บทที่13 ไม่ชอบหม่ามี๊   1/    
已经是第一章了
บทที่13 ไม่ชอบหม่ามี๊
บทที่13 ไม่ชอบหม่ามี๊ ยิ่งพูดอารมณ์ของเฉียวจือซวนก็ยิ่งแย่ลงไปกว่าเดิม ยิ่งพูดก็ยิ่งก้มหน้าลง ฉินจิ้งเวินเห็นแล้วก็รู้สึกสงสารจับใจ เธอนั่งลงแล้วดึงตัวเฉียวจือซวนเข้ามากอดไว้ “……….” จากเมื่อครู่ที่คิดอยากจะเอ่ยพูดปลอบใจออกมานั้น ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเสียงเล็กๆของเฉียวจือซวนดังขึ้นมาเสียก่อน “ผมไม่ชอบหม่ามี๊ ผมไม่อยากใช้ชีวิตอยู่กับหม่ามี๊ฮะ” ประโยคเดียวที่ดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจลูกเช่นนี้บาดลึกหัวใจของฉินจิ้งเวินยิ่งนัก และก็ทำให้เธอนึกถึงเด็กคนนั้นที่ถูกเธอผลักไสออกไป เฉียวจือซวนกับแม่แท้ๆของเขายังเป็นเช่นนี้ แล้วเด็กคนนั้นกับแม่เลี้ยงของเขาล่ะจะไม่ยิ่งแย่ไปกว่านี้หรอกหรือ เขาจะใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากหรือเปล่า? เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ หัวใจของฉินจิ้งเวินราวกับถูกเข็มทิ่มแทงอย่างไรอย่างนั้น เลือดค่อยๆไหลออกมาทีละน้อย ความเจ็บปวดเองก็ค่อยๆแพร่กระจายไปทั่วด้วยเช่นกัน “ซวนซวน หม่ามี๊กับป่าปี๊รักหนูนะครับ เพียงแต่พวกเขายุ่งกันมาก เวลาที่จะคุยกับหนูก็เลยมีจำกัดไปด้วย เพราะฉะนั้นหนูอาจจะยังไม่คุ้นไปซักหน่อย แต่รอหนูโตขึ้นก็จะเข้าใจเองนะครับ” ฉินจิ้งเวินลองพยายามที่จะปลอบเด็กน้อย ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามจะต้องไม่ให้จิตใจของเด็กน้อยคนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยความทุกข์แบบนี้ “หม่ามี๊ไม่ยุ่งหรอกฮะ หม่ามี๊อยู่บ้านทุกวัน งานเพียงอย่างเดียวของหม่ามี๊ก็คือดูแลป่าปี๊” เฉียวจือซวนยังคงเอ่ยพูดต่อ ด้วยความน้อยใจ อดไม่ได้ที่จะสะอึกสะอื้นออกมา ถูกคุณน้ากอดเอาไว้แบบนี้เขารู้สึกอบอุ่น สามารถรู้สึกผ่อนคลายลงมาได้ แต่อยู่ต่อหน้าหม่ามี๊กับป่าปี๊ของเขานั้นเขาจะต้องทำตัวให้ฉลาดรู้ความเหมือนกับผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ไม่สามารถแสดงด้านที่อ่อนแอออกมาได้เลย แม้แต่น้ำตาไหลออกมาเพียงแค่หยดเดียวก็เหมือนกับเขาทำความผิดที่ใหญ่หลวงมากอย่างไรอย่างนั้น “ซวนซวน.......” ฉินจิ้งเวินรู้สึกสงสารอยากจะปลอบเฉียวจือซวน แต่กลับพบความเก็บกดของเด็กคนนี้ จึงเปลี่ยนน้ำเสียงพูดกับเขา “ซวนซวนอยากจะร้องไห้ก็ร้องออกมาเลยนะครับ เราเป็นเด็กเวลาน้อยใจก็ร้องไห้ออกมาได้นี่ อย่าเก็บเอาไว้ในใจเลยนะ” ประโยคเดียวของฉินจิ้งเวินทำให้เฉียวจือซวนน้ำตาไหลออกมาในที่สุด เขาเริ่มร้องไห้ออกมาเสียงดังขึ้นและกอดเธอเอาไว้แน่น ทางด้านป้านเย่ก็อดที่จะร้องไห้ตามออกมาด้วยไม่ได้เช่นกัน “คุณหนูครับ กลับบ้านกันได้แล้วครับ” วันนี้พ่อบ้านมาช้าไปเล็กน้อย แต่ก็เห็นฉากที่เฉียวจือซวนรู้สึกน้อยใจเมื่อครู่นี้ “ไม่ต้องร้องไห้แล้วนะครับ มีคนมารับหนูแล้ว” ฉินจิ้งเวินรีบปลอบเขา ใช้สายตาส่งตามเฉียวจือซวนจนกลับออกไปแล้วนั้น ในใจของฉินจิ้งเวินเองก็รู้สึกสงบลงไม่ได้เลยเช่นกัน ราวกับว่าเด็กน้อยมีความทุกข์มากเกินไป ทั้งยังไม่สามารถพูดออกมาได้อีก ทำได้เพียงแค่เก็บเอาไว้ในใจรับรู้เพียงลำพัง แต่อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่สิ่งที่เด็กอายุเพียงแค่ห้าขวบจะต้องมาแบกรับเอาไว้เลย “หม่ามี๊ พี่ชายน่าสงสารจังเลยค่ะ ครอบครัวของเขาดีกว่าเราเยอะเลย มีทั้งป่าปี๊แล้วก็หม่ามี๊ แต่หนูรู้สึกว่าพี่เขาไม่มีความสุขเหมือนหนูเลย” ป้านเย่ที่นั่งอยู่ตรงด้านหลังในรถ ยังคงรู้สึกสงสารเฉียวจือซวน “ใช่ค่ะ พี่ซวนซวนมีความรู้สึกกดดันนิดหน่อยน่ะลูก” ฉินจิ้งเวินไม่คิดเช่นนั้นเลย ทั้งๆที่พ่อแม่ยังอยู่กันครบ แต่กลับมองไม่เห็นอาการงอนอย่างไม่มีสาเหตุแบบนี้ของลูกตัวเองเลยอย่างนั้นหรือ “หม่ามี๊พวกเรานัดพี่ซวนซวนออกมาเล่นด้วยกันเถอะค่ะ ให้พี่ชายรู้สึกผ่อนคลายซักหน่อย” ป้านเย่เสนอความเห็นออกมานั้น ฉินจิ้งเวินก็ตอบรับอย่างสบายใจ แต่จะได้รับความยินยอมนี้จากเฉียวซู่นเฉินนั้น เกรงว่าคงจะยากอยู่พอสมควร หลังจากที่ผ่านมื้อเย็นไปแล้วนั้น ฉินจิ้งเวินจึงโทรหาเฉียวซู่นเฉิน “ท่านประธานเฉียวคะ ฉันจะพาป้านเย่ไปสวนสนุก ฉันอยากจะพาซวนซวนไปด้วยกัน” “……….” เฉียวซู่นเฉินไม่ได้เอ่ยพูดอะไรออกมา ดวงตาเคร่งขรึมของเขากำลังคิดพิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบ “ท่านประธานเฉียวคะ ฟังอยู่หรือเปล่าคะ? ฉันไม่ได้มีความหมายอื่น และคุณก็ไม่ต้องคิดมากด้วยค่ะ ฉันพาซวนซวนไปทั้งคุณและหม่ามี๊ของซวนซวนไม่ต้องไปด้วยเลยค่ะ เดี๋ยวตอนเย็นฉันจะพาลูกคุณไปส่งที่บ้านเอง” ฉินจิ้งเวินรู้ว่าเฉียวซู่นเฉินกำลังฟังเธออยู่ และที่ไม่พูดอะไรออกมานั้นคงจะต้องกำลังคาดคะเนว่าเธอจะวางแผนอะไรที่จะยั่วยวนเขาอีกอย่างแน่นอน เธอจึงอธิบายขึ้น “เวลาและสถานที่บอกผม พรุ่งนี้เช้าผมจะติดต่อคุณไป” เฉียวซู่นเฉินพูดเสร็จแล้วก็วางสายของเธอไปเลย “นี่มันหมายความว่าอะไรกัน? ได้หรือไม่ได้? หมดคำพูดกับผู้ชายถือตัวคนนี้จริงๆ” ฉินจิ้งเวินมองโทรศัพท์ที่อยู่ในมือแล้วพึมพำพูดกับตัวเอง แต่เธอก็ยังคงส่งเวลาและสถานที่ตามแผนที่วางเอาไว้ให้เขา วันรุ่งขึ้น ฉินจิ้งเวินเก็บของเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่เช้าตรู่ เธอพาป้านเย่ไปพักผ่อนและไปสนุกกันที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งบนเกาะในเมืองB ประตูใหญ่ทางเข้าของสวนสาธารณะนั้นใหญ่มาก คนที่มาเที่ยวกันนั้นก็มีจำนวนมากเป็นพิเศษด้วยเช่นกัน หากคิดจะหาคนๆหนึ่งคนท่ามกลางคนหมู่มากขนาดนี้เป็นเรื่องที่ยากมากเหลือเกิน ขณะที่ฉินจิ้งเวินกำลังมองไปรอบๆอยู่นั้นเอง ผู้ช่วยของเฉียวซู่นเฉินก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเธอ “คุณซูน?” “คุณฉิน ท่านประธานส่งให้ผมมารับคุณครับ ท่านและคุณหนูรอคุณอยู่ด้านในแล้วครับ” ถึงแม้ว่าฉินจิ้งเวินจะรู้สึกแปลกใจ แต่เธอก็ยังคงตามซูนซู่ไป ขณะที่นั่งรถไปนั้นก็มองไปยังด้านในสวนสาธารณะด้วยเช่นกัน สถานที่ที่ซูนซู่พามานั้นเป็นสวนสนุกสำหรับเด็กโดยเฉพาะ และนอกจากพวกเขาแล้วก็ไม่มีคนอื่นอีกเลย “คุณน้า!” เมื่อเห็นฉินจิ้งเวินแล้วนั้นเฉียวจือซวนเหมือนกับนกตัวน้อยๆที่กางปีกแล้วพุ่งตรงมาหาเธอ “ซวนซวน วันนี้ซวนซวนมีความสุขจังเลยนะครับ” ฉินจิ้งเวินแสดงความรัก ความอบอุ่นกับเด็กๆ โดยเฉพาะความรักและเอ็นดู เธอคิดว่าทำดีกับลูกของคนอื่น คนอื่นก็คงจะทำดีกับลูกเธอด้วยเช่นกัน “ฮะ ดีใจมากๆเลย นี่เป็นครั้งแรกที่ป่าปี๊ออกมาเที่ยวข้างนอกกับผม รู้สึกมีความสุขจังเลยฮะ” เด็กน้อยพูดออกมาอย่างไร้เดียงสา ความคิดที่อยู่ภายในใจเปิดเผยออกมาให้เห็นอย่างไม่ต้องสงสัยเลย “ครับ มีความสุขก็ดีแล้วนะ” ฉินจิ้งเวินจูงมือเด็กทั้งสองคนมาตรงหน้าของเฉียวซู่นเฉิน “ฉันไม่ได้ชวนคุณมาด้วย คุณมาเองนะคะ ดังนั้นกรุณาอย่าสงสัยในความตั้งใจนี้ของฉัน” พูดทุกอย่างให้ชัดเจนไว้จะดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะมีคนหาว่าเธอเป็นผู้หญิงแผนสูงอีก “ผมสงสัยแล้วจะเป็นอย่างไรล่ะครับ คนที่จัดวางทุกอย่างเอาไว้แล้วคือคุณต่างหาก” เฉียวซู่นเฉินเอ่ยพูดออกมาอย่างเย็นชา “คุณ....คุณนี่นะ ถ้าอย่างนั้นฉันขอถามคุณหน่อยนะคะ ในเมื่อคุณรู้แล้วว่าฉันจัดวางทุกอย่างเอาไว้แล้ว คุณจะยังมาอีกทำไมกันคะ?” ครั้งนี้เธอจะไม่หลบหลีกอีกแล้ว ถึงอย่างไรก็เปลี่ยนแปลงความคิดของผู้ชายถือตัวคนนี้ได้อยู่แล้ว ถามย้อนกลับเขาไปเลยดูว่าเขาจะตอบอย่างไร “………..” ใช่แล้ว ทำไมรู้ว่านี่เป็นแผนของเธอแล้วยังจะมาอีกกัน ดวงตาของเฉียวซู่นเฉินที่เย็นชามองไปยังฉินจิ้งเวิน และไม่ตอบคำถามนี้ของเธอ วันนี้ฉินจิ้งเวินแต่งหน้าอ่อนๆออกมา เธอใส่กางเกงยีนส์และเสื้อTเชิ๊ตสีขาว และสวมเสื้อคลุมกันแดดมาด้วย ผมถูกมัดขึ้น แล้วสวมหมวกเอาไว้ ดูสบายๆเสียจนไม่รู้จะสบายอย่างไรแล้ว ซึ่งแตกต่างไปจากเมื่อวานที่สวมชุดทำงานราวกับเป็นคนละคน แต่ฉินจิ้งเวินที่เป็นแบบนี้ทำให้คนมองรู้สึกสบายตาไปกว่าเดิมอยู่บ้าง เมื่อเห็นว่าเฉียวซู่นเฉินไม่ได้พูดอะไรออกมา เอาแต่จ้องมองเธอเช่นนั้นแล้ว ฉินจิ้งเวินก็รู้ว่าที่ตัวเองย้อนถามกลับไปนั้นได้ผล เธอเดินเข้าไปใกล้ตรงด้านหน้าเขา และใช้เสียงที่สามารถได้ยินกันแค่สองคนเอ่ยพูดขึ้น “ต่อไปทางที่ดีที่สุดก็อย่างสงสัยฉันอีกเลยนะคะ” ฉินจิ้งเวินยิ้มออกมาอย่างพอใจ เห็นเฉียวซู่นเฉินที่ใจลอยไปชั่วขณะ “จริงสิ ทำไมที่นี่ถึงไม่มีเด็กๆคนอื่นเลยล่ะคะ?” ฉินจิ้งเวินวกกลับเข้าหาประเด็นเดิม และไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไรกับเฉียวซู่นเฉินอีก “คุณฉินครับ ที่นี่พวกเราเหมาเอาไว้แล้วครับก็เลยไม่มีเด็กคนอื่นๆ” ซูนซู่ตอบคำถามฉินจิ้งเวิน “เหมาหรือคะ? ยังคงเป็นคุณผู้ชายแห่งครอบครัวที่ร่ำรวยจริงๆสินะคะ” น้ำเสียงของฉินจิ้งเวินแสดงออกถึงคำพูดจาที่ประชดประชันอย่างชัดเจน และก็ไม่เข้าใจด้วยเช่นกันว่าทำไมพวกคนรวยถึงเลี้ยงลูกกันแบบนี้ “คุณผู้ช่วยซูนคะ ฉันรบกวนคุณพาเด็กๆไปเล่นกันก่อนนะคะ” เด็กๆทั้งสองคนถูกซูนซู่พาออกไปเล่นกันตรงอีกทางหนึ่ง ฉินจิ้งเวินจึงเข้าสู่โหมดยุ่งในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง “เราคุยกันหน่อยดีไหมคะ?” ฉินจิ้งเวินเอ่ยขึ้นมาก่อน “คุยอะไร?” ดวงตาสีดำของเขาช่างลึกซึ้งยิ่งนัก เฉียวซู่นเฉินขมวดคิ้วขึ้น “ซวนซวน” “ซวนซวนยังเป็นเด็ก แต่ฉันรู้สึกว่าเขาดูโตเกินตัวไปแล้ว เรื่องที่เขาต้องคิดก็มากเกินไปแล้วด้วยค่ะ” “เมื่อวานเขาบอกกับฉันว่าคุณไม่เคยไปรับเขาที่โรงเรียนเลย หม่ามี๊ของเขาก็ไม่เคยไปรับเขาด้วยเหมือนกัน ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพวกคุณถึงได้ยุ่งเสียจนไม่สนใจลูกเลยแบบนี้” ฉินจิ้งเวินไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือเมื่อไหร่ก็ตาม เพียงแค่พูดถึงเรื่องลูกเธอก็สามารถพูดออกมาได้อย่างไม่เคยพอ “นี่เป็นเรื่องครอบครัวของผมไม่เกี่ยวกับคุณ” เฉียวซู่นเฉินตอบกลับไปอย่างเย็นชา เรื่องครอบครัวของเขา เขาไม่อยากให้คนอื่นมาก้าวก่าย ผู้หญิงที่เพิ่งจะรู้จักกันเพียงไม่กี่วันตรงหน้าเขาคนนี้นั้นยิ่งไม่มีสิทธิที่จะรู้เลยเสียด้วยซ้ำ
已经是最新一章了
加载中