บทที่11 อยู่ทานอาหารเช้า   1/    
已经是第一章了
บทที่11 อยู่ทานอาหารเช้า
บทที่11 อยู่ทานอาหารเช้า เฉียวซู่นเฉินไม่ได้พูดอะไรออกมา ดวงตามืดมนขึ้นมาเล็กน้อย เขาก้าวเข้าไปใกล้ฉินจิ้งเวินมากขึ้น ทำให้ฉินจิ้งเวินรู้สึกแปลกประหลาด และเป็นการบีบบังคับให้ฉินจิ้งเวินต้องถอยหลังออกไปอีก “คุณหมายความว่าอย่างไรคะ?” ฉินจิ้งเวินรู้สึกตกใจอยู่บ้างเล็กน้อย “ไม่ได้หมายความว่าอย่างไรหรอกครับ อยากจะดูแววตาและคำพูดของคุณว่าจริงใจหรือเปล่าแค่นั้น คุณบอกว่าคุณไม่ได้คิดอะไรเลยเถิดกับผม ผมคิดว่าทั้งหมดนี้คุณได้จัดการทุกอย่างไว้หมดแล้วต่างหาก พอตอนที่ผมไปคุณก็เริ่มดื่ม ส่งคุณกลับบ้านจู่ๆเพื่อนคุณก็กลับออกไปเลย นี่เป็นแผนที่คุณวางเอาไว้แล้วสินะ” เฉียวซู่นเฉินบีบฉินจิ้งเวินจนติดกำแพง ระยะห่างอันแสนใกล้กันเช่นนี้เขารับรู้ได้ถึงลมหายใจที่มีกลิ่นแอลกอฮอล์บางๆของเธอ และก็เป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยแบบหนึ่งด้วยเช่นกัน “คุณ.....ฉันเปล่า คุณบิดเบือนความจริง” ฉินจิ้งเวินรีบปฏิเสธ เธอเกลียดที่สุดก็คือการที่ต้องมาคบหากับผู้ชายที่คลุมเครือไม่ชัดเจนแบบนี้ นับตั้งแต่หลังจากที่คลอดลูกแล้ว เธอก็ได้ตัดสินใจแล้วว่าชีวิตนี้เธอจะไม่คบหาสนิทสนมกับผู้ชายคนไหนอีก แล้วก็จะไม่แต่งงานอีกแล้วด้วยเช่นกัน จะอยู่กับลูกตัวเองไปทั้งชีวิตนี้ของเธอ แต่ทว่าผู้ชายคนที่เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่กี่วันกลับมาใส่ร้ายป้ายสีเธอ ทำลายความบริสุทธิ์ของเธอเสียอย่างนั้น “จะใช่หรือไม่ตัวคุณเองรู้ดี ผมขอเตือนคุณอีกครั้งนะว่าคุณควรประพฤติตัวดีๆอย่าออกนอกลู่นอกทาง” เฉียวซู่นเฉินเอ่ยเตือนขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ท่านประธานเฉียวคะ กรุณารักษาระยะห่างจากฉันด้วยค่ะ คุณจะมองฉันอย่างไรนั่นก็เป็นเรื่องของคุณ แต่อย่างน้อยๆก็ขอให้คุณเคารพฉันบ้าง” ฉินจิ้งเวินเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง ไฟความโกรธในดวงตาของเธอกำลังปะทุขึ้น เฉียวซู่นเฉินเห็นฉินจิ้งเวินที่กำลังถูกตัวเองทำให้รู้สึกโมโหอยู่เช่นนั้นกลับยิ่งเข้าไปใกล้เธอมากขึ้น เขาจับมือที่ยันอยู่ตรงหน้าอกเขาทั้งสองข้างของเธอมากดไว้ที่กำแพง เฉียวซู่นเฉินประชิดเข้าใกล้ขึ้นทีละน้อยๆ แววตาดูน่ากลัวและอันตราย “หม่ามี๊.....” เสียงของป้านเย่ดังขึ้นมาได้ทันเวลาพอดี ทำให้ฉินจิ้งเวินรู้สึกโล่งอก เฉียวซู่นเฉินปล่อยมือ ฉินจิ้งเวินจึงใช้แรงที่มีผลักเขาออก แล้วจึงรีบเดินไปหาป้านเย่ “ตื่นเช้าขนาดนี้เลยหรือจ๊ะ นอนต่ออีกหน่อยดีไหมลูก?” “ไม่เอาค่ะ หนูไม่ง่วง” ป้านเย่เอ่ยพูดขึ้นแล้วจึงเดินอ้อมมารดาไปหาเฉียวซู่นเฉิน แล้วจับมือใหญ่ของเฉียวซู่นเฉินเอาไว้เบาๆ “ขอบคุณนะคะคุณลุง หนูนอนหลับสบายมากเลยค่ะ” แววตาที่จริงใจของเด็กน้อย ทำให้เฉียวซู่นเฉินรู้สึกอึ้งไปเล็กน้อย “ไม่เป็นไรครับ” “ป้านเย่ไปล้างหน้าแปรงฟันกับหม่ามี๊นะลูก คุณลุงจะไปทำงานแล้วนะ” เฉียวซู่นเฉินเอ่ยแล้วนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองฉินจิ้งเวินอีกครั้ง และขณะที่กำลังจะเอ่ยปากออกมานั้นกลับถูกป้านเย่ขัดขึ้นมาเสียอย่างนั้น “คุณลุงคะ อาหารเช้าที่หม่ามี๊ทำอร่อยมากๆเลยนะคะ คุณลุงอยู่กินด้วยกันก่อนแล้วค่อยไปทำงานนะคะ” “ป้านเย่” ฉินจิ้งเวินรีบเอ่ยเรียกป้านเย่เอาไว้ เธอกลัวว่าการกระทำเช่นนี้ของป้านเย่จะทำให้เฉียวซู่นเฉินเอามาพูดได้ว่าเป็นแผนของเธออีก “หม่ามี๊ เมื่อคืนหม่ามี๊เมา คุณลุงดูแลหม่ามี๊ ตอนที่หนูกลัว คุณลุงยังอยู่เป็นเพื่อนหนูเลยนะคะ เราก็ควรให้คุณลุงอยู่กินอาหารเช้าด้วยกันก่อนสิคะ” ป้านเย่ไร้เดียงสามาก ไม่เข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ใหญ่ และก็ไม่เข้าใจว่าตอนนี้หม่ามี๊กำลังคิดอะไรอยู่ด้วยเช่นกัน เธอรู้เพียงแค่ว่าเธอชอบคุณลุงสุดเท่คนนี้เพียงเท่านั้น “ป้านเย่.......” ปกติแล้วฉินจิ้งเวินจะสอนแบบนี้กับลูกจริงๆ จะคอยบอกกับลูกว่าจะต้องรู้จักบุญคุณคน แต่จะมาใช้ในตอนนี้ดูจะไม่เหมาะสมเท่าไรนัก “หม่ามี๊ เราจะมาติดค้างคุณลุงแบบนี้ไม่ได้นะคะ กินอาหารเช้ามื้อนึงก็ถือว่าเป็นการตอบแทนได้แล้วนะ” และนี่ก็เป็นสิ่งที่หม่ามี๊บอกกับป้านเย่เอาไว้ เธอจำได้อย่างชัดเจน เฉียวซู่นเฉินฟังบทสนทนาระหว่างสองแม่ลูกนี้ แล้วมองไปยังเด็กผู้หญิงตัวน้อยๆที่ยังคงจับมือของเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ก้นบึ้งของหัวใจรู้สึกได้ถึงความสะเทือนใจบางอย่าง และจ้องมองไปยังฉินจิ้งเวินด้วยสายตาที่เย็นชา “ป้านเย่ คุณลุงมีธุระน่ะครับ” เอ่ยพูดกับป้านเย่ น้ำเสียงของเฉียวซู่นเฉินฟังแล้วดูอบอุ่นลงไปไม่น้อย เฉียวซู่นเฉินเอ่ยจบแล้วจะหันหลังกลับออกไป แต่มือของป้านเย่ยังคงจับมือเขาเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย “คุณลุงคะ หม่ามี๊เคยบอกว่าไม่กินอาหารเช้าจะไม่ดีต่อสุขภาพนะคะ คุณลุงจะเป็นเด็กดีก็จะต้องกินอาหารเช้าก่อนแล้วค่อยไปทำงานนะคะ” ครั้งนี้แววตาของป้านเย่แสดงถึงความปรารถนาออกมาด้วย การกินข้าวเป็นเรื่องเล็ก เธอเพียงแค่อยากจะใช้เวลาอยู่กับคุณลุงอีกเสียหน่อยก็เท่านั้นเอง “………..” เฉียวซู่นเฉินไม่ได้เอ่ยพูดอะไรออกมา ไม่รู้ว่าควรจะตอบป้านเย่อย่างไรดี ถ้าหากปฏิเสธเด็กคนนี้เธอก็คงจะผิดหวังอย่างแน่นอน แต่หากจะอยู่ต่อก็ดูจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก แต่หากชั่งน้ำหนักดูแล้วนั้น เขาเลือกอย่างหลังแล้วกัน ฉินจิ้งเวินไม่ได้เต็มใจที่จะเตรียมอาหารเช้าซักเท่าไรนัก หลังจากที่ป้านเย่ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้วนั้นก็มานั่งคุยอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกกับเฉียวซู่นเฉิน “คุณลุงคะ หนูกับพี่ซวนซวนอยู่ห้องเดียวกัน พี่ซวนซวนดูแลหนูดีมากๆเลย” “ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วสิ เขาเป็นพี่นี่นา” “ป้านเย่อายุเท่าไหร่แล้วครับ?” จู่ๆเฉียวซู่นเฉินก็เอ่ยถามขึ้น “5ขวบแล้วค่ะ” “อายุเท่ากันกับซวนซวนเลยนี่ วันเกิดของหนูเมื่อไหร่นะครับ?” เฉียวซู่นเฉินเอ่ยถามต่อ “อันนี้....อันนี้หนูก็ลืมไปแล้วค่ะ หม่ามี๊รู้นะคะ หนูรู้แต่ว่าวันเกิดหนูเพิ่งจะผ่านไปไม่นานนี้เอง น่าจะก่อนปีใหม่นะคะ” เฉียวซู่นเฉินเอ่ยถามขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ ทำให้ป้านเย่รู้สึกร้อนใจเสียจนลืมวันเกิดตัวเองไปเสียอย่างนั้น “ก่อนปีใหม่? ถ้าอย่างนั้นหนูกับซวนซวนน่าจะเกิดใกล้ๆกันนะ ซวนซวนเองก็ก่อนปีใหม่เหมือนกัน” หลังจากที่เฉียวซู่นเฉินหยุดไปพักหนึ่งแล้วนั้นเขาจึงเอ่ยถามขึ้นต่อ “ชื่อของป้านเย่ใครเป็นคนตั้งให้หรือครับ?” “หม่ามี๊ค่ะ เพราะว่าที่แขนข้างขวาของหนูมีปานรูปพระจันทร์เสี้ยวอยู่ด้วย” ป้านเย่เอ่ยพูดอย่างดีใจ ทั้งยังยกแขนข้างขวาให้เฉียวซู่นเฉินดูอีกด้วย ทันใดนั้นเฉียวซู่นเฉินก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงขมวดคิ้วขึ้น เขามองดูปานที่แขนข้างขวาของป้านเย่ คล้ายกับพระจันทร์เสี้ยวจริงๆ “ป้านเย่……” เฉียวซู่นเฉินที่ยังอยากจะเอ่ยปากถามต่อไปนั้น ฉินจิ้งเวินก็ขัดบทสนทนาระหว่างทั้งสองคนขึ้นมาเสียก่อน “กินข้าวได้แล้วลูก” หลังจากที่เฉียวซู่นเฉินทานอาหารเช้าเสร็จแล้วนั้นถึงได้ไปทำงาน และก่อนที่เขาจะไปนั้นเขาก็ได้บอกกับฉินจิ้งเวินไว้ว่าหากไปทำงานแล้วให้ไปหาเขาที่ออฟฟิศก่อน ดังนั้นวันนี้ฉินจิ้งเวินจึงเป็นคนแรกที่มายังออฟฟิศประธาน “ท่านประธานเฉียวหาฉันมีธุระอะไรหรือคะ?” ฉินจิ้งเวินเอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นการเป็นงาน “เมื่อวานหัวหน้าฝ่ายคุณเห่าได้รายงานผลการประชุมของพวกคุณกับผมแล้ว และสิ่งที่คุณต้องการเขาก็บอกผมแล้วเหมือนกัน โทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ไม่ต้องทำเป็นรุ่นไฮเอนด์ได้ แต่ล็อตแรกที่ผลิตออกสู่ตลาดจะไม่มีเครื่องไฮเอนด์ไม่ได้” เมื่อพูดถึงเรื่องงานใบหน้าของเฉียวซู่นเฉินมีความจริงจังและดูมีหลักการมาก ถ้าหากเสียงของเขาอ่อนโยนลงอีกเสียหน่อยก็คงจะดี “ฉันเข้าใจความหมายของท่านประธานค่ะ จุดเริ่มต้นของคุณคือให้YBเป็นยี่ห้อที่เป็นรุ่นไฮเอนด์ที่มีคุณภาพสูง ดังนั้นจุดตำแหน่งจะอยู่ต่ำมากไม่ได้” สำหรับการทำงานฉินจิ้งเวินเองก็จะไม่มีการลังเลสองจิตสองใจ และยิ่งจะไม่เอามาปะปนกับเรื่องความรู้สึกส่วนตัวด้วยเช่นกัน “ใช่” “ท่านประธานอยากจะฟังความคิดเห็นของฉันหรือคะ?” ฉินจิ้งเวินเอ่ยถามขึ้นอย่างเรียบๆ “ครับ” “ท่านประธานเฉียวคะ ฉันรู้สึกว่าตัวเครื่องของรุ่นนี้สามารถใช้ชุดที่สองที่ฉันจัดเตรียมไว้ได้ ราคาไม่ต้องสูงมาก คุณก็ไม่ต้องหากำไรจากรุ่นนี้หรอกค่ะ ใช้มาเป็นตัวส่งเสริมการขายของผลิตภัณฑ์ จากเครื่องไฮเอนด์ก็มาใช้เป็นเครื่องเพื่อธุรกิจแทน” ฉินจิ้งเวินเอ่ยพูดด้วยความมั่นใจ เกี่ยวกับเรื่องนี้เธอก็ศึกษามาอย่างละเอียดแล้ว ถึงได้กล้าที่จะพูดออกมาเช่นนี้ต่อหน้าเฉียวซู่นเฉิน “เครื่องเพื่อธุรกิจ จำเป็นที่จะต้องมีการสื่อสารให้ได้รวดเร็วและราบรื่น และยังจะต้องสามารถทำกิจกรรมทางธุรกิจให้สำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น แต่ตอนนี้โทรศัพท์มือถือสำหรับธุรกิจในตลาด เป็นไปได้ยากที่จะราบรื่นไปได้อย่างรวดเร็วเช่นนั้น คุณเพียงแค่พัฒนาตรงจุดนี้ ก็จะสามารถเป็นตัวท็อปชั้นนำแห่งโทรศัพท์มือถือเพื่อธุรกิจอย่างแน่นอนค่ะ” ฉินจิ้งเวินเอ่ยพูดไปตามระเบียบแบบแผน สำหรับเรื่องงานเธอไม่เมินเฉยอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้ขอบเขตของงานที่พูดถึงนั้นจะเกี่ยวข้องกับเธอเพียงแค่ครึ่งเดียว แต่เธอก็ยังคงมีความตั้งใจ “ผมเข้าใจความหมายของคุณนะ ต้องการจะให้ทุกๆด้านของโทรศัพท์มือถือธุรกิจนั้นออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ ถ้าอย่างนั้นต้นทุนก็จะต้องสูงขึ้น และเมื่อต้นทุนสูงขึ้นสำหรับยี่ห้อใหม่ที่จะตีตลาดของพวกเรานั้นก็นับว่าไม่ได้เป็นข้อได้เปรียบกับเราซักเท่าไหร่นัก” เฉียวซู่นเฉินจัดระเบียบความคิดเมื่อครู่นี้ของฉินจิ้งเวิน ก็ยังคงไม่สมบูรณ์แบบอยู่ดี “นี่ก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ค่ะ แต่คนที่จะสามารถใช้โทรศัพท์มือถือธุรกิจได้นั้น ก็จะไม่ได้สนใจเรื่องราคาที่สูงนี้หรอกค่ะ พวกเขาจะสนใจเรื่องประสิทธิภาพของการทำงานมากกว่า” “ท่านประธานเฉียวคะ โทรศัพท์มือถือธุรกิจทั้งสองรุ่นฉันเห็นแล้วค่ะ ลักษณะภายนอกนับว่าไม่เลวเลย ดูแข็งแรงด้วย เพียงแค่แก้ไขปรับแต่งองค์ประกอบเล็กน้อยก็คงจะสามารถสร้างเป็นรูปแบบของพวกเราเองได้เลย” “แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่ความคิดเห็นของฉัน ที่เสนอให้คุณพิจารณาเท่านั้นค่ะ” ฉินจิ้งเวินอธิบายความคิดเห็นของตัวเองเสร็จแล้วก็ไม่ลืมที่จะถ่อมตัว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เฉียวซู่นเฉินบอกว่าเธออยากจะโอ้อวดอีก “ความคิดเห็นของคุณผมจะรับไว้พิจารณา” เฉียวซู่นเฉินเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น แล้วเงยหน้าขึ้นมามองตาฉินจิ้งเวินด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง “ผู้อำนวยการฉิน ผมว่าคุณเองก็ศึกษาลักษณะภายนอกของโทรศัพท์ไว้เป็นอย่างดีเลยนี่” “ค่ะ นี่คืองานอดิเรกของฉันเองค่ะ” “ท่านประธานเฉียวคะ ถ้าหากไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะคะ” ฉินจิ้งเวินเอ่ยพูดขึ้นแล้วจึงหันหลังกลับออกไป
已经是最新一章了
加载中