในที่สุด เนื่องจากเธอค้นพบว่าตนเองราวกับหนังที่ถูกตัดกลางเรื่อง จำอะไรไม่ได้ ฉินจิ้งเวินพุ่งลงจากเตียง และพบว่าตนเองยังสวมใส่เสื้อผ้าของเมื่อวานอยู่ จึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ เธอเดินไปหาเฉียวซู่นเฉินและดึงเขาให้ลุกขึ้นและออกจากห้องนอน “ท่านประธานเฉียว เรื่องเมื่อคืนฉันจำไม่ได้เลยสักนิด แต่การที่คุณอยู่ที่นี่ดูจะไม่เหมาะอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเพราะอะไรคุณควรกลับไปถึงจะถูก” ฉินจิ้งเวินกล่าวโทษ หลายปีมานี้ เธอรักษาระยะห่างจากผู้ชายเอาไว้เสมอไม่ว่าจะเป็นหน้าไหนทั้งนั้น กลัวว่าจะเกิดเรื่องยุ่งยากปัญหาขึ้นมา แต่ไม่ทันระวังเพียงนิดเดียวเฉียวซู่นเฉินกลับมานอนอยู่บนเตียงของเธอ หากหลุดออกไปเธอคงกลายเป็นเมียน้อยที่มายั่วยวนท่านประธานแน่ “ฉันไปแน่ ฉันไม่อยากต้องมาแปดเปื้อนเจอปัญหายุ่งยากที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะกับผู้หญิงตัวคนเดียวที่เป็นฝ่ายเข้าหาอย่างเธอ เมื่อวานเป็นเพราะเพื่อนของเธอจู่ๆก็มีธุระ และฝากให้ฉันดูแลพวกเธอสองแม่ลูก” คิ้วของเฉียวซู่นเฉินขมวดเข้าหากันอย่างเย็นชา นัยน์ตาเข้มฉายลงบนใบหน้าของฉินจิ้งเวินที่ดูยุ่งเหยิงอยู่บ้าง “ฉัน....ท่านประธานเฉียว คุณช่วยพูดอะไรระมัดระวังสักนิด ฉันเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวไม่ผิด แต่คำว่าแปดเปื้อนสองคำนี้ ฉันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น และฉันก็ไม่ได้คิดอะไรกับคุณเช่นกัน” ฉินจิ้งเวินยอมรับว่าเฉียวซู่นเฉินนั้นหน้าตาหล่อเหลา แต่จิตใจของเธอนั้นตายด้านหมดหวังกับผู้ชายไปแล้ว อีกทั้งยิ่งไม่คิดที่จะไปผัวพันกับคนมีครอบครัวแน่ การที่เฉียวซู่นเฉินใส่ร้ายป้ายสีเธอแบบนี้ ทำให้เธอโมโหอย่างมาก
已经是最新一章了
加载中