บทที่12 คนที่ไม่อยากเจอ   1/    
已经是第一章了
บทที่12 คนที่ไม่อยากเจอ
บทที่12 คนที่ไม่อยากเจอ เดินออกมาจากประตูออฟฟิศของท่านประธานแล้ว ฉินจิ้งเวินก็มุ่งตรงไปที่ลิฟต์ทันที และเมื่อขณะที่ประตูลิฟต์เปิดออกนั้น แววตาอันแสนประหลาดใจของเธอนั้นก็ได้ปรากฏออกมา ภายในลิฟต์นั้นมีผู้หญิงที่สง่างามคนหนึ่งปรากฏตัวอยู่ด้านในนั้น ผู้หญิงคนนี้สำหรับฉินจิ้งเวินจะว่าไปแล้วเธอมีทั้งความรู้สึกที่คุ้นเคยและความรู้สึกแปลกหน้าไปในขณะเดียวกัน ฉินจิ้งเวินดึงสติกลับมา แล้วทำเป็นมองไม่เห็น ทำเป็นไม่รู้จักกับเธอคนนั้นแล้วก้าวเข้าไปในลิฟต์แทน แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับไม่ได้เดินออกไปเสียอย่างนั้น “ไม่เจอกันนานเลยนะ” ผู้หญิงคนนั้นเอ่ยขึ้นมาก่อน น้ำเสียงกลับดูเย่อหยิ่งแปลกๆ “………..” ฉินจิ้งเวินไม่ได้พูดอะไรออกมา คนแบบนี้เธอได้ลบออกไปจากความทรงจำเธอตั้งนานแล้ว ไม่อยากจะเกี่ยวข้องอะไรกันอีก “ฉินจิ้งเวิน อย่ามาแกล้งทำเป็นไม่รู้จักกันหน่อยเลย” เสียงของผู้หญิงคนนั้นมีความเย็นชา เธอรู้สึกโมโหกับความเงียบนี้ของฉินจิ้งเวิน “ยังจะทำเป็นไม่รู้จักกันสินะ คุยกับคนอย่างเธอแบบนี้ ฉันเองก็รู้สึกสะอิดสะเอียนเหมือนกัน” ความเกลียดชังที่อยู่ภายในใจของฉินจิ้งเวินนี้มากเกินกว่าที่เธอคาดคิดไว้เสียอีก เดิมทีคิดว่าเวลาผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว เธอจะสามารถมองข้ามเรื่องราวทุกอย่างไปได้แล้ว แต่พอได้มาเจอกันอีกครั้ง เธอถึงได้รู้ว่าความเกลียดชังของเธอยังคงชัดเจนอยู่เหมือนเดิม และยังคงเป็นบาดแผลที่คอยแผดเผาตัวเองอยู่เช่นนั้น “ฉินจิ้งเวิน.......” ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกโมโห เสียงดังขึ้น และในเวลานี้เอง ที่ลิฟต์หยุดลงตรงชั้นที่25 และฉินจิ้งเวินก็เดินออกมาจากลิฟต์โดยที่ยังคงทำเป็นมองไม่เห็นผู้หญิงคนนั้น ก่อนที่จะกลับมาที่เมืองนี้ ฉินจิ้งเวินก็เคยคิดเอาไว้เช่นกันว่าจะต้องได้มาเจอกับคนพวกนี้ที่ทำให้เธอเสียใจอีก แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอกันเร็วขนาดนี้ ทำให้เธอรู้สึกรับมือไม่ทันจริงๆ ครั้งหนึ่งในช่วงเวลาที่เธอลำบากที่สุดเธอเลิกกับหชู่หยาง ก็เป็นเพราะส้งหยี่เอินผู้หญิงคนเมื่อครู่นี้ ครั้งหนึ่งกับเพื่อนสนิทที่สุดของเธอเช่นเดียวกับถังตันนี ที่เข้ามหาวิทยาลัยเดียวกันกับเธอ อยู่หอพักเดียวกันกับเธอ และไปเรียนที่ต่างประเทศด้วยกันกับเธอ แต่ตอนสุดท้ายแล้วเพื่อนเธอคนนี้ก็มาทรยศหักหลังเธอ เพื่อนสนิทที่แทงข้างหลัง จะว่าไปแล้วเป็นเพราะเพื่อนของเธอเป็นคนที่มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว มีแผนการ หรือฉินจิ้งเวินที่โง่เสียจนแยกไม่ออกว่าอะไรจริงหรือหลอกกันแน่? ส้งหยี่เอินเอาความโมโหและความสงสัยนี้กลับขึ้นไปยังชั้นที่ 30 ในมือของเธอถือเสื้อผ้าที่เอาไปซักของสามีของเธออยู่ แต่ไม่ได้ไปหาสามีของตัวเอง เธอกลับไปที่ออฟฟิศของเลขาแทน “เมื่อกี้ผู้หญิงคนที่เพิ่งเดินออกไปทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้กัน?” น้ำเสียงของส้งหยี่เอินดูมีความสงสัยอย่างถือตัว “ผู้หญิง? ใช่คุณฉินหรือเปล่าคะ?” ซูชิ่นที่ถูกถามอย่างกะทันหัน รู้สึกไม่แน่ใจว่าที่ส้งหยี่เอินเอ่ยถามถึงอยู่นั้นคือใคร “ใช่ ฉินจิ้งเวิน” ส้งหยี่เอินเอ่ยขึ้นอย่างติดรำคาญ “คุณฉินตอนนี้ทำงานอยู่ที่บริษัทของเราค่ะ เธอเป็นหัวหน้าทีมวิศวกรที่ทางบริษัทMTที่สำนักงานใหญ่ส่งตัวมาค่ะ” “ทำงานที่นี่อย่างนั้นหรือ?” ส้งหยี่เอินขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ แล้วจึงเอ่ยขึ้นต่อ “เอาข้อมูลของเธอมาให้ฉันที” ราวกับว่าคำสั่งของ ส้งหยี่เอินดูมีอำนาจมากเหลือเกิน “ขอโทษด้วยนะคะคุณผู้หญิง หากไม่ได้รับการอนุญาตจากท่านประธาน ทางเราไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลของพนักงานได้ค่ะ หากคุณต้องการทราบข้อมูลสามารถไปถามกับท่านประธานได้เลยนะคะ” ราวกับว่าซูชิ่นนั้นชินกับการปฏิบัติต่อคนอื่นแบบนี้ของส้งหยี่เอินไปเสียแล้ว จึงไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจนี้ของเธอ “เธอ....เธอไม่กลัวว่าฉันจะให้ซู่นเฉิน ไล่เธอออกอย่างนั้นหรือ?” ส้งหยี่เอินรู้สึกโมโหเสียจนอยากจะระเบิดลมหายใจออกมาอยู่แล้ว หากไม่ติดว่าเฉียวซู่นเฉินอยู่ที่นี่ด้วย เธอคงจะจัดการกับผู้หญิงคนนี้ไปแล้ว “คุณผู้หญิงคะ ท่านประธานกำลังรอชุดที่เอาไปซักอยู่ คุณเข้าไปด้านในก่อนดีกว่านะคะ” ซูชิ่นเอ่ยพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ โดยไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากคำพูดของส้งหยี่เอินเลยแม้แต่นิดเดียว เนื่องจากคำขู่ของเธอแบบนี้เธอได้ยินมาไม่รู้กี่ครั้ง จนมีภูมิต้านทานขึ้นมาแล้ว ส้งหยี่เอินรู้สึกโมโห เธอมองดูชุดเสื้อผ้าที่อยู่ในมือ แล้วจ้องมองไปยังซูชิ่นด้วยความเกลียดชังแล้วจึงหันกลับเข้าไปด้านในออฟฟิศของท่านประธาน และในตอนที่ผลักประตูออฟฟิศของประธานบริษัทเข้าไปแล้วนั้น เธอก็เก็บอารมณ์โมโหและการใช้อำนาจเหล่านั้นของเธอเอาไว้ และแทนที่ด้วยความใจกว้างอ่อนโยน สงบเสงี่ยมน่าเอ็นดู สรุปแล้วเธอมีความสามารถในการปรับเปลี่ยนอารมณ์ได้ดีเหลือเกิน “ที่รักคะ ฉันเอาชุดมาส่งให้คุณแล้วค่ะ” น้ำเสียงของส้งหยี่เอินหวานเสียจนไม่รู้ว่าใส่น้ำตาลลงไปเท่าไหร่ แตกต่างจากเมื่อครู่นี้ราวฟ้ากับดิน และในวินาทีถัดมานั้นเอง ส้งหยี่เอินก็ได้รับสายตาที่เคร่งขรึมจากเฉียวซู่นเฉินเป็นการเตือนเธอ “ขอโทษค่ะ ฉันลืมเลย” ส้งหยี่เอินรีบเปลี่ยนน้ำเสียงของตัวเอง ให้มีความสำรวมขึ้นมาบ้าง “เมื่อคืนไม่ได้กลับบ้าน แล้วก็ไม่ได้โทรบอกพ่อบ้านด้วย ฉันเป็นกังวลอยู่ทั้งคืนไม่ได้นอนเลยค่ะ ตื่นเช้ามาเลขา.....” “วางชุดเอาไว้ แล้วคุณก็กลับไปได้แล้วครับ” เฉียวซู่นเฉินไล่เธอให้กลับไปอย่างไม่มีความอดทนเท่าไรนัก พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและดูไม่พอใจ “อ่อ ถ้าอย่างนั้นฉันเอาวางไว้ที่โซฟานะคะ” ส้งหยี่เอินวางของไว้แล้ว ยังคงเอ่ยพูดต่ออย่างไม่ยอมออกไปง่ายๆ “พรุ่งนี้วันสุดสัปดาห์ เราพาซวนซวนไปเที่ยวกันดีไหมคะ ลูกจะอยู่แต่บ้านไม่ได้ ควรจะพาเขาออกไปสัมผัสกับธรรมชาติข้างนอกบ้างนะคะ” “ผมไม่ได้ว่างขนาดนั้น คุณพาลูกออกไปคนเดียวแล้วกัน” เฉียวซู่นเฉินเอ่ยพูดขึ้นอย่างเย็นชา น้ำเสียงไม่มีความอ่อนโยนเลยแม้แต่นิดเดียว “เขาอยู่ที่บ้านเก่า คุณปู่.......” ส้งหยี่เอินไม่ได้พิจารณาถึงท่าทางที่เด็ดเดี่ยวนั่นของเฉียวซู่นเฉิน ลองพยายามตื๊อต่อ แต่กลับแลกมาด้วยน้ำเสียงโมโหที่ไม่สามารถยับยั้งได้ของเขากลับมาแทน “ผมบอกคุณแล้วไงว่าเรื่องพวนนั้นคุณจัดการเองเลย ไม่ต้องมาวุ่นวายกับผม ออกไปเถอะ” แววตาของเฉียวซู่นเฉิน เต็มไปด้วยความโมโห น้ำเสียงเย็นชาเสียจนหนาวเข้ากระดูก เขาเกลียดที่สุดก็คือผู้หญิงที่ไม่ยอมเชื่อฟังแบบนี้ ส้งหยี่เอินไม่กล้าเอ่ยพูดอะไรขึ้นมาอีก และยิ่งไม่กล้าเอ่ยถามถึงเรื่องฉินจิ้งเวินด้วยเช่นกัน เธอจึงทำได้เพียงแค่ออกไปอย่างว่าง่าย หลังจากที่เลิกงานแล้ว ฉินจิ้งเวินจึงไปที่โรงเรียนอนุบาลเลย คาดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับเด็กชายเฉียวจือซวนอีกครั้ง “ซวนซวน” เธอไม่ได้เรียกลูกสาวของตัวเอง แต่กลับเรียกซวนซวนก่อน “คุณน้า!” เฉียวจือซวนเห็นฉินจิ้งเวินแล้วนั้น ใบหน้าที่หมองๆอยู่นั้นก็หายไปในทันใด “หม่ามี๊ตอนนี้เริ่มจะชอบพี่ชายแล้วไม่ชอบป้านเย่แล้วหรือคะ?” ป้านเย่ทำปากจู๋แล้วค่อยๆเดินมาข้างๆฉินจิ้งเวิน “ไม่ใช่หรอกค่ะ หม่ามี๊ชอบทุกคนเลย พี่เขาดูแลหนูดีขนาดนั้น หม่ามี๊ก็ต้องชอบพี่เขาด้วยสิลูก” ฉินจิ้งเวินเอ่ยออกมาอย่างเอ็นดู เห็นเด็กคนนี้แล้วก็เอ็นดู อยากจะรัก อยากจะปกป้อง อยากจะดูแลเขา “ผมก็ชอบคุณน้าฮะ” “หม่ามี๊ วันเกิดของหนูวันไหนนะคะ? คุณลุงบอกว่าวันเกิดของพี่ชายกับหนูอยู่ใกล้ๆกันเลย หนูอาจจะเป็นพี่ก็ได้” ฉินจิ้งเวินและเฉียวจือซวนกำลังมองกันด้วยความรักเช่นนั้น ป้านเย่เห็นแล้วก็รู้สึกอิจฉาจึงต้องรีบเปลี่ยนเรื่องคุย “วันเกิด? หนูเกิดวันที่23เดือนมกราคมไงจ๊ะ” ฉินจิ้งเวินเอ่ยพูดอย่างไม่คิดอะไร “วันที่23 มกราคม? คุณน้าฮะ ผมก็เกิดวันนี้เหมือนกันฮะ” เฉียวจือซวนพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น หลังจากนั้นจึงมองไปยังป้านเย่แล้วเอ่ยพูดขึ้นต่อ “เราเกิดวันเดียวกันเลย เธอก็ใช่ว่าจะเป็นพี่ซะหน่อย เรียกพี่ว่าพี่ชายนั่นแหละ พี่จะได้ปกป้องเธอได้” เฉียวจือซวนพูดอย่างภูมิใจในตัวเอง ในใจของเขานั้นถึงแม้ว่าเขาจะอายุน้อยกว่าป้านเย่ เขาก็ยังจะต้องเป็นพี่ชาย และจะต้องปกป้องเธอ เด็กทั้งสองคนเริ่มถกเถียงกันว่าใครจะแก่กว่าหรือเด็กกว่ากัน ส่วนฉินจิ้งเวินกลับรู้สึกตกใจกับวันเกิดของซวนซวน เกิดปีเดียวและวันเดียวกัน นี่คือพรหมลิขิตหรือว่าเรื่องบังเอิญกัน? “เอาล่ะ เด็กๆไม่ต้องเถียงกันแล้วลูก ซวนซวนก็ยังคงเป็นพี่ชาย และป้านเย่ก็ยังคงเป็นน้องสาวนะคะ” ฉินจิ้งเวินดึงสติกลับมาแล้วห้ามเด็กทั้งสองคนนี้ไว้ด้วยรอยยิ้ม “ซวนซวน วันนี้ใครมารับหนูครับ คุณพ่อหรือคุณแม่เอ่ย?” ฉินจิ้งเวินไม่ใช่ว่าจะเอ่ยถามออกมาเฉยๆ เกี่ยวกับเรื่องของเฉียวจือซวนเธออยากรู้มากกว่านั้น แต่เมื่อเฉียวจือซวนได้ยินดังนั้นแล้ว จู่ๆดวงตาของเขาก็ดูเศร้าหมองลง “ตั้งแต่ผมเข้ามาเรียนโรงเรียนอนุบาลป่าปี๊ก็ไม่เคยมารับผมเลยฮะ ป่าปี๊ยุ่งอยู่ตลอดเลย” เฉียวจือซวนพูดมาถึงตรงนี้แล้วเขาก็ค่อยๆก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกเศร้าเสียใจ “แล้วหม่ามี๊ล่ะครับ?” ฉินจิ้งเวินเห็นเฉียวจือซวนที่มีอาการผิดหวังแล้วก็รู้สึกสงสารจับใจ เห็นท่าทางหงอยเหงาของเขาแล้วก็รู้ว่าเขาเฝ้ารอที่จะให้พ่อมารับเขามากขนาดไหน “หม่ามี๊.....หม่ามี๊ก็ไม่มารับผมเหมือนกันฮะ และผมเองก็ไม่อยากให้หม่ามี๊มารับด้วย” เมื่อพูดถึงหม่ามี๊แล้ว เฉียวจือซวนดูมีความขัดแย้งอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงยอมฝืนตอบคำถามนี้ “ทำไมล่ะครับ?” ฉินจิ้งเวินไม่เข้าใจ และก็เริ่มรู้สึกโมโหด้วยเช่นกัน คนเป็นพ่อแม่ต่อให้ยุ่งขนาดไหน ก็คงจะไม่ถึงกับจะมารับลูกไม่ได้เลยซักครั้งสิ จะต้องมีสาเหตุอะไรที่พิเศษไปกว่านั้นอย่างแน่นอน “ผมอยู่กับคุณปู่ ฮะ ช่วงสุดสัปดาห์ป่าปี๊อยู่บ้านผมถึงได้กลับไปบ้าน ถ้าหากป่าปี๊ต้องออกไปทำงานข้างนอกผมก็ต้องอยู่ที่บ้านของคุณปู่ ทุกครั้งก็เลยเป็นคุณพ่อบ้านที่บ้านคุณปู่มารับมาส่งผมฮะ”
已经是最新一章了
加载中